Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology :<3:, Banner-Kaopong-1,…
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology :<3:
หน้าที่ของระบบเลือด
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
การควบคุม (Regulation)
2.1 ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการ เมแทบอลิซึมและปฎิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย รวมทั้งการเผาผลาญอาหารหรือจากการได้รับยาหรือสารเคมีต่างๆ เข้าไป จะมีผลทำให้ความเป็นกรด-เบส ของร่างกายเปลี่ยนแปลง
2.2 ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุม อุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
2.3 การควบคุมนำ้ในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดทำหน้าที่ รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของนํ้า
การป้องกัน (Protection)
3.1 การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss) เมื่อเกิด บาดแผลขึ้นกับ ร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกาย เลือดจะมีกลไกการห้ามเลือด โดย อาศัยปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดรวมถึงเกล็ดเลือด ช่วยให้เกิดการอุดปิดบาดแผล
3.2 การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body) เลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค ตลอดจนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยกลไกการท างานของ เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และแอนติบอดี (antibodies) ที่ไหลเวียนในกระแสเลือด ลักษณะทางกายภาพ ของเลือด (Physical characleristics of blood)
ความหนืด (Viscosity) 4.5-5.5 (เมื่อเปรียบเทียบกับนํ้า)
• อุณหภูมิ 37-38 องศาเซลเซียส
• ความเป็นกรด-เบส (pH) 7.35-7.45
• องค์ประกอบของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (Salinity) 0.9 เปอร์เซ็นต์
• นํ้าหนัก 8 % ของน้ าหนักร่างกาย ปริมาตร : เพศหญิง 5-6 ลิตร เพศชาย 4-5 ลิตร
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
เซลล์เม็ดเลือดมีหลายชนิด ส่วนที่เป็นเม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements) คือส่วนที่เป็นตัวเซลล์แขวนลอยไหลเวียนในหลอดเลือดทั่วร่างกาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของเลือด โดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้ ได้แก่
2.1 เม็ดเลือดแดง
2.2 เม็ดเลือดขาว
2.3 เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต์
เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte , red blood cell) ภายในเม็ดเลือดห่อหุ้มสารละลายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ
ฮีโมโกลบิน (hemoglobin)
เอ็นไซม์ (enzyme)
อิออน (ion)
เพื่อทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความ
สมดุลของกรดและเบส (acid - base buffer) ของเลือดการสร้างเลือด (Hemopoiesis)
• 1.การสร้างเลือดของทารกในครรภ์ (Embryonic or Pre-natal hemopoiesis)
• 2. การสร้างเลือดในระยะหลังคลอด (Post-natal hemopoiesis) เป็นการสร้างเลือดหลังจากที่
กำเนิดและการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด(Origin and development of blood cell)
• เซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด (stem cell)
ทฤษฎีการสร้างเม็ดเลือดมีดังนี้ คือ
ทฤษฎีโมโนไฟลิติก (Monophyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเซลล์เม็ดเลือด ทุกชนิดก าเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษเดียวกันที่เรียกว่า "Totipotential hemocytoblast" โดยที่เซลล์นี้จะเจริญเป็นเม็ดเลือดแดง แกรนูลโลไซต์ โมโนไซต์ ลิมโฟไซต์ และทรอมโบไซต์ ได้ตามความต้องการของร่างกาย
ทฤษฎีโพลีไฟลิติก (Polyphyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เม็ดเลือดแต่ละสาย ก าเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษของตัวเอง และแต่ละชนิดจะไม่มีการสร้างข้ามสายกัน ในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังมีทฤษฎีแยกย่อย ๆ ต่อไปอีก นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่า เซลล์ใหม่มีก าเนิดมาจากเซลล์เดียวกัน โดยเชื่อว่าลิมโฟไซต์ในภาวะปกติจะไม่มีการเปลี่ยนรูปร่าง แต่ถ้าร่างกายอยู่ในภาวะที่ผิดปกติหรือมีพยาธิสภาพ(pathological condition) พบว่าลิมโฟไซต์เหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นเซลล์ชนิดใหม่ได้โดย เฉพาะในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (tissue culture)
การสร้างเลือด (Hemopoiesis)
• เม็ดเลือดแดงถูกสร้างในไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างเลือด มีฮอร์โมนอีริโทรพอยอีติน(Erythropoietin) ในเลือดเป็นตัวควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วันถูกทำลายในม้าม ตับ และไขกระดูกปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดเพศชายมีค่าเทากับ 5.5-6.0 ล้านเซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตรเพศหญิงมีค่าเท่ากับ 4.5-5.0 ล้านเซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตร โดยปริมาณเลือดขึ้นอยู่กับอายุ บทบาทของร่างกาย ภูมิอากาศ ระดับความสูงของที่อยู่อาศัย
พยาธิสภาพของโรคที่เกิดกับร่างกาย
การสร้าง erythropoietin และการสร้างเม็ดเลือดแดงฮีโมโกลบิน (Hemoglobin, Hb) คือ โปรตีนในเม็ดเลือดแดง ท าหน้าที่รับส่งแก๊สออกซิเจน และเป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส แต่ละโมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วย 4 หน่วยย่อย แต่ละหน่วยย่อยประกอบด้วย 1 ฮีม (heme) จับกับเปปไทด์สายยาว(polypeptide) 1 สาย ภายในมีธาตุเหล็ก (Fe) 1 อะตอม ฮีโมโกลบินเมื่อจับกัน ออกซิเจน จะเรียกว่าออกซิฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) โดยการจับกันของฮีโมโกลบิน
กับ ออกซิเจนขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิความเป็นกรด-เบส ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และปริมาณ ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในกระแสเลือด ( pCO2 และ pO2)
ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง
• Anemia เป็นสภาวะที่เลือดมีปริมาณฮีโมโกลบิน หรือมีค่าปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต ่ากว่าปกติซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น
• เสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง (acute and chronic hemorrhage)
• การสร้างหรือการเจริญของเม็ดเลือดแดงช้า (mononuclear deficiency)
• ไขกระดูกผิดปกติ (aplastic bone marrow) หรือผนังเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย ท าให้มีผลต่อขนาดเซลล์และปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์แตกต่างกันไป
• จึงมักใช้ค่าทั้งสองนี้เป็นดัชนีจำแนกชนิดของ anemia ชนิดของ anemia แบ่งได้หลายชนิดตามขนาดและปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง
Normocytic normochromic anemia
ขนาดเซลล์ และความเข้มข้นฮีโมโกลบินในเซลล์ปกติ แต่จำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดต่ำ เช่น กรณี acute hemorrhage
. Microcytic hypochromic anemia (iron deficiency anemia)
เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก ปริมาณฮีโมโกลบินต่ำ พบในกรณี chronic hemorrhage หรือทารกที่ขาดธาตุเหล็กในอาหาร
Macrocytic hypochromic anemia (pernicious หรือ mononuclear anemia)เซลล์มี ขนาดใหญ่ ปริมาณฮีโมโกลบินมาก แต่ จำนวนเซลล์น้อย เกิดจากการขาดantianemia (หรือ hemotinic) factor ซึ่งประกอบด้วย
• extrinsic factor ได้แก่ vitamin B12, และ intrinsic factor ได้แก่ น้ำย่อยของกระเพาะอาหาร (gastic juice) antianemic factor ที่เกิดขึ้นจะถูกดูดซึมผ่านล าไส้เข้าสู่กระแสเลือดแล้วถูกเก็บไว้ที่ตับ ถ้าขาด extrinsic หรือ intrinsic factor ตัวใดตัวหนึ่ง หรือ ลไไส้ดูดซึมน้อยลง หรือ ตับผิดปกติจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ขนาดเซลล์และปริมาณฮีโมโกลบินของเซลล์เปลี่ยนไป
. Aplastic anemiaเกิดจาก bone marrowผิดปกติอาจจะเกิดขึ้นเองหรือได้รับรังสี มากเกินไป
. Hemolytic anemia เกิดจากเม็ดเลือดแดงถูกทำลายมากกว่าปกติ อาจจะเนื่องมาจาก
• สารเคมี
• ระบบ reticuloendothelial ท างานมากเกินไป
• กรรมพันธุ์ซึ่งมีผลให้เม็ดเลือดแดง
hemolytic anemia
• กรณีนี้เซลล์ มีขนาดเล็ก รูปร่างกลม เรียก microcytes หรือ spherocytes แต่ยังเป็น normochromic
• เซลล์เหล่านี้ แตกง่ายเพราะรูปร่างของมัน sickle cell anemia เป็นความผิดปกติอีกชนิดหนึ่ง ที่ถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ พบมากในนิโกร รูปร่างเซลล์คล้ายเคียว (sickle) หรือพระจันทร์เสี้ยว (crescent)ฮีโมโกลบินผิดไปจากปกติเซลล์เปราะหรือแตกง่ายที่ถูกสร้างขี้นมา
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
เป็นองค์ประกอบของเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดประมาณ 2-4 ไมครอน ไม่มีนิวเคลียส ส่วนใหญ่รูปร่างกลมแบน หรือ รูปไข่ ติดสีฟ้าอ่อนมี อะซูโรฟลิกแกรนูล ติดสีม่วงหรือม่วงแดง กระจายอยู่ทั่วไปกลางเซลล์ มีต้นก าเนิด มาจากเซลล์ เมกะคาริโอไซต (megakaryocyte) ในไขกระดูก ท าหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ช่วยท าให้เลือดหยุดไหลหรือห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผล กลไกห้ามเลือด(Homeostasis) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนที่สำคัญ คือ
หลอดเลือดหดตัว (Vasoconstriction) เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน (serotonin) จากเกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) คือ เซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และเกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate) ออกมาทำให้เกล็ดเลือดเกิดการเปลี่ยนรูปร่าง และรวมกัน (aggregate) อุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
3.1 การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation) แบ่งย่อยได้ 2 ขบวนการ คือ
3.1.1 Extrinsic pathway เกิดจากการทำลายเซลล์หลอดเลือด และ เซลล์ข้างเคียงจะกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้สร้างทรอมโบพลาสติน (tissue thromboplastin)
3.1.2 Intrinsic pathway เกิดขึ้นภายในหลอดเลือด เมื่อเกล็ดเลือดเกิด การแตกจะมีการทำปฏิกิริยากันของสารที่หลั่งออกมาจากเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้ทรอมโบพลาสติน(intrinsic thromboplastin)
3.2 การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน (thrombin) ทรอม โบพลาสติน(thromboplastin) ที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการเปลี่ยนโปรทรอมบิน เป็นทรอมบิน
3.3 การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบริน (fibrin) ทรอมบินที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไฟบริโนเจน เป็นไฟบริน โดยใช้แคลเซียมอิออน (Ca 2+) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่าง ๆ ไฟบรินเป็นเส้นใยโปรตีนที่ไม่ละลายน้ำมีการรวมตัวกันแน่นประสานเป็นร่างแห และยึดจับกับเม็ดเลือดแดงกลายเป็นก้อนเลือด (clot)
3.4 การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด (clot retraction) มีการหดตัวของก้อนเลือดและร่างแหท าให้น้ำเลือด (ซีรั่ม) ออกจากก้อนเลือด และเป็นผลให้เกิดการเชื่อมติดบาดแผลมากขึ้นบาดแผลหลังจากเกิดก้อนเลือดอุดบาดแผล และไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว เซลล์ไฟโบรบลาส(fibroblast) จะทำหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อประสาน เจริญแทรกเข้าไปในก้อนเลือด โดยปกติร่างกายของคนจะมีสารปองกันการเกิดก้อนเลือดที่เกิด จากขบวนการการแข็งตัว ซึ่งอาจจะไปอุดตันหลอดเลือดในอวัยวะที่สำคัญ เช่น สมอง สารเหล่านี้ได้แก่ แอนติทรอมโบพลาสติน(antithromboplastin) แอนติทรอมบิน (antithrombin) และ เฮปพาริน
การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot) เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือด สารต่างๆ ในพลาสมา และสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนย่อย คือ
การสร้างเลือดนอกไขกระดูก (Extramedullary hemopoiesis)
โดยปกติแล้วภายหลังคลอด ร่างกายจะควบคุมการสร้างเม็ดเลือด ส่วนใหญ่ที่ไขกระดูกเท่านั้น และหากมีการท าลายเม็ดเลือดเป็นจำนวนมากไขกระดูกส่วนที่เป็นไขกระดูกสีเหลือง จะกลับมามีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือด จนกว่าไขกระดูกจะสร้างทดแทนไม่ได้ หรือมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นกับไขกระดูกเองทำให้การสร้างเลือดต้องกลับไปสร้างในที่ที่เคยสร้างมาก่อน แหล่งสำคัญของการสร้างเลือดในระยะนี้คือ ม้าม รองลงมาคือ ตับ และอวัยวะอื่นๆ ที่มีเซลล์ มีเซนไคมอล แทรกอยู่ เช่น ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland)ต่อมหมวกไต (adrenal gland) เป็นต้น
พลาสมา (Plasma)
ส่วนที่เป็นนํ้าเลือด เป็นของเหลวที่เป็นตัวกลาง ให้เม็ดเลือดแขวนตัวลอยอยู่ คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือด มีลักษณะ เป็นของเหลวสีเหลืองใส ซึ่งมีสารต่างๆ ละลาย อยู่ได้แก่ โปรตีนชนิดต่างๆ รวมถึงปัจจัยในการ แข็งตัวของเลือด คารโบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ต่างๆ (อิเล็กโทรไลต์) ฮอร์โมนและสาร อื่นๆ
โปรตีนในพลาสมามีคุณสมบัติทางกายภาพที่สำคัญทางสรีรวิทยา โดย
โกลบูลินซึ่งมีอยู่ในรูปของ แอลฟา (α) บีตา (β) และแกมมา (γ) เกี่ยวข้องกับการสร้าง
แอนติบอดี ฮอร์โมน และเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ
อัลบูมิน และโกลบูลิน เป็นตัวสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความดันออสโมติก (colloid osmotic
pressure) ในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
ไฟบริโนเจนช่วยในการแข็งตัวของเลือด โปรตีนทั้งหมดในพลาสมาท าหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ช่วยควบคุมระดับความเป็น กรด-เบส และท าให้เกิดความหนืดของเลือด ความเข้มข้นของโปรตีนเหล่านี้ได้แสดงไว้ในตาราง
ทารกคลอดมาแล้ว ยกเว้นพวกลิมโฟไซต์ที่มีการสร้างจากอวัยวะน้ำเหลือง
• การสร้างเลือดในระยะนี้ สร้างจากพวกเซลล์มีเซนไคมอล ที่แทรกตามเนื้อเยื่อ ในอวัยวะเหล่านี้เป็นเซลล์ต้นก าเนิด และเป็นการสร้างนอกหลอดเลือด (extravascular hemopoiesis)
• ตับมีบทบาทในการสร้างเลือด
ช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรือเกือบปลายเดือนที่ 2 และจะสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ได้สูงสุดใน เดือนที่ 4 และเดือนที่ 5 และจะค่อยๆ ลดบทบาทลงจนกระทั่งถึง 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด
• ม้ามในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ม้ามจะเริ่มมีหนาที่ในการสร้างเม็ดเลือด แต่เป็นเม็ดเลือดแดงมากกว่าเม็ดเลือดขาว ประมาณเดือนที่ 5 การสร้างเม็ดเลือดจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคลอด
• หลังคลอดม้ามจะมีหน้าที่ในการสร้างลิมโฟไซต์(lymphocyte) อย่างเดียวไปตลอดชีวิต
• ต่อมไทมัส (thymus gland) เป็นอวัยวะแรกที่สร้างเม็ดเลือดพวกลิมโฟไซต์ก่อน อวัยวะน้ำเหลือง (lymphatic organ)อื่นๆและเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างยิ่งในการให้ก าเนิดลิมโฟไซต์ในร่างกาย แม้จะมีการสร้างในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
• ต่อมน้ำเหลือง เป็นอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดชนิดลิมโฟไซต์เริ่มจาก เดือนที่ 4 และ 5 และจะคงสร้างไปตลอดชีวิต
• 3. ระยะเมดัลลารี (Medullary period) เมื่อตับและม้ามลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดลง อวัยวะที่จะท าหน้าที่แทน คือ ไขกระดูก (bone marrow) โดยจะเริ่มสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ประมาณเดือนที่ 5 เป็นต้นไป โดยมีเซลล์ต้นก าเนิดจากเซลล์มีเซนไคมอล
หมู่เลือดระบบ Rh
ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ Landsteiner และ Wiener ซึ่งได้ท าการฉีดเม็ดเลือดแดงของลิงรีซัส (Rhesus) เข้าไปในกระต่าย ซีรั่มของกระต่ายสามารถทำปฏิกิริยากับเม็ดเลือดแดงของคนผิวขาวได้จากการศึกษาต่อมาพบว่าหมูมีแอนติเจนที่สำคัญ คือ แอนติเจน D C E C และ e จัดเป็นมักพบในหมู่เลือดที่มีความสำคัญมาก ในคนผิวขาว ในคนไทยพบว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ มีหมู่เลือด Rh+จากการที่ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh จะไม่มีแอนติบอดี ต่อ แอนติเจนของหมู่เลือด Rh จึงเป็นสาเหตุส าคัญของโรคเม็ดเลือดแดงสลายในเด็กแรกเกิด (hemolytic disease of the newborn)ลูกคนที่สองของเแม่ที่มีหมูเลือด Rh- และได้รับการกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี (immuneantibody) จากลูกคนแรกที่มีหมูเลือด เป็น Rh+เมื่อเลือดของแม่ที่มีแอนติบอดีนี้ผ่านรกไปยังลูกที่อยู่ในครรภ์ซึ่งมีแอนติเจนที่จ าเพาะกันจึงก่อให้เกิดการสลายเม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดการไม่เข้ากันของหมู่เลือด Rh ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายกับทารกแรกเกิด ในแม่ที่มี Rh- และพ่อที่มี Rh+ ที่ให้กำเนิดลูกคนแรกที่มี Rh
a) เม็ดเลือดของลูกคนแรกที่มี Rh+ เกิด การปนผ่านรกเข้าไปยังเลือดของแม่
b) แม่สร้างแอนติบอดีตอบสนองต่อแอนติเจนของ เม็ดเลือดแดงที่มี Rh+
c) แอนติบอดีบางส่วนปนผ่านรกเข้าสู่เลือดของลูกคนที่ 2 เกิดการ สลายของเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
หมู่เลือดระบบ ABO
• จัดเป็นหมู่เลือดที่สำคัญที่สุดในการให้เลือด เป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้โดยอาศัยโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag) บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อย คือ หมู่เลือดกลุ่ม A B O และ AB สามารถตรวจสอบหมู่เลือดโดยอาศัยปฏิกิริยาทางวิทยาภูมิคุ้มกัน ระหว่าง แอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดง และแอนติบอดีในน้ำาเลือดที่จำเพาะต่อกัน เกิดปฏิกิริยาการเกาะกลุ่ม (agglutination) ของเม็ดเลือดแดงท าให้สามารถทดสอบได้ว่าเลือดของคน มีหมู่เลือดอยู่ในกลุ่มใด
เม็ดเลือดขาว (Leucocyte , white blood cell)
เม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดมีหลายชนิดโดยมีหน้าที่หลัก คือ ป้องกัน และ ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มีคุณสมบัติที่สำคัญ 3ประการ คือ
1) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยัง บริเวณที่มีเชื้อโรค(Diapedesis)
2) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื้อโรค โดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อยเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)จากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (Chemotaxis)
(Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
2.1 ชนิดมีแกรนูล หรือมีนิวเคลียสหลายแบบ (Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
• 2.1.1. นิวโทรฟล (Neutrophil orpolymorphonuclear cell, PMN) มี ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง ประมาณ 2 เท่า หรือประมาณ12 ไมครอน นิวเคลียสได้ตั้งแต่ 2- 5 พู (lobe) ติดสีน้ำงินปนม่วงในไซโทพลาซึม มีแกรนูลละเอียดมาก ติดสีชมพู หรือชมพูอมม่วง
• 2.1.2. อีโอสิโนฟล (Eosinophil) มีขนาดประมาณ 12ไมครอน รูปร่าง เหมือนนิวโทฟิล ต่างกันที่ส่วนใหญ่นิวเคลียสจะมี 2 พูดในไซโทพลาซึมจะมีแกรนูลเม็ดใหญ่ติดสีส้มแดงค่อนข้างวาวแสงอยู่เต็มไซโทพลาซึม และมักจะไม่ทับนิวเคลียส
2.1.3. เบโซฟิล (Basophil) รูปร่างเหมือนนิวโทฟิลต่างกันที่นิวเคลียสมีได้ตั้งแต่ 2-5 พู แต่มักจะเห็นนิวเคลียสได้ไม่ชัดเนื่องจากถูกบดบังด้วยแกรนูลซึ่งมีขนาดใหญ่ ติดสีน้ำเงินเข้มกระจายทั่วไซโทพลาซึม
2.2 ชนิดไม่มีแกรนูล หรือ มีนิวเคลียสเดียว (Agranulocytic or mononuclear cell)
• 2.2.1. โมโนไซต์ (Monocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกระแสเลือด ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงประมาณ 2-3 เท่าหรือประมาณ 14-20 ไมครอน นิวเคลียสมักจะเว้าหรือเป็นลอนไซโทพลาซั่มติดสีเทาอ่อน ๆ หรือน้ำเงินปนเทา และอะซูโรฟลิกแกรนูล เป็นเม็ดเล็กๆ ติดสีแดงกระจายอยู่ทั่วไป
• 2.2.2. ลิมโฟไซต (Lymphocyte) โดยทั่วไปเป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดเล็กที่สุด ใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงเล็กน้อย (ขนาดประมาณ 10 ไมครอน) แต่บางครั้งอาจพบที่มีขนาดใหญ่ได้(20 ไมครอน) นิวเคลียสมักจะกลมหรือรี และอาจมีรอยเว้าได้บ้าง ติดสีเข้มทึบ อยู่ชิดริมด้านใดด้านหนึ่งของเซลล์ ไซโทพลาซึมติดสีฟ้าอ่อนใส และพบอะซูโรฟลิกแกรนูลได้บ้าง
3) เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบา เข้าโอบล้อม และย่อยแบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ