Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology - Coggle Diagram
พยาธิสรีรวิทยาระบบเลือด Hemato Phisiology
หน้าที่ของระบบเลือด
การขนส่ง (Transportation) การขนส่งสารอาหาร
การควบคุม (Regulation)
ควบคุมความเป็นกรด-เบสของร่างกาย (Regulation of body pH) ขบวนการ
เมแทบอลิซึมและปฎิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย รวมทั้งการเผาผลาญอาหารหรือผล
จากการได้รับยาหรือสารเคมีต่างๆ เข้าไป จะมีผลท าให้ความเป็นกรด-เบส ของร่างกายเปลี่ยนแปลง
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย (Regulation of body temperature) เลือดควบคุม
อุณหภูมิหรือความร้อนภายในร่างกายโดยการกระจายความร้อนและการขับเหงื่อ
การควบคุมน้ำในร่างกาย (Regulation of water balance) เลือดทำหน้าที่
รักษาสมดุลของของเหลวในกระแสเลือดกับของเหลวในเนื้อเยื่อโดยการแลกเปลี่ยนของน้ำ
การป้องกัน (Protection)
การป้องกันการสูญเสียเลือด (Protection of blood loss) เมื่อเกิด บาดแผลขึ้นกับ
ร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่ผิวหนังหรืออวัยวะภายในของร่างกาย เลือดจะมีกลไกการห้ามเลือด โดย
อาศัยปัจจัยในการแข็งตัวของเลือดรวมถึงเกล็ดเลือด ช่วยให้เกิดการอุดปิดบาดแผล
การป้องกันสิ่งแปลกปลอม (Protection of foreign body) เลือดป้องกันสิ่งแปลกปลอม
เช่น เชื้อโรค ตลอดจนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยกลไกการท างานของ เม็ดเลือดขาว
ความหนืด (Viscosity) 4.5-5.5 (เมื่อเปรียบเทียบกับน ้า)
อุณหภูมิ 37-38 องศาเซลเซียส
ความเป็นกรด-เบส (pH) 7.35-7.45
องค์ประกอบของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (Salinity) 0.9 เปอร์เซ็นต์
น้ าหนัก 8 % ของน้ าหนักร่างกาย ปริมาตร : เพศหญิง 5-6 ลิตร เพศชาย 4-5 ลิตร
องค์ประกอบของเลือด
พลาสมา (Plasma)
ส่วนที่เป็นน้ าเลือด เป็นของเหลวที่เป็นตัวกลาง
ให้เม็ดเลือดแขวนตัวลอยอยู่คิดเป็นสัดส่วน
ประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือด
โปรตีนในพลาสมามีคุณสมบัติทางกายภาพที่สำคัญทางสรีรวิทยา
อัลบูมิน และโกลบูลิน เป็นตัวส าคัญที่เกี่ยวข้องกับความดันออสโมติก (colloid osmotic
pressure) ในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
โกลบูลินซึ่งมีอยู่ในรูปของ แอลฟา (α) บีตา (β) และแกมมา (γ) เกี่ยวข้องกับการสร้าง
แอนติบอดี ฮอร์โมน และเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ
ไฟบริโนเจนช่วยในการแข็งตัวของเลือด โปรตีนทั้งหมดในพลาสมาท าหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์
ช่วยควบคุมระดับความเป็น กรด-เบส และท าให้เกิดความหนืดของเลือด ความเข้มข้นของ
โปรตีน
ชนิดโปรตีนในพลาสมา
อัลบูมิน
โกลบูลิน (α1, α2, β1, β2และ γ)
ไฟบริโนเจน
เม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements)
เซลล์เม็ดเลือดมีหลายชนิด ส่วนที่เป็นเม็ดเลือด (Corpuscles หรือ formed elements) คือส่วนที่เป็นตัวเซลล์แขวนลอยไหลเวียนในหลอดเลือดทั่วร่างกาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ขอเลือด โดยแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ
เม็ดเลือดขาว
เกล็ดเลือด หรือ ทรอมโบไซต์
เม็ดเลือดเเดง
การสร้างเลือดนอกไขกระดูก (Extramedullary hemopoiesis)
เม็ดเลือดแดง (Erythrocyte , red blood cell) ภายในเม็ดเลือดห่อหุ้ม
สารละลายต่างๆ
ฮีโมโกลบิน (hemoglobin)
เอ็นไซม์(enzyme)
อิออน (ion)
ทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และท าหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส (acid - base buffer) ของเลือด
การสร้างเลือด (Hemopoiesis)
1.การสร้างเลือดของทารกในครรภ์ (Embryonic or Pre-natal hemopoiesis)
การสร้างเลือดในระยะหลังคลอด (Post-natal hemopoiesis) เป็นการสร้างเลือดหลังจากที่ทารกคลอดมาแล้ว ยกเว้นพวกลิมโฟไซต์ที่มีการสร้างจากอวัยวะน้ าเหลือง
การสร้างเลือดในระยะนี้ สร้างจากพวกเซลล์มีเซนไคมอล ที่แทรกตามเนื้อเยื่อ ในอวัยวะเหล่านี้เป็นเซลล์ต้นก าเนิด และเป็นการสร้างนอกหลอดเลือด (extravascular hemopoiesis)
• ตับมีบทบาทในการสร้างเลือด ช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรือเกือบปลายเดือนที่ 2 และจะสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ได้สูงสุดใน เดือนที่ 4 และเดือนที่ 5 และจะค่อยๆ ลดบทบาทลงจนกระทั่งถึง 2-3 สัปดาห์ก่อนคลอด
• ม้ามในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ม้ามจะเริ่มมีหนาที่ในการสร้างเม็ดเลือด แต่เป็นเม็ดเลือดแดงมากกว่าเม็ดเลือดขาว ประมาณเดือนที่ 5 การสร้างเม็ดเลือดจะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคลอด
• หลังคลอดม้ามจะมีหน้าที่ในการสร้างลิมโฟไซต์(lymphocyte) อย่างเดียวไปตลอดชีวิต
• ต่อมไทมัส (thymus gland) เป็นอวัยวะแรกที่สร้างเม็ดเลือดพวกลิมโฟไซต์ก่อน อวัยวะน้ าเหลือง (lymphatic organ)และเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างยิ่งในการให้ก าเนิดลิมโฟไซต์ในร่างกาย แม้จะมีการสร้างในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
• ต่อมน ้าเหลือง เป็นอวัยวะที่สร้างเม็ดเลือดชนิดลิมโฟไซต์เริ่มจาก เดือนที่ 4 และ 5 และจะคงสร้างไปตลอดชีวิต
ระยะเมดัลลารี (Medullary period) เมื่อตับและม้ามลดอัตราการสร้างเม็ดเลือดลง อวัยวะที่จะท าหน้าที่แทน คือ ไขกระดูก (bone marrow) โดยจะเริ่มสร้างเม็ดเลือดต่างๆ ประมาณเดือนที่ 5 เป็นต้นไป โดยมีเซลล์ต้นกำเนิดจากเซลล์มีเซนไคมอล
กำเนิดและการพัฒนาของเซลล์เม็ดเลือด
(Origin and development of blood cell)
ทฤษฎีโมโนไฟลิติก (Monophyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่าเซลล์เม็ดเลือด ทุกชนิดกำเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษเดียวกันที่เรียกว่า "Totipotential hemocytoblast" โดยที่เซลล์นี้จะเจริญเป็นเม็ดเลือดแดง แกรนูลโลไซต์โมโนไซต์ลิมโฟไซต์และทรอมโบไซต์ได้ตามความต้องการของร่างกาย
ทฤษฎีโพลีไฟลิติก (Polyphyletic theory) ทฤษฎีนี้เชื่อว่า เม็ดเลือดแต่ละสายกำเนิดมาจากเซลล์บรรพบุรุษของตัวเอง และแต่ละชนิดจะไม่มีการสร้างข้ามสายกัน
เม็ดเลือดแดงถูกสร้างในไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นปัจจัยส าคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างเลือด มีฮอร์โมนอีริโทรพอยอีติน (Erythropoietin) ในเลือดเป็นตัวควบคุมการสร้าง
เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน
ถูกทำลายในม้าม ตับ และไขกระดูก
ปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือด เพศชายมีค่าเทากับ 5.5-6.0 ล้านเซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตร เพศหญิงมีค่าเท่ากับ 4.5-5.0 ล้านเซลล์/ลูกบาศก์มิลลิลิตร โดยปริมาณเลือดขึ้นอยู่กับอายุ บทบาทของร่างกาย ภูมิอากาศ ระดับความสูงของที่อยู่อาศัย พยาธิสภาพของโรคที่เกิดกับร่างกาย
การสร้าง erythropoietin และการสร้างเม็ดเลือดแดง
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin, Hb) คือ โปรตีนในเม็ดเลือดแดง ท าหน้าที่รับส่งแก๊สออกซิเจน และเป็นบัฟเฟอร์ที่ปรับความสมดุลของกรดและเบส แต่ละโมเลกุลของฮีโมโกลบินประกอบด้วย 4 หน่วยย่อย แต่ละหน่วยย่อยประกอบด้วย 1 ฮีม (heme) จับกับเปปไทด์สายยาว(polypeptide) 1 สาย ภายในมีธาตุเหล็ก (Fe) 1 อะตอม ฮีโมโกลบินเมื่อจับกันออกซิเจนจะเรียกว่าออกซิฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) โดยการจับกันของฮีโมโกลบิน กับ ออกซิเจนขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิความเป็นกรด-เบส ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และปริมาณ ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในกระแสเลือด (pCO2 และ pO2)
ความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง
Anemia เป็นสภาวะที่เลือดมีปริมาณฮีโมโกลบิน หรือมีค่าปริมาณเม็ดเลือดแดงอัดแน่นต่ำกว่า เสียเลือดทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง (acute and chronic hemorrhage) การสร้างหรือการเจริญของเม็ดเลือดแดงช้า (mononuclear deficiency) ไขกระดูกผิดปกติ (aplastic bone marrow) หรือผนังเม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่ายทำให้มีผลต่อขนาดเซลล์และปริมาณฮีโมโกลบินในเซลล์แตกต่างกันไป
Normocytic normochromic anemia ขนาดเซลล์ และความเข้มข้นฮีโมโกลบินในเซลล์ปกติเเต่จ านวนเม็ดเลือดแดงในเลือดต ่า เช่น กรณี acute hemorrhage
Microcytic hypochromic anemia (iron deficiency anemia) เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก ปริมาณฮีโมโกลบินต ่า พบในกรณี chronic hemorrhage หรือทารกที่ขาดธาตุเหล็กในอาหาร
Macrocytic hypochromic anemia (pernicious หรือ mononuclear anemia) เซลล์มี ขนาดใหญ่ ปริมาณฮีโมโกลบินมาก แต่ จ านวนเซลล์น้อยเกิดจากการขาดantianemia (หรือ hemotinic) factor
Aplastic anemiaเกิดจาก bone marrow ผิดปกติอาจจะเกิดขึ้นเองหรือได้รับรังสีมากเกินไป
Hemolytic anemia เกิดจากเม็ดเลือดแดงถูกท าลายมากกว่าปกติ อาจจะเนื่องมาจากสารเคมี
เม็ดเลือดขาว (Leucocyte , white blood cell)
1) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยสู่เนื้อเยื่อไปยัง บริเวณที่มีเชื้อโรค (Diapedesis)
2) เม็ดเลือดขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปหาเชื้อโรค โดยการดึงดูดของสารเคมีที่ถูกปล่อยจากเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย (Chemotaxis)
3) เม็ดเลือดขาวสามารถจับกินสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีคล้ายอะมีบา เข้าโอบล้อม และย่อยเชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมนั้น (Phagocytosis)
แบ่งเม็ดเลือดขาวออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ
ชนิดมีแกรนูล หรือมีนิวเคลียสหลายแบบ (Granulocytic or polymorpho nuclear cell)
นิวโทรฟล (Neutrophil or polymorphonuclear cell, PMN) มี ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดง
อีโอสิโนฟล (Eosinophil) มีขนาดประมาณ 12 ไมครอน รูปร่าง เหมือนนิวโทฟิล ต่างกันที่ส่วนใหญ่นิวเคลียสจะมี 2 พู ในไซโทพลาซึมจะมีแกรนูลเม็ดใหญ่
เบโซฟิล (Basophil) รูปร่างเหมือนนิวโทฟิลต่างกันที่นิวเคลียสมีได้ตั้งแต่ 2-5 พู แต่มักจะเห็นนิวเคลียสได้ไม่ชัดเนื่องจากถูกบดบังด้วยแกรนูลซึ่งมีขนาดใหญ่ ติดสีน้ าเงินเข้มกระจายทั่วไซโทพลาซึม
ชนิดไม่มีแกรนูล หรือ มีนิวเคลียสเดียว (Agranulocytic or mononuclear cell)
โมโนไซต์(Monocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกระแสเลือด ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงประมาณ 2-3 เท่าหรือประมาณ 14-20 ไมครอน นิวเคลียสมักจะเว้าหรือเป็นลอน
ิมโฟไซต (Lymphocyte) โดยทั่วไปเป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดเล็กที่สุด ใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงเล็กน้อย
เกล็ดเลือด (Thrombocyte , platelet) เป็นองค์ประกอบของเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุด
กลไกห้ามเลือด(Homeostasis) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
หลอดเลือดหดตัว (Vasoconstriction) เมื่อเกิดบาดแผล สารซีโรโทนิน (serotonin) จากเกล็ดเลือดจะกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว
การเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Platelet aggregation) คือ เซลล์ที่ได้รับความเสียหาย และ เกล็ดเลือด จะปล่อยสาร ADP (adenosine diphosphate) ออกมาท าให้เกล็ดเลือดเกิดการเปลี่ยนรูปร่าง และรวมกัน (aggregate) อุดหลอดเลือดที่เกิดบาดแผล
การแข็งตัวของเลือด (Coagulation, clot) เกิดจากปฏิกิริยาของเกล็ดเลือด สารต่างๆ ในพลาสมา และสารจากเนื้อเยื่อที่เกิดบาดแผล แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนย่อย
การเกิดการกระตุ้นโปรทรอมบิน (prothrombin activation)
Extrinsic pathway เกิดจากการท าลายเซลล์หลอดเลือด และ เซลล์ข้างเคียงจะกระตุ้นให้เซลล์เหล่านี้สร้างทรอมโบพลาสติน (tissue thromboplastin)
Intrinsic pathway เกิดขึ้นภายในหลอดเลือด เมื่อเกล็ดเลือดเกิด การแตกจะมีการทำปฏิกิริยากันของสารที่หลั่งออกมาจากเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดได้ทรอมโบพลาสติน (intrinsic thromboplastin)
การเปลี่ยนโปรทรอมบิน (prothrombin) เป็นทรอมบิน (thrombin) ทรอม โบพลาสติน(thromboplastin) ที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นการเปลี่ยนโปรทรอมบิน เป็นทรอมบิน
การเปลี่ยนไฟบริโนเจน (fibrinogen) เป็นไฟบริน (fibrin) ทรอมบินที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนไฟบริโนเจน เป็นไฟบริน โดยใช้แคลเซียมอิออน (Ca 2+) และปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดต่าง ๆ ไฟบรินเป็นเส้นใยโปรตีนที่ไม่ละลายน ้ามีการรวมตัวกันแน่นประสานเป็นร่างแห และยึดจับกับเม็ดเลือดแดงกลายเป็นก้อนเลือด (clot)
การเกิดการหดตัวของก้อนเลือด (clot retraction) มีการหดตัวของก้อนเลือดและร่างแหท าให้น ้าเลือด (ซีรั่ม) ออกจากก้อนเลือด และเป็นผลให้เกิดการเชื่อมติดบาดแผลมากขึ้นบาดแผลหลังจากเกิดก้อนเลือดอุดบาดแผล และไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว เซลล์ไฟโบรบลาส(fibroblast) จะท าหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อประสาน เจริญแทรกเข้าไปในก้อนเลือด
หมู่เลือดระบบ ABO
จัดเป็นหมู่เลือดที่ส าคัญที่สุดในการให้เลือด เป็นหมู่เลือดระบบแรกที่มีการตั้งชื่อไว้โดยอาศัยโปรตีนที่ท าหน้าที่เป็นแอนติเจน (antigen, Ag) บนผิวของเม็ดเลือดแดงที่มีชื่อว่า Ag-A และ Ag-B สามารถแบ่งได้เป็นหมู่เลือดชนิดย่อย คือ หมู่เลือด กลุ่ม A B O และ AB สามารถตรวจสอบหมู่เลือดโดยอาศัยปฏิกิริยาทางวิทยา
หมู่เลือดระบบ Rh
เมื่อเลือดของแม่ที่มีแอนติบอดีนี้ผ่านรกไปยังลูกที่อยู่ในครรภ์ซึ่งมีแอนติเจนที่จ าเพาะ
กันจึงก่อให้เกิดการสลายเม็ดเลือดแดงของลูก ท าให้เกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด
ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ Landsteiner และ Wiener ซึ่งได้ท าการฉีดเม็ด
เลือดแดงของลิงรีซัส (Rhesus) เข้าไปในกระต่าย ซีรั่มของกระต่ายสามารถท าปฏิกิริยากับเม็ด
เลือดแดงของคนผิวขาวได้