Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด - Coggle Diagram
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด
การสร้างเลือด
- Erythropoietin เป็นสารที่หลั่งออกมากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้น
ในทารกในครรภ์ที่ซีดจึงพบระดับ Erythropoietin ในน้ำคร่ำสูง และสัมพันธ์กับระดับErythropoietin ในเลือดของทารกในครรภ์ แต่แปรผกผันกับระดับ Hemoglobin
แหล่งสำคัญของ Erythropoietin คือ ตับของทารกในครรภ์ ส่วนน้อยอาจมาจากไตในภาวะปกติหลังคลอดอาจตรวจไม่พบ Erythropoietin ในทารกได้นานถึง 3 เดือน
- ปริมาณเลือดของทารกในครรภ์ปริมาณเลือดของทารกหลังคลอดทันที
ประมาณ 78 มล./กก ส่วนปริมาณเลือดในรกที่ค้างอยู่หลังผูกสายสะดือเท่ากับ
45 มล./กก. ของทารกในครรภ์ ดังนั้นปริมาณเลือดใน Fetoplacental unit ขณะครรภ์
- ตับมีบทบาทในการสร้างเลือด ช่วยประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรอเกือบปลายเดือนที่2 และจะสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ได้สุงสุดเดือนที่ 4 และเดือนที่5 และจะค่อยๆ ลดบทบาทลง
- ม้ามมีบทบาทในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ม้ามจะเริ่มในการสร้างเลือด แต่เป็นเม็ดเลือดแดงมากกกว่าเม็ดเลือดขาว ประมาณเดือนที่ 5 การสร้างเม็ดเลือด
- ต่อมไทมัส สร้างเม้ดเลือดพวกลิมโฟไซต์ก่อน
- ระยะเมดัลลารี (Medullary period) ไขกระดูก โดยจะเริ่มสร้าเม็ดเลือดต่างๆ ประมาณเดือนที่5 โดยมีเซลล์ต้นกำเนิดจากเซลล์มีเซนไคมอล
เม็ดเลือดขาว
มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกัน เปรียบเสมือนเป็นกองทัพทหารที่คอยป้องกันการรุกล้ำจากสิ่งแปลกปลอมทุกชนิด ซึ่งมันจะคอยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมให้แก่ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุประมาณ 2 -3 วัน โดยเม็ดเลือดขาวแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ด้วยกันคือ
- Neutrophil (นิวโทรฟิล) มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราและจุลชีพอื่นๆที่ก่อให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย เม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นเหมือนด่านแรกของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหากร่างกายได้รับเชื้อโรค ซึ่งถ้ามีการทำงานหรือเกิดการตายขึ้นจะแสดงออกมาในรูปของหนอง
- Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) มีหน้าที่ต้านสิ่งแปลกปลอม เช่น ไวรัสที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้
- Monocytes (โมโนไซต์) มีหน้าที่คล้ายคลึงกับ Neutrophil สามารถกินเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และยีสต์ได้
- Basophils (บาสโซฟิลส์) มีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาภูมิแพ้ และสามารถหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง
Eosinophils (อีโอซินโนฟิลส์) ทำหน้าที่หลั่งเอนไซม์หรือสารฮีสตามีน (Histamine) เพื่อทำลายพวกพยาธิ (parasite) ต่างๆ และจะตอบสนองเพิ่มขึ้นเมื่อมีพยาธิต่างๆ หรือเป็นโรคภูมิแพ้
หน้าที่ของระบบเลือด
- ขนส่งก๊าสออกซิเจนจากการหายใจเข้า และลำเลียงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายเมื่อหายใจออก
- ขนส่งสารอาหารโดยการดูดซึมสารอาหารจากกระเพาะอาหาร และลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดแล้วไหลเวียนผ่านไปยังตับ และส่งต่อให้เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกอวัยวะในร่างกาย
- ทำหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในเวลาที่ร่างกายขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ที่จำเป็น เลือดจะทำหน้าที่รักษาสมดุลไม่ให้มีมากไปหรือน้อยไป
- ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่โดยการไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
-
Platelet
เกล็ดเลือด (platelet) คือ องค์ประกอบของเม็ดเลือดที่สร้างจากไขกระดูก และถูกทำลายที่ม้ามและตับ เกล็ดเลือดไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด มีอายุประมาณ 10 วัน มีหน้าที่ช่วยทำให้เลือดหยุดไหลในกรณีที่มีบาดแผลหรือมีภาวะเลือดออก
-
- การเกาะกลุ่มของเหล็ดเลือด คือเซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และเกล็ดเลือดจะปล่อยสาร ADP ออกมาทำให้เกิดการแข็งเปลี่ยนรูปร่างและรวมกัน อุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
- การแข็งตัวของเลือด เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือด สารต่างๆ ในพลาสและสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล
- การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน
- Extrinsic pathway เกิดจากการทำลายเซลล์หลอดเลือด จะกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้สร้งทรอมโบพลาสติน
- Intrinsic pathway เกิดเลือดได้ทรอมโบพลาสติน
- การเปลี่ยนโปรทรอนบิน
- การเปลี่ยนไฟบริโนเจน
- การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด
เม็ดเลือด
- เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างคลายโดนัท เนื่องจากตรงกลางมีรอยบุ๋มแต่ไม่ทะลุตรงกลาง มีขนาดประมาณ 7 ไมครอน ถูกสร้างที่ไขกระดูก ซึงเป็นแกนกลางของกระดูกต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ภายในเม็ดเลือดแดงสารชื่อ ฮีโมโกลบิล ทำหน้าที่ในการนำออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซค์จากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปขับออกที่ปอด ทำให้ในหลอดเลือดแดงที่เม็ดเลือดแดงมีระดับออกซิเจนปริมาณสูง เลือดจึงมีสีแดงสด ส่วนในหลอดเลือดดำที่เม็ดเลือดแดงมีปริมาณออกซิเจนลดลง และมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซค์สูงกว่า เลือดจึงมีสีแดงคล้ำ
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)
คือ ส่วนประกอบสำคัญของเลือดที่ขาดไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยของระดับฮีโมโกลบินในเลือดอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลายประการ หากมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับฮีโมโกลบินเพียงพอจะช่วยให้ตระหนักถึงความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือปัญหาสุขภาพได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดความผิดปกติของระดับฮีโมโกลบิน
-
หมู่เลือดระบบ ABO
หมู่โลหิต มีเพียง 4 หมู่ คือ หมู่ เอ (A) หมู่ บี (B) หมู่ เอบี (AB) หมู่ โอ (O) และมีหมู่ อาร์เอช (Rh)ที่แบ่งเป็น Rhบวก (Rh positive) และ Rhลบ (Rh negative) ซึ่ง Rhลบ จัดเป็นโลหิตหมู่พิเศษเพราะหาได้ยากมากในคนไทย แต่ในความเป็นจริงแล้ว บนเม็ดโลหิตแดงยังมีแอนติเจนของหมู่โลหิตอีกหลายร้อยชนิด ในปัจจุบันถูกจัดเป็นหมู่โลหิต รวม 39 ระบบ โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขององค์กรระดับนานาชาติ คือ International Society of Blood Transfusion (ISBT) ซึ่งหากมีการศึกษาเพิ่มขึ้นจะสามารถจัดระบบหมู่โลหิตเพิ่มขึ้นกว่านี้ได้อีกในอนาคต
ระบบ ABO Rh Kell Kidd Duffy Diego Lutheran MNS P1PK และ Lewis ในจำนวนนี้ หมู่โลหิตระบบ ABO มีความสำคัญมากที่สุด รองลงมาคือ ระบบ Rhซึ่งในการให้โลหิตแก่ผู้ป่วยจะต้องให้ชนิดเดียวกับหมู่โลหิตของผู้ป่วยเท่านั้นจึงจะปลอดภัยที่สุด ดังจะเห็นได้จากหลังการค้นพบหมู่โลหิตระบบ ABOโดย Karl Landsteiner ในปี ค.ศ. 1900เป็นต้นมา การให้โลหิตแก่ผู้ป่วยมีความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้ผู้ค้นพบได้รับรางวัล Noble Prize ในปี ค.ศ.1930 ภายหลังจากการค้นพบหมู่โลหิต ระบบ ABOได้มีการค้นพบหมู่โลหิตอีกหลายระบบดังได้กล่าวมาแล้ว แอนติเจนของหมู่โลหิตเหล่านี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่สู่ลูก จึงทำให้สามารถบอกความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกได้ นอกจากนี้แอนติเจนของหมู่โลหิตยังมีความแตกต่างกันระหว่างเชื้อชาติต่างๆ ทำให้หมู่โลหิตบางหมู่ ซึ่งมีแอนติเจนที่พบมากในคนไทยแต่ไม่พบหรือพบได้น้อยในคนเชื้อชาติอื่น เช่น Mia แอนติเจนของหมู่โลหิตระบบ MNSและ Dia แอนติเจนของหมู่เลือดระบบ Diego เป็นต้น ความแตกต่างเหล่านี้มีประโยชน์ทางการแพทย์ในด้านการศึกษาเกี่ยวกับความชุกของแอนติเจนของหมู่โลหิตในเชื้อชาติต่าง ๆ หรือ เกี่ยวกับการหาโลหิตชนิดหาได้ยากในคนไทยให้แก่ผู้ป่วย อีกประการหนึ่งคือ ตามปกติ แอนติเจนของหมู่โลหิตระบบต่าง ๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงยกเว้นบางกรณี เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตแดง ซึ่งทำให้หมู่เลือดระบบ ABOของผู้ป่วยเปลี่ยนจากเดิมไปเป็นชนิดเดียวกับของผู้ให้ หรือกรณีผู้ป่วยบางโรคมีการสร้างแอนติเจนของหมู่โลหิตลดลงจนตรวจไม่พบ
เม็ดเลือดแดง
- มีหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้จากปอดไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย โดยอาศัยฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) เป็นตัวนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่างๆ และพาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากเซลล์เพื่อกำจัดออกจากร่างกายในกระบวนการต่อไป การขาดเม็ดเลือดแดงจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ ดังนั้น เม็ดเลือดแดงจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการนำไปรักษาผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรืออาการซีดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เช่น โลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาการไหลเวียนของเลือดย่อมทำให้อวัยวะต่างๆขาดสารอาหาร และได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้อีกหลายโรค
เกล็ดเลือด (Platelet)
- มีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการห้ามเลือดโดยตรง โดยจะรวมตัวเป็นกระจุก (Platelet plug) อุดตรงบริเวณที่มีหลอดเลือดฉีกขาด เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเมื่อเรามีบาดแผลที่ผิวหนัง เมื่อเรากดแผลไว้สักครู่เลือดจะหยุดไหลได้นั่นเป็นเพราะเกล็ดเลือดได้ทำหน้าที่มาอุดบริเวณบาดแผลนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในกลไกการแข็งตัวของเลือด โดยเป็นปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (platelet factors I, II, III และ IV) อีกด้วย หน้าที่อื่นนอกจากนี้คือ การนำสารต่างๆไปกับตัวเกล็ดเลือดด้วย คือ สารซีโรโทนิน (serotonin) สารอะดรีนาลีน (adrenaline) และนอร์อะดรีนาลีน (noradrenaline) เกล็ดเลือดสามารถหลั่งสารที่เป็นปัจจัยในการเติบโต (platelet-released growth factors) เหนี่ยวนำให้เกิดสารต้านจุลชีพ และยังพบอีกว่า เกล็ดเลือดสามารถจับมวลสารขนาดเล็ก เช่น ไวรัสได้ด้วย ดังนั้น เกล็ดเลือดจึงมีความสำคัญในการต่อต้านเชื้อโรคด้วย