Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาพยนต์สั้น A Beautiful Mind ครั้งที่ 2, นางสาวปติยา พิลาม เลขที่ 40 ห้อง…
ภาพยนต์สั้น A Beautiful Mind ครั้งที่ 2
ประวัติทั่วไป
ข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ป่วยเพศชาย ชื่อ นายจอห์น ฟอบส์ จูเนียร์ (Mr.John Forbes Nash)
อายุ 24 ปี
เชื่อชาติอเมริกัน สัญชาติอเมริกัน
เพศชาย
สัมพันธภาพในครอบครัว
เป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง
มีความคิดหมกมุ่นกับตัวเลขและมีพฤติกรรมที่แปลก
เกือบทําร้ายภรรยาและลูกจากการเห็นภาพหลอนของเขา
รู้สึกไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา
ประวัติครอบครัว
ภรรยา 1 คน ชื่อนางอลิเซีย
เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว
มีบุตรจำนวน 1 คน
อาการทางจิต
หวาดระแวง (Paranoid)
ผู้ป่วยคิดว่ามีคนสะกดรอยตามเขาอยู่ตลอด
ผู้ป่วยกลัวว่าตนเองจะถูกทำร้าย
ผู้ป่วยพยายามเก็บความลับเรื่องเขาทำงานเป็นสายลับ
ด้านพฤติกรรม (Behavior)
ผู้ป่วยนั่งกุมมือและบีบมือตัวเองเกือบตลอดเวลา
ผู้ป่วยกระสับกระส่าย
ผู้ป่วยพูดตะกุกตะกักในบางครั้ง
ผู้ป่วยก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่
ผู้ป่วยบางครั้งผู้ป่วยพูดคุยคนเดียวเหมือนสนทนากับใคร
ผู้ป่วยการทำร้ายตนเอง และผู้อื่น
ผู้ป่วยเดินหลังค่อม มองซ้ายมองขวาเกือบตลอดเวลา
ผู้ป่วยทำลายข้าวของ
ผู้ป่วยไม่อยากมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของตนเอง
(Sexual dysfunctions ) เนื่องจากผลข้างเคียงของยาใช้รักษา
แยกตัวออกจากสังคม(isolation)
ผู้ป่วย หมกมุ่นอยู่กับคณิตศาสตร์และสมการ
ผู้ป่วยมีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองตั้งแต่ อายุ 12 ปี
ผู้ป่วยชอบอยู่คนเดียวเนื่องจากรู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้งเขาเพราะเห็นว่าเขาเก่งกว่า ฉลาดกว่า
ผู้ป่วยไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการ
ผู้ป่วยชอบเก็บตัวไม่มีเพื่อนสนิท
ประสาทหลอน (Hallucination)
ความผิดปกติด้านการรับรู้ (Perception)
หลอนทางการรับรส (Gustatory Hallucination)
หลอนการทางสัมผัส (Tactile Hallucination)
หลอนทางการได้กลิ่น (Olfactory Hallucination)
เห็นภาพหลอน (Visual Hallucination)
ผู้ป่วยเห็นวิลเลี่ยมกำลังจะทำร้ายภรรยาของตนเอง
ผู้ป่วยเห็นเพื่อนที่ชื่อชาร์ล หลานของชาร์ล
ชื่อมาซี่และวิลเลี่ยม ที่มาจากกระทรวงกลาโหม
ผู้ป่วยเห็นคนพยายามตามทำร้ายเขา
หูแว่ว (Auditory Hallucination)
ผู้ป่วยได้ยินเสียงวิลเลี่ยมคนบอกให้ห้ามภรรยาที่กำลัง โทรหาโรงพยาบาลและสั่งให้ทำร้ายภรรยา "คุณต้องหยุดเธอจอห์น เธอจะเผยความลับของเราอีกและคุณจะถูกเข้าโรงพยาบาล" " ห้ามเธอซะ "
ผู้ป่วยได้ยินเสียงลูกร้อง ทั้งที่ลูกอยู่บ้านคุณแม่ของภรรยา
อาการหลงผิด (Dulusion)
ความผิดปกติด้านความคิด
ผู้ป่วยหลงคิดไปเองว่าตนเองถูกปองร้าย (Persecutory Delusion)เขาเห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน
ผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นสายลับ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นสายลับที่กระทรวงกลาโหมขิงสหรัฐอเมริกาเรียกตัวไปถอดรหัสทางการทหาร
พัฒนาการตามช่วงวัย
วัยเด็ก
ชอบเก็บตัว/อยู่คนเดียว
ไม่มีเพื่อนสนิทและมักมีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน
ชอบอยู่คนเดียว เนื่องจากรู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้ง
ไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการ
สนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลอง ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 12 ปี
วัยรุ่น
สนใจทางด้านคณิตศาสตร์ และมุ่งมั่นในการเรียนจนจบปริญญาโททางด้านคณิตศาสตร์
มีบุคลิกที่ดูแตกต่างจากผู้อื่นอย่าง เห็นได้ชัด
เก็บตัว
ไม่มีเพื่อนสนิท
โดดเด่นทางด้านการเรียนในระดับอัจฉริยะ
มีความคิดว่านักคณิตศาสตร์มีความสำคัญต่ออนาคตของอเมริกา
วัยผู้ใหญ่ตอนต้น
มีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ชื่อ Mr. Charles คอยให้กำลังใจและคอยอยู่เป็นเพื่อน ผู้ป่วยเสมอ
มีความคิดหมกมุ่นและมี พฤติกรรมแปลกๆ เพิ่มมากขึ้น
ควรได้รับการรักษาที่ใด
ที่โรงพยาบาล
ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
เห็นภาพหลอน
หูแว่วได้ยินเสียงคนสั่งให้ทำตาม
มีความหวาดระแวง คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเอง
ทำร้ายตนเอง และทำร้ายผู้อื่น
ไม่รับประทานยาตามแผนการรักษา
ครอบครัวไม่มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย
มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นน้อย แยกตัว
ไม่มีสมาธิ วอกแวก กระวนกระวาย
ที่บ้าน
โรคจิต (psychosis)
อาการหลงผิด (delusion)
อาการประสาทหลอน (Hallucination)
อารมณ์ผิดปกติ
พฤติกรรมแปลกประหลาด (Bizarre Behavior)
สาเหตุ
ปัจจัยเสริม
ปัจจัยทางประสาทสรีรวิทยา
ด้านพันธุกรรม
สารสื่อประสาทในสมอง
สารโดปามีน
สารซีโรโตนิน
ลักษณะกายวิภาคของสมองผิดปกติ
ด้านจิตใจ
การเลี้ยงดูของบุคคลในครอบครัว
ครอบครัวขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ โรค
การดูแลผู้ป่วย
ทะเลาะเบาะแว้งกับอาการหลงผิดของผู้ป่วย
ไม่พาผู้ป่วยมารับการรักษา
ไม่เข้าใจความเจ็บป่วยของผู้ป่วย
ไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วยให้ได้รับประทานยา ต่อเนื่อง
ครอบครัวมีฐานะยากจน
ไม่มีเงินที่จะรักษาผู้ป่วยต่อเนื่อง
ลักษณะครอบครัว
การใช้อารมณ์ที่รุนแรง
ชอบตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์
ด่าทอ
มีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน
มีลักษณะจู้จี้ จุกจิกกับผู้ป่วยมากเกินไป
ด้านสังคม
ชอบเก็บตัว
ไม่มีเพื่อนสนิท
ไม่มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ปัจจัยกระตุ้น
ครอบครัวไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่าง เหมาะสม
ปัจจัยทางประสาทสรีรวิทยา
cerebral blood flow และ glucose metabolism ลดลงในบริเวณ frontal lobe
การรักษา
การรักษาทางชีวภาพ
ยาฉีด
chlorpromazine 30 my MI q6 hrs
ปวดศีรษะ
ปากแห้ง
ตาสู้แสงไม่ได้
ง่วงซึม
อาจมีอาการข้างเคียงทางระบบประสาท
Diazepam 10 mg MI q 4 hrs prn
ปวดศีรษะ
มองเห็นภาพซ้อน
นอนไม่หลับ
ง่วงซึม
เดินเซ
หายใจลำบาก
การรักษาด้วยไฟฟ้า Electroconvulsive Therapy การทำ ECT
ECT 1 course (5 times per week/ 10 weeks)
ผลข้างเคียง
ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยเนื้อตัว
สับสน
สูญเสียความจำชั่วคราว
เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นให้สารสื่อนำประสาทภายในสมองที่หลั่งผิดปกติ
การรักษาด้านจิตสังคม
การบำบัดที่เน้นอารมณ์
(Emotion-oriented)
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด (therapeautic relationship)
การบำบัดที่เน้นผู้ดูแล
(Caregiver-oriented)
การทำจิตบำบัดประคับประคอง
การทำกลุ่มสุขภาพจิตศึกษา
ให้กำลังใจ
การบำบัดที่เน้นการฝึกทักษะ
(Skill training)
ทักษะการอยู่ร่วมกันภายในบ้าน
ทักษะทางสังคม
ทักษะการดูแลตนเอง
ทักษะการทำงาน
ทักษะการพักผ่อน
ทักษะการใช้ชีวิตในชุมชน
การบำบัดที่เน้นพฤติกรรม
(Behavior-oriented)
ชื่นชมผู้ป่วยหรือให้รางวัล เมื่อผู้ป่วยทำพฤติกรรมที่เหมาะสม
เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วย เมื่อมีพฤติกรรมก้าวร้าว
การบำบัดที่เน้นการฝึกแก้ปัญหา
(training in problem solving intensive)
เพื่อให้ผู้ป่วยโรคจิตเภทเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
การบำบัดที่เน้นเรื่องการกระตุ้น
(Stimulation-oriented)
การเล่นเกม/เกมคอมพิวเตอร์/เกมกระดาน เช่น หมากรุก
ศิลปะบำบัด
ดนตรีบำบัด
การบำบัดที่เน้น Cognitive(cognitive-oriented)
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเฉียบพลัน
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเรื้อรัง
สำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทระยะเรื้อรังที่มีอาการหูแว่ว
การใช้สัมพันธภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด
(Relationship-and Milieu Therapy)
เน้นการสื่อสาร การใช้สัมพันธภาพ และการจัดสิ่งแวดล้อม เพื่อลดความเครียด
เพื่อให้ผู้ป่วยโรคจิตเภทรับรู้การสื่อสารเชิงบำบัด เป็นการพัฒนาความสามารถในการปรับตัว
สุขภาพจิตศึกษา(Psychoeducation)
เพื่อให้ครอบครัวปรับทัศนคติและความคาดหวัง การสื่อสารและบทบาทในการดูแลผู้ป่วย
เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจเรื่อง โรคจิตเภท การจัดการความเครียด
การป้องกันการเกิดอาการกำเริบ
เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัว มีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรค
เพื่อให้ผู้ป่วยทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ และมองอนาคต
วิธีการจัดการ/การควบคุมอารมณ์ (อาการทางจิต) มีอะไรบ้าง
มีอาการหวาดระแวง หลงผิด
ไม่ไว้วางใจคนอื่น
เก็บตัว และไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวส่วนตัวให้ใครฟัง
มีอาการประสาทหลอน เช่น เห็นภาพหลอน หูแว่ว
ทำตามเสียงที่บอกให้ทำ
ต่อต้านเสียงแว่ว
พยายามโต้ตอบกับใครบางคน
ทำร้ายตัวเองและคนอื่น
มีความยากลำบากในการคิด
ทำลายข้าวของ
ทำร้ายตัวเอง
โทษคนอื่น
นั่งกุมมือและบีบมือตังเองเกือบตลอดเวลา
ขาดสัมพันธภาพกับผู้อื่น และปรับตัวเข้ากับผู้อื่นไม่ได้
คิดว่าตัวเองมีเพื่อนเข้ามาทักทาย และเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมห้องพัก
มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป คือ ร้องตะโกน ดูถูกคนอื่น
เก็บตัวอยู่ในห้อง
มีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับตัวเลขอย่างมาก
ควบคุมตัวเองไม่ได้
ทำร้ายครอบครัว
ทำร้ายเพื่อนร่วมงาน
ทำร้ายตัวเอง
ทำร้ายจิตแพทย์
มีอาการแสดงอารมณ์ผิดปกติ
ยิ้มหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล
มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์
การตรวจสุขภาพจิตของผู้ป่วยราย นี้เป็นอย่างไร
ลักษณะทั่วไป (General Appearance)
สีหน้าวิตกกังวล แววตาหวาดระแวง ก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่
ความสามารถในการรับสัมผัส (Perception)
รับสัมผัสได้ตามปกติ แต่บางครั้งพูดคนเดียวเหมือน กำลังสนทนากับใคร
การรับรู้ (Orientation)
รับรู้วัน เวลา และสถานที่ได้ แต่บอกว่าจิตแพทย์ที่รักษาเขาเป็นสายลับรัสเชีย จึงไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเท่าที่ ควร
การตัดสินใจ (Judgment)
ตัดสินใจได้ค่อนข้างเหมาะสม แต่คิดช้า และมีท่าทีหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา
การคิด (Thought)
มีความเชื่อว่าตนเองเป็น สายลับของกระทรวงกลาโหม และกำลังถูกปองร้ายจากกลุ่มคนที่เป็นสายลับรัสเซีย
พื้นฐานอารมณ์ (Mood)
เขาเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบยุ่งกับใคร แต่การมีคนมาสะกดรอยตามทำให้เขากลัวและกังวลอย่างมาก
การแสดงอารมณ์ (Affect)
มีสีหน้าเรียบเฉย แต่จะแสดงสีหน้า แววตา และท่าทีหวาดกลัวเมื่อพบจิตแพทย์
ชนิดของโรคผู้ป่วยรายนี้คืออะไร
โรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง (Paranoid Schizophrenia : F20.0)
หลงผิดคิดว่าตนเองถูกปองร้าย หรือคิดว่ามีคนขู่จะทำร้าย
ไม่ไว้วางใจผู้อื่น
มีอาการหวาดระแวง
หูแว่ว
มีความหมกมุ่นอยู่กับอาการหลงผิด
การแยกตัวหรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ทำร้ายตนเองและผู้อื่น
เกณฑ์การวินิจฉัย
ICD-10
(F20-F29) โรคจิตเภทพฤติกรรมแบบโรคจิตเภท และโรคหลงผิด
(F20-F29) โรคจิตเภทพฤติกรรมแบบโรคจิตเภท และโรคหลงผิด
ผู้ป่วยกลัวถูกทำร้าย
ผู้ป่วยคิดว่ามีคนตามทำร้าย
ผู้ป่วยมีอาการหูแว่ว (Auditory Hallucination)
F22.0 ความผิดปกติแบบหลงผิด (Delusional disorder)
คิดว่าตนเองโดนปองร้าย
คิดว่าตัวเองเป็นสายลับถอดรหัสได้
แบ่งเป็น 5 ประเภท
Catatonic type
ผิดปกติด้านการเคลื่อนไหว
rigidity อาการแข็งของกล้ามเนื้อ
Stupor ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ไม่พูด ไม่เคลื่อนไหว แต่ยังรู้สึกตัว
excitement หรือ posturing
negativism เป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับคำสั่ง
บอกให้ เอามือลง แต่ยกขึ้น
Disorganized type
ความคิดกระจัดกระจายไม่เป็นไปในแนวเดียว
แสดงออกทางคำพูดด้วยอารมณ์เรียบเฉย
Paranoid type
หูแว่ว
มีความหมกหมุ่นเรื่องการหลงผิด
Undifferentiated type
ไม่สามารถจัดกลุ่มได้อย่างชัดเจนว่าเป็นชนิดใดใน 3 ชนิดข้างต้น
Residual type
คยป่วยมีอาการกำเริบชัดเจน อย่างน้อย 1 ครั้ง
DSM-5
C: ต้องแยกโรคจิตอารมณ์ โรคซึมเศร้า โรคอารมณสองขั้ว
D: ต้องแยกอาการโรคจิตที่เกิดจากโรคทางกายและสารเสพติดผู้ป่วยกลุ่มโรคออทิสติก จะวินิจฉัยก็ต่อเมื่อมีอาการหลงผิดประสาทหลอนเด่นชัดอย่างน้อยนาน 1 เดือน
B: ระดับความสามารถในด้านสำคัญ เช่น ด้านการทำงาน การมีสัมพันธภาพกับผู้อื่น หรือการดูแลตนเองลดลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัดเจนอย่างน้อย 1 ด้าน
A: มีอาการต่อเนื่องกันนาน 6 เดือนขึ้นไป โดยต้องมี active phase อย่างชัดเจนอย่างน้อย 1 เดือน
มีอาการ 2 อาการขึ้นไปนาน 1 เตือน โดยอย่างน้อยต้องมีอาการในช้อ 1-3 อยู่ 1 อาการ
พฤติกรรมด้านลบ เช่น มีสีหน้าที่อ แยกตัวจากผู้อื่น
พฤติกรรมที่ไม่มีระเบียบแบบแผนที่คนในสังคมของผู้ป่วยไม่ทำกัน
การพูดอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน
อาการประสาทหลอน
อาการหลงผิด
ปัญหาทางการพยาบาล
บกพร่องในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัว
วัตถุประสงค์
ไม่บกพร่องในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยไม่อยู่คนเดียวและมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
2.สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า “มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองตั้งแต่ อายุ 12 ปี”
S: ผู้ป่วยบอกว่า “ไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการ”
S: ผู้ป่วยบอกว่า “ชอบอยู่คนเดียวเพราะว่าเพื่อนชอบแกล้งและเห็นว่าเก่งกว่า ฉลาดกว่า”
O: ผู้ป่วยมีประวัติ หมกมุ่นอยู่กับคณิตศาสตร์และสมการ
O: ผู้ป่วยมีประวัติ เก็บตัวและไม่มีเพื่อนสนิท
กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอด้วยท่าทีเป็นมิตร โดยใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเงียบพยายามสบตาและสัมผัสผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ผู้ป่วยทราบว่าพยาบาลเห็นใจ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจและระบายความรู้สึกออกมา
สอนวิธีแสดงออกอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยมีอารมณ์มั่นคงมากขึ้น
ให้ผู้ป่วยได้มีกิจกรรมเข้ากลุ่มบำบัด ลดเวลาการอยู่คนเดียว เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้เป็นตัวของตัวเอง โดยให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกอื่น และพยาบาลควรให้กำลังใจหรือเสริมแรง เพื่อให้ผู้ป่วยสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
พร่องกิจวัตรประจำวันเนื่องจากไม่สนใจดูแลตัวเอง
วัตถุประสงค์
ไม่พร่องกิจวัตรประจำวัน
เกณฑ์การประเมิน
ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
ผู้ป่วยสามารถดูแลร่างกายของตัวเองได้
ข้อมูลสนับสนุน
O: ผู้ป่วยไม่ค่อยรับประทานอาหาร
S: ผู้ป่วยชอบอยู่คนเดียวเนื่องจากรู้สึกว่าเพื่อนชอบแกล้งเขาเพราะเห็นว่าเขาเก่งกว่า ฉลาดกว่า
O: ผู้ป่วยผมยาว
S: ผู้ป่วยมีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และทำการทดลองด้วยตนเองตั้งแต่ อายุ 12 ปี
O: ผู้ป่วยมีหนวด เครายาว
S: ผู้ป่วยไม่ชอบกิจกรรมนันทนาการ
O: ผู้ป่วยมีรูปร่างผอม
กิจกรรมการพยาบาล
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้
บันทึกการรับประทานอาหารและชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์ เพื่อประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน โกนหนวด เครา และตัดผมให้สั้นอยู่เสมอ เพื่อดูแลสุขลักษณะของผู้ป่วยให้สะอาดอยู่เสมอ
กระตุ้นเเละดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในการรับประทานอาหารและน้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเองและผู้อื่นเนื่องจากมีอาการหลงผิดและประสาทหลอน
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า “ถูกปองร้าย เห็นกลุ่มคนสะกดรอยตามเขาไปถึงที่ทำงาน”
S: ผู้ป่วยบอกว่า “เห็นคนพยายามตามทำร้าย”
S: ผู้ป่วยบอกว่า “เห็นวิลเลี่ยมกำลังจะทำร้ายภรรยาของตนเอง”
O: ผู้ป่วยมีประวัติ ทำร้ายตนเอง และผู้อื่น
S: ผู้ป่วยบอกว่า “ได้ยินเสียงวิลเลี่ยมบอกให้ห้ามภรรยาที่กำลัง โทรหาโรงพยาบาลและสั่งให้ทำร้ายภรรยาว่า คุณต้องหยุดเธอจอห์น เธอจะเผยความลับของเราอีกและคุณจะถูกเข้าโรงพยาบาล และบอกอีกว่าห้ามเธอซะ”
O: ผู้ป่วยมีประวัติ ทำลายข้าวของ
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการทำร้ายตนเองและผู้อื่น
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
2.ผู้ป่วยควบคุมตนเองได้เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้า
กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพแบบ one to one เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจ
จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย ปราศจากอาวุธ เพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเองและผู้อื่น
การให้ความจริง โดยใช้คำพูดให้ผู้ป่วยรับรู้ เช่น "เสียงนั้น" แทนคำว่า "เขา" หรือ"ภาพที่คุณเห็นเป็นอย่างไรคะ"ตลอดการสนทนาบอกให้ผู้ป่วยรับทราบว่าพยาบาลรับรู้อย่างไร เช่น "คุณได้ยินเสียงคนพูด แต่ฉันไม่ได้ยินอะไร" เพื่อให้ผู้ป่วยอยู่ในโลกความเป็นจริง
ยอมรับในความคิดหลงผิดของผู้ป่วย โดยพยาบาลไม่ควรโต้แย้ง และไม่ควรนำคำพูดของผู้ป่วยไปพูดล้อเล่น เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ
สังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น การหยิบจับสิ่งของ การเข้าใกล้คนอื่น เพื่อเฝ้าระวังการทำร้ายตัวเองและคนอื่น
หลีกเลี่ยงการเข้าไปจับต้องตัวผู้ป่วย และไม่ควรใช้ภาษาหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความสงสัยหรือตีความได้ไม่ชัดเจน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดคิดว่าพยาบาลจะเข้าไปทำร้าย
มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำเนื่องจากไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรค
วัตถุประสงค์
ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
เกณฑ์การประเมิน
1.ผู้ป่วยรับประทานยาและไม่ซ่อนยา
2.ครอบครัวมีความรู้เกี่ยวกับโรคที่ผู้ป่วยเป็น
ข้อมูลสนับสนุน
O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่เข้าใจความเจ็บป่วยของผู้ป่วย
O: ครอบครัวมีประวัติ ทะเลาะเบาะแว้งกับอาการหลงผิดของผู้ป่วย
O: ผู้ป่วยมีประวัติ ไม่รับประทานยา ซ่อนยา
O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่พาผู้ป่วยมารับการรักษา
O: ครอบครัวมีประวัติ ไม่มีเวลาดูแลผู้ป่วยให้ได้รับประทานยา ต่อเนื่อง
กิจกรรมการพยาบาล
4 สอนให้ผู้ป่วยและครอบครัว สังเกตอาการเตือนก่อนอาการทางจิตกำเริบ เช่น เริ่มหงุดหงิดง่าย ไม่นอนหรือนอนไม่หลับ อาจเริ่มมีอาการประสาทหลอน รวมถึงมีพฤติกรรมไม่ร่วมมือ เช่น ทิ้งยา ไม่กินยา พูดห้วน และตาขวาง ให้รีบมาพบแพทย์
5 เสริมสร้างพลังอำนาจ และสอนทักษะการจัดการกับความเครียด แก่ครอบครัว ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้เข้าใจในเรื่องโรคของผู้ป่วย
3 ให้ความรู้กับผู้ป่วยและครอบครัว ถึงพยาธิสภาพของโรค แผนการรักษาพยาบาล เพื่อร่วมกัน
ให้การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเหมาะสมกับโรค
6 ให้ข้อมูลในแหล่งที่สามารถช่วยเหลือได้ในกรณีฉุกเฉิน แก่ครอบครัว เพื่อป้องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยและช่วยเหลือได้ทันที
2 ส่งเสริมศักยภาพการดูแลตนเองของผู้ป่วย การร่วมมือในการรักษาด้วยยา เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
1 ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อช่วยลดอาการกลับมาเป็นซ้ำ
พรบ.
มาตรา24
เมื่อพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งหรือพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่ น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติ ทางจิต ให้ดำเนินการนำตัวผู้นั้นไปยัง สถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยไม่สามารถผูกมัดร่างกาย
มาตรา25
ผู้รับผิดชอบดูแลสถานคุมขัง สถานสงเคราะห์ พนักงานคุมพฤติกรรม ถ้าพบบุคคลที่อยู่ในความดูแลมีพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติ ทางจิต ให้ส่งตัวบุคลนั้นไปสถานพยาบาลโดยเร็ว
มาตรา23
ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต คือ มีภาวะอันตราย หรือ มีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือตำรวจโดยเร็ว
มาตรา26
ในกรณีฉุกเฉินเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับแจ้ง ตามมาตรา 22 ให้มีอำนาจนำตัวบุคคลนั้นหรือเข้าไปในสถานที่ใดๆ เพื่อนำตัวบุคคลนั้นส่งสถานพยาบาลของ รัฐหรือสถานบำบัดรักษาซึ่งอยู่ใกล้โดย ไม่ชักช้า
มาตรา22
บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา
-มีภาวะอันตราย
-มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา
มาตรา27
การตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการเบื้องต้น ต้องให้แล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่บุคคลนั้นมาถึงสถาน พยาบาล
มาตรา21
การบำบัดจะกระทำต่อได้เมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายความจำเป็นในการบำบัดรักษา รายละเอียดและประโยชน์ของการบำบัดรักษา ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในมาตรา22
มาตรา29
สถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต มีหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยบุคคลที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำส่ง หรือส่งต่อจากแพทย์ ให้ตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการบุคคลนั้นโดยละเอียด ภายใน 30 วัน และให้มีการพิจารณาว่าบุคคลนั้นต้องเข้า รับการบำบัดรักษาหรือไม่
มาตรา18
การรักษาทางจิตด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy: ECT) ให้กระทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องรับทราบถึงเหตุผลความจำเป็น ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ประโยชน์ของการบำบัด
มาตรา30
คณะกรรมการบำบัดรักษากำหนดวิธีารและ ระยะเวลาการบำบัดรักษาตามความรุนแรงของความผิดปกติทางจิต แต่ต้องไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่ง ขยายระยะเวลาได้อีกครั้งละไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำสั่งครั้งแรกหรือ ครั้งถัดไป
มาตรา17
การบำบัดโดยการผูกมัดร่างกายการกัก บริเวณหรือแยกผู้ป่วยจะกระทำไม่ได้เว้น แต่เป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิด อันตราย ต่อตัวผู้ป่วยเอง บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น
มาตรา34
เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย ให้คณะกรรมการสถานบำบัดรักษามีอำนาจ สั่งย้ายผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาใน สถานบำบัดรักษาอื่นได้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
นางสาวปติยา พิลาม เลขที่ 40 ห้อง 3A
รหัสนักศึกษา 62123301074