Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 12 บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจ…
บทที่ 12
บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
พฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy)
เป็นวิธีการรักษาทางจิตเวชวิธีหนึ่งที่นำหลักการของทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) มาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พฤติกรรมบำบัดต่างจากการรักษาทางด้านจิตใจอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาด้วยจิตบำบัด ซึ่งจะเน้นที่การทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงความขัดแย้งในจิตใจที่เป็นสาเหตุของปัญหา
เทคนิคที่ใช้บ่อยในการรักษาผู้ป่วยจิตเวช
การใช้แรงเสริมพฤติกรรม (Reinforcement) หลักการใช้แรงเสริม คือ
ให้ทันทีหลังจากพฤติกรรมที่ต้องการเกิดขึ้น ซึ่งควรมีทั้งแรงเสริมทางสังคม เช่น การชมเชย
การฝึกการแสดงออกที่เหมาะสม (Assertive Training) คือการฝึกทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น หรือโลกภายนอก ที่ทำให้ตนรู้สึกพอใจ ภาคภูมิใจและเกิดความนับถือตนเอง
การขจัดความรู้สึกอย่างเป็นระบบ (Systemic Desensitization)หรือการลดความไหวเร็วเป็นระบบ คือ การฝึกให้ผู้ป่วยต่อต้านความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลของตนโดยการผ่อนคลายแล้วจึงให้เผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้ผู้ป่วยกลัวหรือวิตกกังวลน้อยที่สุด ไปจนถึงสถานการณ์ที่กลัวหรือกังวลมากที่สุด
การเรียนรู้จากตัวแบบ (Social Modeling Technique)เป็นการสร้างพฤติกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น ด้วยการเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบพฤติกรรมของตัวต้นแบบยิ่งมีความคล้ายคลึงของตัวต้นแบบและผู้เรียนรู้มากเท่าใดโอกาสที่จะเกิดการเรียนรู้ใหม่ยิ่งมากขึ้น
การใช้ตัวกระตุ้นที่ไม่พึงพอใจ (Aversive Therapy)เป็นการลดหรือเป็นการจัดการกับพฤติกรรมด้วยการวางเงื่อนไขแบบ Operant conditioningให้เกิดการทำโทษ โดยให้พฤติกรรมนั้นทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์กับผู้ป่วย
การสร้างพฤติกรรมใหม่ (Behavior rehearsal) เหมือนวิธี Systemic Desensitization แต่ในภาพDesensitization แทนที่จะให้ผู้ป่วยจินตนาการถึงเหตุการณ์ หรือสิ่งซึ่งผู้ป่วยกลัวหรือกังวล ก็สร้างสถานการณ์ที่คล้ายของจริงขึ้นมาแทน
การขจัดพฤติกรรม (Extinction) เป็นการหยุดยั้งหรือขจัดพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ต้องการด้วยการหยุดแรงเสริมพฤติกรรมนั้น เช่น ผู้ป่วยกรีดร้องเมื่อต้องการความสนใจจากคนรอบข้าง หากงดแรงเสริมดังกล่าวโดยไม่ให้ความสนใจเมื่อผู้ป่วยกรีดร้องพฤติกรรมดังกล่าวจะค่อยๆ ลดลง
บทบาทของพยาบาล
ให้กำลังใจผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มต้นการรักษาจนกระทั่งสิ้นสุดการรักษา
เพื่อให้ผู้ป่วยมีกำลังใจรักษาอย่างต่อเนื่อง
ร่วมกับผู้ป่วยประเมินผลการรักษา
ร่วมกับแพทย์และผู้ป่วยเลือกวิธีการรักษา
ช่วยสถานที่และจัดสภาพการณ์ที่เหมาะสมกับวิธีการรักษาแต่ละวิธี
เป็นผู้บำบัดหรือผู้ช่วยเหลือผู้บำบัด
การบำบัดรักษาทางจิตใจหรือจิตบำบัด (Psychotherapy)
เป็นการรักษาทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เพื่อแก้ไขอาการอันเกิดจากความผิดปกติด้านจิตใจ อารมณ์หรือปรับปรุงบุคลิกภาพของผู้ป่วย โดยอาศัยความสัมพันธ์ การสื่อสารระหว่างผู้บำบัดกับผู้ป่วยและทฤษฎีทางจิตวิทยาเป็นสำคัญ ทำให้ความคิดความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ป่วยเป็นที่ยอมรับของสังคม
ประเภทของจิตบำบัดจำแนกตามจำนวนผู้ป่วย แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
จิตบำบัดรายบุคคล (Individual psychotherapy) เป็นการรักษาที่สนใจปัญหาเฉพาะอย่างของผู้ป่วย
จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) เป็นการรักษาทางจิตที่เน้นบทบาทของแรงในจิตไร้สำนึกในโรคประสาท ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากการสะกดจิต ปรากฏการณ์บางอย่าง เช่น การฝัน และการพลั้งปาก
จิตบำบัดแบบหยั่งเห็น (Insight Psychotherapy) มุ่งบำบัดอาการของผู้ป่วยให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริงต่อความขัดแย้งของจิตใจ ในระดับจิตไร้สำนึก
จิตบำบัดแบบประคับประคอง (Supportive Psychotherapy) เป็นจิตบำบัดที่มุ่งส่งเสริมปรับปรุงกลไกการป้องกันทางจิต (Defense mechanism) ของผู้ป่วยที่มีอยู่แล้วให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นจิตบำบัดที่สนใจเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมุ่งประคับประคองอารมณ์ของผู้ป่วยชั่วคราวจนกว่าผู้ป่วยจะสามารถแก้ไขปัญหาและปรับตัวได้
การสะกดจิต (Hypnosis) คือ การทำให้เกิดความผิดปกติในการรู้สึกตัวคล้ายกับการนอนหลับ แต่ไม่ใช่การนอนหลับขณะถูกสะกดจิต ผู้ป่วยจะมีสมาธิสูงและเชื่อฟังคำแนะนำหรือคำสั่งได้ดีแต่ความรู้สึกในส่วนปลาย (Peripheral)ของร่างกายและการเคลื่อนไหวจะลดลง
จิตบำบัดกลุ่ม (Group Psychotherapy) เป็นการรักษาความแปรปรวนทางจิตใจและพฤติกรรมอย่างหนึ่ง โดยอาศัยอิทธิพลของกระบวนการกลุ่ม หรือกลไกกลุ่ม โดยเน้นสัมพันธภาพระหว่างบุคคลช่วยให้เกิดการเรียนรู้ความ ไว้วางใจ ความซื่อสัตย์ การให้และรับความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ช่วยให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ตนเอง
ชนิดของกลุ่มจิตบำบัด
กลุ่มการสอน (Directive Group)
กลุ่มพบปะสังสรรค์ (Therapeutic Social Club)
กลุ่มปลุกเร้าความรู้สึกเก็บกด (Repressive Inspiration Group)
กลุ่มการแสดงออกอย่างเสรี (Free Interaction group or Group Centered Psychotherapy)
ละครจิตบำบัด (Psychodrama)
ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) เป็นวิธีการรักษาสมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหาทางจิตใจ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การกระทำหน้าที่ในครอบครัวทั่ว ๆ ไปดีขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงในสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อลดปัญหาหรือความไม่ลงรอยกันที่เกิดขึ้น
ลักษณะครอบครัวที่ต้องการการบำบัด
สมาชิกครอบครัวที่มีอำนาจใช้อำนาจไม่ถูกต้อง เช่น ข่มขู่ บังคับ จนสมาชิกอื่นขาดอิสระภาพ และขาดความสุขจนต้องใช้สิ่งเสพติดเพื่อประคับประคองหรือใช้การแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม
มีปัญหาด้านการสื่อสารในครอบครัวลักษณะของการสื่อสารที่พบในครอบครัวที่มีปัญหาในการทำหน้าที่
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกไม่ปกติ เช่น ผูกพันกันมากเกินไป
ไม่สามารถแยกตัวออกจากกันและกันได้ (Enmeshment) สมาชิกไม่สนใจไม่ยุ่งเกี่ยวกัน (Disengaged)
สมาชิกในครอบครัวสับสนในบทบาท เช่น ใจเป็นชายกายเป็นหญิง
หรือใจเป็นหญิงแต่กายเป็นชาย
มีกระบวนการแพะรับบาป (Scapegoating) เมื่อมีปัญหาในครอบครัวสมาชิกไม่ได้วิเคราะห์ปัญหาด้วยสติปัญญา แต่จะโทษสมาชิกคนใดคนหนึ่งว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาและความยุ่งยาก
ประเภทของครอบครัวบำบัด
ครอบครัวบำบัดแบบอิงจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Family Therapy)
มีความเชื่อว่าพฤติกรรมของสมาชิกครอบครัวได้รับอิทธิพลจากสมาชิกคนอื่น รับเอาแบบแผนและแบบอย่างการดำเนินชีวิตมาจากการดำเนินครอบครัว รูปแบบการเลี้ยงดูและบทบาทของสมาชิกมาปฏิบัติผสมผสานเอาบุคลิกภาพของบุคคลสำคัญมาใส่ตนเอง เป็นรูปแบบการบำบัดของ Nathan Ackerman
ครอบครัวบำบัดโดยให้ความสำคัญกับเรื่องขอบเขตโครงสร้างส่วนบุคคลของครอบครัว (Structural Family Therapy)
เน้นให้ครอบครัวได้เห็นและยอมรับความเป็นบุคคลของผู้อื่นเป็นรูปแบบการบำบัดของ Salvador Minuchin
ครอบครัวบำบัดโดยให้ความสำคัญกับเรื่องการสื่อสารในครอบครัว (Interactive Family Therapy)
เป็นแนวคิดที่มีความเชื่อว่าการสื่อสารมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก การสื่อสารที่เน้นแต่เรื่องปัญหาละเลยเรื่องอา รมณ์การสื่อสารที่ขัดแย้งกันตลอดเวลานำไปสู่ภาวะการสูญเสียคุณค่าในตนเองของสมาชิกครอบครัว
การบำบัดเชิงการรู้คิด
แนวคิดพื้นฐานของการบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive-behavioral therapy:CBT)
การบำบัดด้วย CBT เชื่อว่าความคิดที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงหรือ dysfunctional thinking ทำให้เกิดผลกระทบต่ออารมณ์ของมนุษย์ โดยในโรคทางจิตเวชส่วนใหญ่จะพบลักษณะของความคิดที่บิดเบือนไปบางประการ ดังนั้นแนวทางในการบำบัด คือ ถ้าสามารถประเมิน (evaluate) ความคิดให้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงหรืออยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ (realistic) อาการเกี่ยวกับ emotion, behavior ของ ผู้ป่วยก็จะดีขึ้น
การค้นหาและ ปรับเปลี่ยนความคิดอัตโนมัติสามารถทำได้ 3
ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 2 การ ประเมินและตรวจสอบความคิดดังกล่าวว่าเป็นความจริง หรือไม่มากน้อยเพียงใด (Validity) มีประโยชน์ใดที่จะคิดอย่างนี้(Utility) และ สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือไม่ (Variety)
ขั้นตอนที่ 3 การตอบสนองต่อความคิดอัตโนมัติ
ขั้นตอนที่ 1 การค้นหาความคิด อัตโนมัติทางลบ หรือความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งมีผลต่ออารมณ์พฤติกรรม และสรีระ ที่รบกวนศักยภาพในชีวิต ประจำวัน หรือการชีวิตการทำงาน
ขั้นตอนการให้การปรึกษาโดยการปรับความคิดและพฤติกรรม
ครั้งที่ 1 ในขั้นตอนแรกที่ผู้ให้การปรึกษาได้พบกับผู้รับการปรึกษา
1) สร้างสัมพันธภาพแห่งความไว้วางใจกับผู้รับ การปรึกษา
2) ให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในมุมมองของแนวคิดทางปัญญาตามรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ที่เหมาะ กับความเข้าใจของผู้รับการปรึกษานั้นๆ
3) แนะนำให้ผู้รับการปรึกษารู้จักการให้การปรึกษา โดยการปรับความคิดและพฤติกรรมรวมทั้ง กระบวนการให้การปรึกษา
4) ให้ผู้รับการปรึกษามีความหวังในการที่จะปรับ ลดอารมณ์ที่ทำให้เกิดทุกข์ของตนเอง
5)ปรับความคาดหวังของผู้รับการปรึกษาให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่จะได้จากการปรับความคิดและพฤติกรรม
6) ตั้งประเด็นสำหรับการให้การปรึกษาในวันนี้ร่วมกัน
7) ระบุอารมณ์และให้คะแนนระดับความแรงของ อารมณ์ที่ไม่เหมาะสม ณ ขณะปัจจุบัน หากพบว่าผู้รับ การปรึกษามีระดับอารมณ์ที่ไม เหมาะสมค่อนข้างสูง ผู้ให้การปรึกษาควรช่วยให้เกิดการผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อไม่ให้รบกวนศักยภาพในการคิดของผู้รับการปรึกษา
8) สำรวจเบื้องต้นถึงเรื่องราวของปัญหาของผู้รับการปรึกษา
9) ระบุปัญหาและตั้งเป้าหมายในการแก้ปัญหาร่วมกัน
10) สอนผู้รับการปรึกษาถึงความเชื่อมโยงของ ความคิด อารมณ์พฤติกรรมและสรีระ
11) มอบหมายการบ้านให้ผู้รับการปรึกษา สังเกตความเชื่อมโยงของความคิดอารมณ์พฤติกรรมและสรีระ ของตนเองมาอย่างน้อย 1 เรื่อง
12) สรุปการสนทนาและให้ข้อมูลย้อนกลับจาก ผู้รับการปรึกษา
ครั้งที่ 2 มีงานในการให้การปรึกษาโดยการปรับ ความคิดและพฤติกรรม
4) สอนให้ผู้รับการปรึกษาได้รู้จักกับความคิดอัตโนมัติทางลบซึ่งเป็นต้นเหตุของอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม
5) ฝึกค้นหาความคิดอัตโนมัติทางลบร่วมกับผู้รับ การปรึกษา
3) ทบทวนการบ้านที่ได้มอบหมายในครั้งที่แล้ว และถามถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
6) มอบหมายการบ้านให้ผู้รับการปรึกษาไปค้นหาความคิดอัตโนมัติทางลบในชีวิตจริงของผู้รับการปรึกษา มาอย่างน้อย 1 เรื่อง
2) ถามผู้รับการปรึกษาถึงภาวะอารมณ์ในปัจจุบัน และให้ระดับคะแนน
7) สรุปการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในการปรึกษาครั้งนี้และ ให้ข้อมูลย้อนกลับระหว่างกัน
1) ผู้ให้การปรึกษาสรุปย่อถึงปัญหาของผู้รับการ ปรึกษาและสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งที่ 1
ครั้งที่ 3 และครั้งต่อๆ ไป มีงานในการให้การปรึกษาโดยการปรับความคิดและพฤติกรรม
4) ในกรณีที่ความคิดนั้นไม่จริง หรือจริงเป็นบางส่วนนำผู้รับการปรึกษาเข้าสู่การปรับเปลี่ยนความคิด ในกรณีที่ความคิดอัตโนมัตินั้นเป็นจริงนำผู้รับการปรึกษา เข้าสู่การแก้ปัญหา
5) ระบุอารมณ์รวมทั้งให้ระดับคะแนนของอารมณ์ ณ ปัจจุบันหลังจากการปรับเปลี่ยนความคิด
3) เลือกความคิดอัตโนมัติมา 1 เรื่องเพื่อฝึกการ ประเมิน ตรวจสอบหรือพิสูจน์ว่าความคิดดังกล่าวเป็น จริงหรือไม่มากน้อยเพียงใด
6) มอบหมายการบ้าน ให้ผู้รับการปรึกษา ฝึกพิสูจน์และปรับเปลี่ยนความคิดอัตโนมัติของตนเองมา อย่างน้อย 1 เรื่อง พร้อมทั้งหาปัญหาอุปสรรคที่อาจจะ เกิดขึ้นเพื่อจะได้นำมาพูดคุยในการปรึกษาครั้งต่อไป
2) ทบทวนการบ้านที่ได้มอบหมายในครั้งที่ 2 ในเรื่องการค้นหาความคิดอัตโนมัติและสอบถามการเรียนรู้ ที่เกิดขึ้นในผู้รับการปรึกษา
7) สรุปและให้ข้อมูลย้อนกลับระหว่างกันในครั้งต่อ ๆไปจะมีกิจกรรมเช่นเดียวกันในขั้นตอนการค้นหา ความคิดอัตโนมัติการพิสูจน์และปรับเปลี่ยนความคิดอัตโนมัติ
1) ทักทายและระบุอารมณ์รวมทั้งให้ระดับคะแนน ของอารมณ์ ณ ปัจจุบัน