Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology, นางสาวปาริชาติ…
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด
Hemato Phisiology
หน้าที่ของระบบเลือด
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
การควบคุม (Regulation)
2.1 ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการ
เมแทบอลิซึมและปฎิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
2.2 ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุม
อุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
2.3 การควบคุมน้ำในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดทำหน้าที่
รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของน
การป้องกัน (Protection)
3.1 การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss) เมื่อเกิด บาดแผลขึ้นกับ
ร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกาย
3.2 การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body) เลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม
เช่น เชื้อโรค ตลอดจนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย
• อุณหภูมิ 37-38 องศาเซลเซียส
• ความเป็นกรด-เบส (pH) 7.35-7.45
• องค์ประกอบของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (Salinity) 0.9 เปอร์เซ็นต์
• น้ าหนัก 8 % ของน้ าหนักร่างกาย ปริมาตร : เพศหญิง 5-6 ลิตร เพศชาย 4-5 ลิตร
-องค์ประกอบของเลือด
พลาสมา (Plasma)
ส่วนที่เป็นน้ำเลือด เป็นของเหลวที่เป็นตัวกลางให้เม็ดเลือดแขวนตัวลอยอยู่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือด
องค์ประกอบของเลือด
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
เซลล์เม็ดเลือดมีหลายชนิด ส่วนที่เป็นเม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements) คือส่วนที่เป็นตัวเซลล์แขวนลอยไหลเวียนในหลอดเลือดทั่วร่างกาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของเลือด โดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้ ได้แก่
2.1 เม็ดเลือดแดง
2.2 เม็ดเลือดขาว
2.3 เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต์
เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte , red blood cell) ภายในเม็ดเลือดห่อหุ้มสารละลายต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ
❑ ฮีโมโกลบิน (hemoglobin)
❑ เอ็นไซม์(enzyme)
❑ อิออน (ion)
การสร้างเลือด (Hemopoiesis)
1.การสร้างเลือดของทารกในครรภ์ (Embryonic or Pre-natal hemopoiesis)
การสร้างเลือดในระยะหลังคลอด (Post-natal hemopoiesis) เป็นการสร้างเลือด
การสร้างเลือดนอกไขกระดูก (Extramedullary hemopoiesis)
โดยปกติแล้วภายหลังคลอด ร่างกายจะควบคุมการสร้างเม็ดเลือด ส่วนใหญ่ที่ไขกระดูกเท่านั้น และหากมีการท าลายเม็ดเลือดเป็นจำนวนมาก
จะกลับมามีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือด จนกว่าไขกระดูกจะสร้างทดแทน
ไม่ได้ หรือมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นกับไขกระดูกเอง
ทำให้การสร้างเลือดต้องกลับไปสร้างในที่ที่เคยสร้างมาก่อน แหล่งส าคัญของการสร้างเลือดในระยะนี้
คือ ม้าม รองลงมาคือ ตับ และอวัยวะอื่นๆ
กำเนิดและการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด
(Origin and development of blood cell)
• เซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด (stem cell)
ทฤษฎีการสร้างเม็ดเลือดมีดังนี้ คือ
ทฤษฎีโมโนไฟลิติก (Monophyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเซลล์เม็ดเลือด ทุกชนิดก าเนิดมา
จากเซลล์บรรพบุรุษเดียวกันที่เรียกว่า "Totipotential hemocytoblast"
ทฤษฎีโพลีไฟลิติก (Polyphyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เม็ดเลือดแต่ละสาย ก าเนิดมาจาก
เซลล์บรรพบุรุษของตัวเอง และแต่ละชนิดจะไม่มีการสร้างข้ามสายกัน
เม็ดเลือดแดงถูกสร้างในไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นปัจจัยส าคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างเลือด มีฮอร์โมนอีริโทรพอยอีติน
(Erythropoietin) ในเลือดเป็นตัวควบคุมการสร้าง
เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน
ถูกทำลายในม้าม ตับ และไขกระดูก
ปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือด
ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง
Anemia เป็นสภาวะที่เลือดมีปริมาณฮีโมโกลบิน หรือมีค่าปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต่ำกว่า
ปกติซึ่งเกิดได้จากสาเหตุต่างๆ เช่น
เสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง (acute and chronic hemorrhage)
การสร้างหรือการเจริญของเม็ดเลือดแดงช้า (mononuclear deficiency)
ไขกระดูกผิดปกติ (aplastic bone marrow) หรือผนังเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย
เม็ดเลือดขาว (Leucocyte , white blood cell)
เม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดมีหลายชนิดโดยมีหน้าที่หลัก คือ ป้องกัน และ ท าลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย มีคุณสมบัติที่ส าคัญ 3คือ
1) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยัง บริเวณที่มีเชื้อโรค
(Diapedesis)
2) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื้อโรค โดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อย
จากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (Chemotaxis)
3) เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบา เข้าโอบล้อม และย่อย
เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)
แบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ
2.1 ชนิดมีแกรนูล หรือมีนิวเคลียสหลายแบบ (Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
2.2 ชนิดไม่มีแกรนูล หรือ มีนิวเคลียสเดียว (Agranulocytic or mononuclear cell)
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet)
เป็นองค์ประกอบของเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด
ประมาณ 2-4 ไมครอน ไม่มีนิวเคลียส ส่วนใหญ่รูปร่างกลมแบน
หรือ รูปไข่ ติดสีฟ้าอ่อน
มี อะซูโรฟลิกแกรนูล ติดสีม่วงหรือม่วงแดง กระจายอยู่ทั่วไปกลางเซลล์
มีต้นกำเนิด มาจาก
เซลล์ เมกะคาริโอไซต (megakaryocyte) ในไขกระดูก ทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับการแข็งตัว
หลอดเลือดหดตัว (Vasoconstriction) เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน (serotonin) จาก
เกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) คือ เซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และ
เกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate)
การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot) เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือด สารต่างๆ ใน
พลาสมา และสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล
หมู่เลือดระบบ ABO
•จัดเป็นหมู่เลือดที่ส าคัญที่สุดในการให้เลือด เป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้
โดยอาศัยโปรตีนที่ท าหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag)
บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อย คือ หมู่เลือด
กลุ่ม A B O และ AB สามารถตรวจสอบหมู่เลือดโดยอาศัยปฏิกิริยาทางวิทยาภูมิคุ้มกัน ระหว่าง แอนติเจนบนผิวเม็ดเลือดแดง และแอนติบอดีในน ้าเลือด
หมู่เลือดระบบ Rh
ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ Landsteiner และ Wiener ซึ่งได้ท าการฉีดเม็ดเลือดแดงของลิงรีซัส (Rhesus) เข้าไปในกระต่าย ซีรั่มของกระต่ายสามารถทำปฏิกิริยากับเม็ด
จากการศึกษาต่อมาพบว่าหมูมีแอนติเจนที่สำคัญ คือ แอนติเจน D C E C และ eหมู่เลือดที่มีความส าคัญมาก ในคนผิวขาว ในคนไทยพบว่า 99.9 เปอร์เซ็นต์ มีหมู่เลือด Rh+
นางสาวปาริชาติ ไตรยสุทธิ์UDA6380066