Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การก่อกำเนิดชีวิตใหม่ - Coggle Diagram
การก่อกำเนิดชีวิตใหม่
ก่อนการปฏิสนธิ
(Before fertilization
เซลล์สืบพันธุ์
เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
ลักษณะของเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย
หรือที่เรียกกันว่า
อสุจิ
มีทั้งหมด 3 ส่วน
ส่วนที่ 1
คือส่วนหัว (Head)
ภายในบรรจุรหัสพันธุกรรม โครโมโซม X และ Y ไปผสมกับเซลล์สืบพันธุ์ของผู้หญิง
มีอะโครโซมห่อหุ้ม
สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท
ตัวที่นำโครโมโซม X
จะมีลักษณะป้อม อ้วน เคลื่อนที่ได้ช้า แต่สามารถทนได้ทั้งสภาพกรดและเบส
ตัวที่นำโครโมโซม Y
จะมีลักษณะหัวแหลม เคลื่อนที่ได้เร็ว ชอบเบส ถ้าอยู่หรือเจอสภาพความเป็นกรดจะทำให้ตาย
ส่วนที่ 2
คือส่วนลำตัว (midpiece)
มีเกลียวอยู่ภายใน เป็นแหล่งสร้างพลังงาน
ส่วนที่ 3
คือหาง
ใช้ในการเคลื่อนที่
กระบวนการสร้างสเปิร์ม (Spermatogenesis)
เริ่มจากเซลล์เริ่มต้นที่เรียกว่า
primary spermatocyte; 2n
ที่เป็นเนื้อเยื่อเจริญในอัณฑะ
เซลล์นี้เพิ่มจำนวนตัวเองโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
เมื่อเซลล์นี้มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จะได้เซลล์ที่เป็นแฮพลอยด์ เรียกว่า
secondary
spermatocyte
เมื่อเซลล์นี้แบ่งเซลล์ต่อจนเสร็จสิ้นไมโอซิส จะได้สเปิร์มเริ่มต้น (developing sperm cell) ซึ่งจะพัฒนาต่อไปจนได้สเปิร์มที่สมบูรณ์
ผู้ชายจะมีต่อมเพศคือ
อัณฑะ ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศ
ภายในอัณฑะประกอบด้วยท่อขนาดเล็กม้วนขดอยู่ภายในเรียกว่า
ท่อเซมินิฟอรัสทิวบูล (Seminiferous Tubules)
ทำหน้าที่สร้างสเปิร์ม ซึ่งต้องผ่านกระบวนการแบ่งเซลล์สืบพันธุ์ หรือ
สเปอร์มาโทเจเนซิส (Spermatogenesis) ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสืบพันธุ์ เพื่อเพศชายเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์
รูปภาพประกอบ
เซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง
โครงสร้างของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
ระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง มีความซับซ้อนกว่าเพศชาย เพราะประกอบด้วยสร้างโครงสร้างสำหรับเซลล์สืบพันธุ์หรือ
เซลล์ไข่ (Immature Gamete)
รองรับสเปิร์ม สร้างฮอร์โมนเพศ และเป็นที่ฝังตัวเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของตัวอ่อน โครงสร้างที่ทำหน้าที่ดังกล่าวได้แก่
รังไข่ (Ovary)
โครงสร้างทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนและเซลล์สืบพันธุ์หรือไข่
กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์หรือไข่ (Oogenesis)
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง
1.
รังไข่ (ovary) ทำหน้าที่สร้างไข่ และสร้างฮอร์โมน
2.
มดลูก (uterus) เป็นบริเวณที่เจริญเติบโตของทารก
3.
ท่อนำไข่เพศหญิง (vegina) เป็นท่อกล้ามเนื้อยืดหยุ่น เชื่อมต่อระหว่างมดลูกและระบบสืบพันธุ์ด้านนอก ทำหน้าที่รองรับสเปิร์มและคลอดทารก
4.
ปากมดลูก
เคยผ่านคลอดบุตร
มีรอยเป็นลักษณะเป็นริ้ว
ไม่เคยผ่านการคลอดบุตร
มีจุดเล็กๆ มีลักษณะเนียน
5
.ช่องคลอด
เป็นกล้ามเนื้อลาย สามารถหดขยายได้
กระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์หรือไข่
เริ่มนากเซลล์ที่จะเจริญไปเป็นเซลล์สืบพันธุ์หรือเรียกว่า
โอโอโกเนีย (Oogonia)
จากการศึกษาพบว่า Oogonia นี้มีในรังไข่ของทารกหญิงก่อน
คลอดเป็นจำนวนมาก
และไปเป็น
โอโอไซต์ขั้นที่ 1 (Primary Oocyte)
เมื่อถึงเวลาใกล้เวลาคลอดเป็นจำนวนมากและไปเป็น
โอโอไซต์ขั้นที่ 1 ระยะ prophase I
และจะหยุดอยู่ในระยะนี้จนกระทั่ง
ทารกหญิงเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
ขณะที่
ฟอลิเคิลเข้าสู่ระยะมาทัว(mature)
จะเคลื่อนที่เข้าใกล้ผนังรังไข่รูปร่างคล้ายถุงน้ำ เซลล์ของจะหลั่ง
เอ็นไซม์โพทิโอไลติก (proteolytic Enzyme)
ย่อยผนังรังไข่ทำให้
โอโอไซต์ขั้นที่ 2 ผ่านผนังรังไข่เข้าสู่ช่องท้อง
ฟอลิเคิลที่เหลืออยู่ในรังไข่จะเจริญและพัฒนาเป็น
คอร์พัสลูเทียม (Corpus luteum)
ฮอร์โมน FSH เป็นตัวกระตุ้นให้ฟอลิเคิลเจริญและขยายขนาดขึ้นได้ และเมื่อฟอลิเคิลเจริญขึ้นจะสร้างและหลั่งฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen) ส่วนคอร์พัสลูเทียมจะสร้างและหลั่งฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen) และโพเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมลักษณะขั้นที่ 2 ของเพศหญิง ได้แก่ การมีเสียงเล็กแหลม นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญของมดลูก การมีประจำเดือน
การทำงานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
(Hormone regulates reproduction
ฮอร์โมนควบคุมการทำงานในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงมีความซับซ้อนกว่าการทำงานในเพศชาย ประกอบด้วยฮอร์โมนที่สำคัญอย่างน้อย 5 ชนิด ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันในวงจรประจำเดือนและวงจรไข่ (ovarian cycle)
กลไกการทำงานของฮอร์โมนแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ กลไกสนองกลับแบบกระตุ้นและกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง การทำงานที่ประสานกันของฮอร์โมน คือ ในแต่ละเดือนขณะที่มีการเจริญเติบโตของฟอลิเคิลและตกไข่นั้น ส่วนของผนังมดลูกได้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของเอ็มบริโอไปพร้อมกัน
การมีประจำเดือนของเพศหญิงจะเริ่มต้นตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นจนถึงวัยอายุประมาณ 50 ปี วงจรประจำเดือนทุกๆ 28 วัน วันแรกของวงจรคือวันที่มีประจำเดือนไหลออกมาจากช่องคลอด ส่วนการตกไข่จะเริ่มวันที่ 14 ของวงจรประจำเดือน โดยฮอร์โมนจาก
ไฮโพทาลามัส ต่อมใต้สมองส่วนหน้า และจากรังไข่
จะทำหน้าที่ควบคุมประจำเดือน
รูปภาพประกอบ
หลังการปฎิสนธิ
(After fertilization)
การเปลี่ยนแปลงภายหลังการปฏิสนธิ
Cortical and zona reactions Cortical granules ซึ่งอย่บูบริเวณผิวด้านในของ plasma membrane ของ oocyte ปล่อย lysosomal enzyme ออกมา ทำให้ plasma membrane ของ oocyte มีคุณสมบัติป้องกันการทะลุผ่านของ sperm ตัวอื่น Enzyme เหล่านี้ยังไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและส่วนประกอบของ zona pellucida (เรียกว่า zona reaction) โดยป้องกันไม่ให้มี sperm อื่นสามารถ ทะลุผ่านได้อีก นอกจากนี้ยังไป inactivate receptor sites สำหรับ sperm ที่อยู่ที่ผิวของ zona pellucida อีก ทำให้ไม่เกิดการ binding ของ sperm กับ zona pellucida ผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิซ้อน (polyspermy)
Resumption of the second meiotic division ทันทีที่มี sperm เข้ามารวม secondary oocyte ซึ่งเดิมเคยหยุดการแบ่งตัวอยู่ที่ระยะ metaphase ของ second meiotic division ก็จะแบ่งตัวต่อไปจนเสร็จ ได้เป็น second polar body และ definite oocyte Nucleus ของ definiteoocyteในระยะนี้เรียกว่า female pronucleus
Metabolic activation of the egg เป็นการกระตุ้น metabolism ของ oocyte เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเกิดเป็น embryo
การเจริญเติบโตของตัวอ่อน
การเจริญช่วงสัปดาห์แรก
ประมาณวันที่ 7 หลังจากการปฏิสนธิ เอ็มบริโอจะสร้างถุงคอเรียนล้อมรอบเอ็มบริโอและมีบางส่วนยื่นเป็นแขนงเล็กๆแทรกในเอนโดมิเทียมของมดลูก ซึ่งต่อมาจะพัฒนาเป็นรก ดังนั้นรกจึงประกอบด้วยส่วนของถุงคอเรียนของลูกและเนื้อเยื่อชั้นเอนโดมีเทียมของแม่ เอ็มบริโอมีการสร้างถุงน้ำคร่ำหุ้มตัวเอง ภายในถุงบรรจุของเหลวที่เรียกว่า
น้ำคร่ำ
เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนและช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวอย่างอิสระ และ เอ็มบริโอยัง
ยังมีการสร้างสายสะดือเชื่อมกับรก
การเจริญในช่วงสัปดาห์ที่ 2
เมื่ออายุได้ 2 สัปดาห์ เอ็มบริโอจะมีความยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร
มีการเจริญเติบโตในระยะแกสทรูลา
ทำให้เกิดเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ เอกโทเดิร์ม (ectoderm) เมโซเดิร์ม (mesoderm) และเอนโดเดิร์ม (endoderm) โดยเอกโทเทิร์มจะเจริญเป็นเยื่อบุผิว เยื่อบุผิวของโพรงจมูก เยื่อบุผิวที่ทำหน้าที่รับกลิ่น ระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง เลนส์ตา สารเคลือบฟัน และเมโซเดิร์มจะเจริญเป็นโนโทคอร์ด (notochord) ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบโครงร่างค้ำจุนร่างกาย ชั้นหนังแท้ ระบบขับถ่าย ระบบสืบพันธุ์ และเอนโดเดิร์มจะเจริญไปเป็นเยื่อบุทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร
การเจริญในช่วงสัปดาห์ที่ 3
เริ่มปรากฏร่องรอยของระบบอวัยวะ ได้แก่
ระบบประสาท หัวใจ มีลักษณะเป็นท่อ และเริ่มต้นเป็นจังหวะ ระยะนี้เอ็มบริโอ
มีความยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร หลังจากนั้นเอ็มบริโอจะเริ่มมีอวัยวะต่างๆเพิ่มมากขึ้น
การเจริญในช่วงสัปดาห์ที่ 4
แขนและขาเริ่มปรากฏชัดเจนเมื่ออายุได้ 4 สัปดาห์ อวัยวะต่างๆ จะเจริญเติบโตและมีอวัยวะครบเมื่ออายุได้ 8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะสั้นสุดของเอ็มบริโอ และหลังจากนี้แล้วจะเรียกว่า
ฟิตัส
การเจริญในช่วงสัปดาห์ที่ 8-9
เมื่ออายุได้ 8-9 สัปดาห์
จะมีนิ้วมือและนิ้วเท้า
เจริญให้เห็นได้อย่างชัดเจน สามารถบอกเพศได้ ในช่วงเดือนที่ 4-6 ฟิตัสจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น
สามารถรับฟังเสียงจากภายนอกได้ มีการเจริญเติบโตของกระดูก มีผม มีขน
ฟิตัสในเดือนที่ 6 จะมีน้ำหนักประมาณ 680 กรัม ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ มีระบบประสาทเจริญมาก
การเจริญขั้นต้นของตัวอ่อน
การเจริญของสัตว์อาศัยการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นๆมีแบบแผนแน่นอนกระบวนการเจริญจะต้องมีการเพิ่มจำนวน (cell multiplication) โดยแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส การเติบโต (growth) โดยการเพิ่มปริมาณโพรโตพลาสซึมการเปลี่ยนโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะ (cell differentiation) และการเกิดรูปร่างแน่นอน (morphogenetic) การเจริญขอบสิ่งมีชีวิตที่เริ่มต้นตั้งแต่ ไซโกตแบ่งอย่างรวดเร็วแล้วมี differentiation จนถึงระยะที่มีอวัยวะต่างๆ ครบเรียกว่า
embryonic development
การฝังและพัฒนาการของตัวอ่อน
พัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์
ระยะที่ 1
Pre-embryonic Stage ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงสัปดาห์ที่ 2
ระยะที่ 2
Embryonic Stage เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 2 ของการปฏิสนธิจนถึงสัปดาห์ที่ 8
ระยะที่ 3
Fetal stage เริ่มตั้งแต่สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 8 จนถึงระยะคลอด
Pre-embryonic stage
1.การปฏิสนธิ(Fertilization)มักเกิดขึ้นบริเวณแอมพลูา (Ampula)ของท่อนำไข่
2.การผสมกันระหว่างไข่ (Ovum) และอสุจิ(Sperm)ได้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว เรียกไซโกท มี 46 โครโมโซม (Chromosome) โดยได้รับจากบิดาและมารดาอย่างละครึ่ง
3.ไข่ที่มีการปฏิสนธิแล้วจะมีการแบ่งเซลล์ (Cleavage) อย่างต่อเนื่องจนได้เซลล์ มีลักษณะคล้ายลูกน้อยหน่า เรียก โมรูลา (Morula)
4.เซลล์โมรูลาจะเคลื่อนตัวเข้าสู่โพรงมดลูกระยะนี้เซลล์จะพัฒนาไปเป็น บลาสโตซีส เซลล์ด้านในเรียก อินเนอร์เซลล์แมส ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นตัวอ่อน และเยื่อหุ้มตัวอ่อนชั้นในคือ Amnion ต่อไป
5.เซลล์ด้านนอกของ บลาสโตซีส เรียก โทรโฟบลาส จะพัฒนาไปเป็นรก และเยื่อหุ้มตัวอ่อนชั้นนอกเรียกว่า Chorion
6.การฝังตัว (Implantation)เกิดขึ้นภายใน7-10วันหลังจากการปฏิสนธิ
Embryonic stage
เร่ิมพัฒนาการทางสมอง/พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ปุ่มระยางค์เจริญมากขึ้น
หัวใจเร่ิมเต้นด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ
มีการเจริญของปอด การไหลเวียนเลือด ตับมีการสร้างเม็ดเลือดแดง
สามารถตรวจวัดคลื่นสมองได้
เร่ิมปรากฏต่อมเพศให้เห็น
เห็นรยางค์ชัดเจนมากขึ้น
เห็นลำไส้
Fetal Stage
การเจริญแยกเพศอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์ท่ี 9-12
มีเส้นผมบาง ๆ ปกคลุม เรียก Lanugo
สมองมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว
สามารถฟังเสียงหัวใจผ่านหน้าท้องมารดาได้ในสัปดาห์ท่ี17-20
พัฒนาถุงลมปอด เร่ิมสร้างสาร Surfactant ในสัปดาห์ท่ี 21-24
ทารกพัฒนาสมบรูณ์เมื่ออายุครรภ์ 38-40 สัปดาห์
ครรภ์แฝด
ช่วงการเกิดปฏิสนธิ
(Fertilization)
การปฏิสนธิและการฝังตัว
การปฏิสนธิ หรือ Fertilization
หมายถึง การที่เชื้ออสุจิของเพศชายทำการผสมกับเซลล์ไข่ของเพศหญิง การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นบริเวณ
ท่อนำไข่
และกลายเป็นตัวอ่อนและฝังตัวใน
มดลูก
โดยจะเกิดขึ้น
ในสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์
เมื่อมีการปฏิสนธิขึ้น เซลล์ไข่ที่ทำการผสมกับเซลล์อสุจิแล้วจะเรียกว่า
ไซโกต (Zygote)
จะเคลื่อนที่จากท่อนำไข่ลงไปยังมดลูก
โดยที่ผนังมดลูกจะหนาตัวขึ้นเพื่อรองรับการฝังตัวของตัว
การตั้งครรภ์นั้นเป็นคำรวมของ
การปฏิสนธิ (fertilization)
การฝังตัว (implantation) การพัฒนาของตัวอ่อน (embryonic development และการเจริญของทารก (fetal growth)
รวมทั้งการปฏิสนธิภายในหลอดแก้ว ฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ และการวินิจฉัยหาความผิดปกติต่างๆ
การปฏิสนธิเกิดภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังการตกไข่ ปกติจะเกิดที่แอมพลูล่าของท่อนำไข่ แล้วฝังตัวตรงกลางของมดลูก (intrauterine site) แต่ฝังตัวผิดตำแหน่ง เช่น ในช่องท้อง ท่อนำไข่ ปากมดลูก หรือรังไข่ เกิดการท้องนอกมดลูก(ectopic pregnancy) จะมีผลให้เกิดการตกเลือด (hemorrhage) ระหว่างแปดสัปดาห์แรกและการเสียชีวิตของตัวอ่อน
เมื่อมีการหลั่งอสุจิออกมาสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิงน้ำอสุจิ นั้นจะมีการจับตัวเป็นก้อนในตอนแรกและจะเริ่มละลายตัวใน ไม่กี่นาทีต่อมาและจะกินเวลาไม่เกิน30นาทีอสุจิก็จะเร่ิม เดินทางเข้าไปในปากมดลูกโดยผ่านรูเปิดด้านนอกของปากมดลูกเข้าไปตามทฤษฎีแล้วเชื่อว่าจะช่วยให้อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในระบบสืบพันธ์ุเพศหญิงได้นานถึงสามวัน ซึ่งในช่วงนี้อสุจิจะค่อยๆ ทยอยออกมาจากปากมดลูกว่ายเข้าไปสู่โพรงมดลูกและท่อนำไข่หากมีไข่ตกออกจากรังไข่ในช่วงนี้ก็มีโอกาสปฏิสนธิได้ค่อนข้างสูง
แต่ก่อนที่จะมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นได้นั้นจะมีเซลล์พี่เลี้ยงอยู่ ล้อมรอบเซลล์ไข่ จะต้องทำการแยกตัวออก เพื่อเป็นหนทางให้อสุจิสามารถผ่านเข้าไปถึงเซลล์ไข่ ได้การปฏิสนธิจะเสร็จสมบรูณ์ภายใน1ชั่วโมง หรือไม่เกิน 4 ชั่วโมงภายหลังจากที่อสุจเข้าไปพบกับไข่การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนปลายของท่อนำไข่ใกล้กับรังไข่และหลังจากที่ตัวอ่อนเดินทางกลับ มาถึงโพรงมดลูกแล้ว เราจะเรียกตัวอ่อนระยะนี้ว่า Blastocyst (บลาสโตซิสท์)
ในวันที่7หลังการตกไข่ตัวอ่อน Blastocyst จะแทรกตัวจม ลงไปในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกจะคลุมตัว อ่อนไว้โดยสมบรูณ์ ตัวอ่อน Blastocyst จะทำการเชื่อมต่อ ตัวมันเองกับกระแสเลือดของแม่โดยเร็วเพื่อที่จะรับ สารอาหารต่างๆ และออกซิเจนจากแม่ ตัวอ่อน Blastocyst จะสามารถทำการขับถ่ายของเสียออกสู่กระแสเลือดแม่ และ แม่ก็จะขับของเสียนั้นออกทางปัสสาวะอีกทีหน่ึงการ เจริญเติบโตของตัวอ่อนในเวลาสั้น ๆ นี้ราวกับเป็นส่ิงมหัศจรรย์เร่ิมจากตัวอ่อนเซลล์เดียวได้แบ่งเซลล์เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลเป็นล้านๆเซลล์จนกระทั่งเป็นรูปร่างของ
มนุษย์ที่มีระบบการทำงานของร่างกายท่ีสลับซับซ้อนภายในเวลาเพียงเก้าเดือน
ผลของการปฏิสนธิ
จะได้โครโมโซม 2n เกิดการแปรผันของสปีชีส์ซึ่งมาจากพ่อและแม่อย่างละครึ่ง
เกิดเพศของไซโกตและเกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสที่เป็นการเริ่มต้นของคลีเวจ
การเกิดการปฏิสนธิ
ระยะที่ 1
อสุจิผ่าน corona radiation
ระยะที่ 2
อสุจิทะลุผ่าน zona pellucida
ระยะที่ 3
อสุจิ 1 ตัวเจาะผ่าน plasma membrane ของ Oocyte โดยทิ้ง plasma membrane ไว้ที่ผิว
กระบวนการปฏิสนธิ (fertilization)
เป็นกระบวนการที่เกิดการรวมกันของ male และfemale gametes เกิดขึ้น ท่ี ampulla part of uterine tube มีเพียง 1 % ของ sperm ที่อยู่ใน vagina เท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปใน cervix ได้ การเคลื่อนที่ของ sperm จาก cervix ไปยัง uterine tube ใช้เวลาอย่างน้อย 2-7 ชั่วโมง โดยเกิดจากการเคลื่อนไหว ของตัวมันเองร่วมกับการโบกพัดของ fluid ที่สร้างจาก uterine cilia เมื่อ sperm เคลื่อนที่มาถึงบริเวณ ampulla นั้นมันยังไม่ สามารถปฏิสนธิกับoocyte ได้ทันทีแต่จะต้องเกิดกระบวนการ Capitation และ Acrosome reaction
ขั้นตอนการปฏิสนธิ
1.Penetration of the corona radiata เป็นระยะท่ี sperm แทรกผ่าน corona cells
2.Penetration of zona pellucida zona pellucida เป็น glycoprotein shell ที่เห็นเป็นชั้นใส ๆ หุ้มอยู่บริเวณชั้น นอกของ oocyte มีบทบาทในการชักนำให้เกิด binding และ acrosome reaction Enzymeacrosin ที่เกิดจาก acrosome reaction ทำให้ sperm สามารถแทรกผ่าน zona pellucida จนเข้า ไปสัมผัสกับ cell membrane ของ oocyte
3.Fusion of the oocyte and sperm cell membranes หลังจากท่ี sperm สัมผัส กับ oocyte จะเกิดการรวมกันของ cell membrane ของทั้งคู่ส่วน head และ tail ของ sperm เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปใน cytoplasm ของ oocyte ส่วน plasma membrane ของ sperm จะถูกทิ้งอยู่ภายนอกติดกับ plasma membrane ของ oocyte
Zona Pellucina
Zona Pellucina (ZP) เป็นชั้นของ สารคล้ายเจลาติน (gelatin) ซึ่งอยู่รอบๆ ไข่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสารประกอบ ไกลโคโปรตีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Tissue-specific แต่ไม่เป็น species spacific มีหน้าที่เป็น specific receptor สำหรับให้สเปิร์มในสปีชีส์นั้นๆ มาจับแล้วเจาะผ่านเข้าไปรวมตัวกับนิวเคลียสของไข่ เกิดการปฏิสนธิ
Corona Radiation
Corona radiata เป็นชั้นเซลล์ฟอลลคิลูาร์หนาที่ล้อมรอบ zona pellucida ของไข่ ทำงานเป็นเกราะป้องกันเซลล์สำหรับไข่ที่โตเต็มที่คล้ายกับ zona pellucida
Corona radiata ปล่อยสารดึงดูดทางเคมีสาหรับตัวอสุจิ ดดังนั้นโคโรนาเรเดียต้าจึงดึงดูดสเปิร์มหลายร้อยตัวเข้าหาไข่
Capacitation
เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นกับ sperm หลังจากที่มีการสัมผัส femalegenitaltract เพื่อทำให้ sperm สามารถเข้าสู่กระบวนการ acrosomereaction ได้ Sperm ที่ไม่ผ่านขบวนการนี้จะไม่สามารถแทรกผ่าน cell ที่อยู่ coronaradiata ได้ ขั้นตอนนี้ใช้เวลา ประมาณ 7 ชั่วโมง
Capacitation คือ การสลัดปลอกหุ้มหัวออกของตัวอสุจิหรือเป็นการกำจัด พวก glycoprotein coat และ plasma membrane ของ sperm ออกไป เพื่อที่จะสามารถเจาะเข้าไปผสมกับรังไข่ได้เกิดขนึ้หลังจากการ ejaculation ของอสุจิผ่านเข้าไปใน female reproductive tract
Acrosome reaction
เกิดขึ้นโดยการชักนำของ zonaproteins หลังจาก sperm สัมผัสกับ zonapellucida ของ oocyte ขบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อย enzyme ที่จำเป็นต่อการแทรกผ่าน zona pellucida เช่น acrosin และ trypsin-like substance
Acrosomereaction กระบวนการที่อสุจิปล่อยเอนไซม์(degradative enzyme)ที่บรรจุอยู่บบริเวณ acrosome ออกมาเพื่อย่อยชั้น zona radiata ของ oocyte และผ่านเข้ามาสู่ชั้น zonapellucidaของoocyte ต่อไป
รูปภาพประกอบ