Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วยที่ 3 การประเมินตามสภาพจริง - Coggle Diagram
หน่วยที่ 3 การประเมินตามสภาพจริง
การจัดการเรียนการสอนแบบเดิม
กระบวนทัศน์ของการจัดการเรียนการสอนแบบเดิมผู้สอนเป็นศูนย์กลางกลาง (Teacher Center) กระบวนทัศน์เดิมทางการศึกษาเชื่อว่า ความรู้คือสิ่งที่สั่งสมอยู่ในตัวของผู้สอน ดังนั้น การจัดการเรียนการสอน จึงคือการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน ผ่านกระบวนการสอนที่มุ่งเน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลักผู้เรียนมีหน้าที่ รับฟังและจดจ าในสิ่งที่บอกเท่านั้นด้วยเหตุนี้ “ข้อสอบ” จึงเป็นเครื่องมือหลักของการวัดผลเพื่อวัดว่าผู้เรียน สามารถจดจ าเนื้อหาที่ครูสอนได้มากน้อยเพียงใด โดยมีคะแนนเป็นตัวบ่งชี้ความส าเร็จ และคนที่ได้คะแนน
มากกว่าก็คือคนที่สามารถจ าได้มากกว่า การจัดการเรียนการสอนในลักษณะดังกล่าวมุ่งเน้นการสั่งสมองค์ความรู้ ในเชิงความจ าและการทดสอบความจ าในเนื้อหาที่ก าหนดเป็นหลัก จนลืมที่จะพัฒนาศักยภาพและทักษะ ในด้านอื่น ๆ ของผู้เรียน นอกจากนั้นจะเห็นว่าการใช้“ข้อสอบ” เป็นเครื่องมือในการวัดผลแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ยังท าให้เป้าหมายของการศึกษาห่างไกลและผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายที่แท้จริง รวมทั้งยังได้ท าลายคุณค่าที่แท้จริง
ของการศึกษาซึ่งเป็นกลไกส าคัญของการพัฒนามนุษย์ไปอย่างน่าเสียดาย
การจัดการเรียนการสอนแบบใหม่
กระบวนทัศน์ของการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางกลาง (Student Center) ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วในกระแสโลกาภิวัตน์บนฐานของความเจริญทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้น าพาสังคมโลกให้กลายเป็นสังคมที่ไร้พรมแดนมีวิทยาการใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย และองค์ความรู้ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้สอนจึงมิใช่แหล่งความรู้สมบูรณ์ (Absolute Source of Knowledge) และการท่องจ าความรู้ส าเร็จรูปในห้องเรียนแต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอที่จะน ามาใช้ ประโยชน์ในชีวิตจริงได้อีกต่อไป ความจริงดังกล่าวข้างต้น ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการจัดการ
เรียนการสอน จากผู้สอนบอกความรู้ให้แก่ผู้เรียนมาเป็นการให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้เองภายใต้สถานการณ์ที่ ผู้สอนออกแบบไว้ดังนั้น กระบวนทัศน์ใหม่ของการจัดการเรียนการสอนจึงมุ่งให้ความส าคัญต่อ “กระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน” และเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หรือ เป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นวิธีการที่นักการศึกษายอมรับกันว่า มีประสิทธิภาพสูงในการให้การศึกษาและพัฒนาผู้เรียน เนื่องจากการจัดการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางนี้ มีคุณลักษณะที่ส าคัญ 2 ประการ คือ
(1) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ผู้เรียนและกลุ่มผู้เรียน มากกว่า เนื้อหาวิชาและผู้สอน
(2) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง (Learning by Doing)
สามารถกล่าวได้ว่าการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คือ การจัดการเรียนการสอนที่ ผู้สอนจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ประสบการณ์ ความช านาญและความสนใจของตนเองมาสร้างเป็นเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน โดยผู้สอนท าหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ แนะน าและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบ ความรู้ด้วยตนเองอย่างเต็มศักยภาพมากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพึ่งตนเองและมีบทบาทในการรับผิดชอบต่อ การเรียนรู้ของตนเองมากขึ้น
ความแตกต่างระหว่างการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลางและเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สามารถสรุปเปรียบเทียบดังรายละเอียดแสดงในตารางต่อไปนี้
ตัวบ่งชี้ลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง
ศูนย์พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ยังได้ศึกษาทฤษฎีการ เรียนรู้ที่สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาใน 5 แนวทาง คือ การเรียนรู้อย่างมีความสุข การเรียนรู้แบบมี ส่วนร่วม การเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัยด้านศิลปะ ดนตรีกีฬา และการฝึกฝนกาย วาจา ใจ แล้วได้ก าหนดตัวบ่งชี้ลักษณะเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางไว้ ดังต่อไปนี้
ตัวบ่งชี้การเรียนรู้ของผู้เรียน
1.ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและ ธรรมชาติ
2.ผู้เรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัดและวิธีการของ ตนเอง
3.ผู้เรียนท ากิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่ม
4.ผู้เรียนฝึกคิดอย่างหลากหลาย และสร้างสรรค์
5.ผู้เรียนสร้างจิตนาการ ตลอดจนแสดงออกอย่าง ชัดเจนมีเหตุผล
6.ผู้เรียนได้รับการเสริมแรงให้ค้นหาค าตอบ แก้ปัญหา ด้วยตนเองและร่วมด้วยช่วยกัน
7.ผู้เรียนได้ฝึกฝน รวบรวมข้อมูลและสร้างสรรค์ความรู้ ด้วยตนเอง
8.ผู้เรียนเลือกท ากิจกรรมตามความสามารถ ความ ถนัดและความสนใจของตนเองอย่างมีความสุข
9.ผู้เรียนฝึกให้ตนเองมีวินัยและรับผิดชอบในการ ท างาน
10.ผู้เรียนฝึกประเมิน ปรับปรุงตนเองและยอมรับผู้อื่น ตลอดจนใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง
ตัวบ่งชี้การเรียนรู้ของครู
1.ผู้สอนเตรียมการสอนทั้งเนื้อหาและวิธีการ
2.ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่ปลุกเร้า จูงใจและ เสริมแรงให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
3.ผู้สอนเอาใจใส่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล และแสดงความ เมตตาต่อผู้เรียนอย่างทั่วถึง
4.ผู้สอนจัดกิจกรรมและสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้แสดงออก และคิดสร้างสรรค์
5.ผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึกคิด ฝึกท าและฝึกปรับปรุงต้น เอง
6.ผู้สอนส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกลุ่มพร้อม ทั้งสังเกตส่วนดีและปรับปรุงส่วนด้อยของผู้เรียน
7.ผู้สอนใช้สื่อการสอนที่ฝึกการคิด การแก้ปัญหาและการ ค้นพบความรู้
8.ผู้สอนใช้แหล่งความรู้ที่หลากหลายและเชื่อมโยง ประสบการณ์กับชีวิตจริง
9.ผู้สอนฝึกฝนกิริยามารยาทและวินัยตามวิธีวัฒนธรรม ไทย
10.ผู้สอนสังเกตและประเมินพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน อย่างต่อเนื่อง
กิจกรรมการเรียนการสอน
กิจกรรมการเรียนการสอน นับเป็นปัจจัยส าคัญประการหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ซึ่งผู้สอนควรเลือกน ามาใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มของผู้เรียน เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ครบ ทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะพิสัย (Paychomotor Domain) มีตัวอย่างกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริง ดังนี้
เกมการศึกษา สถานการณ์จ าลอง กรณีตัวอย่าง บทบาทสมมุติ การแก้ปัญหา การแก้ไขสถานการณ์ โปรแกรมส าเร็จรูป ศูนย์การเรียนด้วยตนเอง ชุดการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Aided Instruction) โครงงาน การทดลอง การถาม-ตอบ อภิปรายกลุ่มย่อย สืบสวน สอบสวน กลุ่มสืบค้นความรู้ กระบวนการกลุ่มแบบพลวัติการเรียนรู้แบบร่วมมือ ความคิดรวบยอด การแก้ปัญหา ตามแนวทางอริยสัจ 4 ศึกษา
ค้นคว้าด้วยตนเอง ทัศนศึกษานอกสถานที่ งานวิเคราะห์ภาคสนาม การน าเสนอโดยวิดีโอ และการเล่าเรื่อง เป็นต้น
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพที่มีด้วยการใช้กิจกรรมการเรียน การสอนที่หลากหลาย การวัดและประเมินผลการศึกษาจึงควรต้องด าเนินการให้ครบทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวแล้ว คือ ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย แต่ในสภาพส่วนใหญ่ของระบบการศึกษาของไทยนั้นมักใช้“ข้อสอบ” หรือ “แบบทดสอบ” เป็นเครื่องมือหลักในการวัดผล จึงสามารถวัดผลด้านพุทธิพิสัยได้เพียงด้านเดียว การวัดและ
ประเมินผลดังกล่าวจึงไม่สามารถแสดงผลสัมฤทธิ์และระดับพัฒนาการของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง เพราะเป็นการ สะท้อนคุณภาพของผู้เรียนเพียงบางส่วน ไม่ใช่คุณภาพหรือความสามารถที่แท้จริงทั้งหมดของผู้เรียนคนนั้น อีกทั้ง ยังไม่สอดคล้องกับหลักการวัดผลทางการศึกษาและแนวทางที่ก าหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 26 หมวด 4 ที่ก าหนดแนวทางการวัดและประเมินผลไว้ว่า
“ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการ ของผู้เรียน
ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วม กิจกรรมและการทดสอบ
ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตาม ความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบของการศึกษา….”
5.1 ความหมายของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
กิตติ กิตติศัพท์ (2547: 13) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง หมายถึง การประเมินผลที่ใช้วิธีการ และเกณฑ์ที่หลากหลายในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ความสามารถ และคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้เรียน อย่างเต็มเวลาของกิจกรรมในแต่ละโปรแกรม โดยให้ผู้เรียนได้ท ากิจกรรมหรือสร้างผลงานออกมาเพื่อแสดง ตัวอย่างของความรู้และทักษะตนที่มีซึ่งกิจกรรมที่น ามาใช้ในการประเมินนั้น จะมีลักษณะเหมือนและเป็นส่วนหนึ่ง ของกิจกรรมการเรียนรู้มากกว่าเป็นการทดสอบ และข้อมูลของการประเมินผลได้มาจากทั้งการเก็บรวบรวมผลงาน
ที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับชีวิตประจ าวัน การสังเกตพฤติกรรม ควบคู่ไปกับการทดสอบความรู้ ความเข้าใจ
จินดารัตน์ โพธิ์นอก (2561: 23) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง หมายถึง การประเมินการ เรียนรู้ของผู้เรียนจากพฤติกรรม กระบวนการท างานและผลงาน ในบริบทของการเรียนการสอนตามบริบท สังคม และชุมชนของผู้เรียน และเป็นเครื่องมือวัดสมรรถนะของผู้เรียนที่ได้เรียนรู้ซึ่งแสดงออกโดยการกระท าหรือการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคคลอื่น
ชาตรี เกิดธรรม (มปป: 1) กล่าวว่า การประเมินตามสภาพจริง หมายถึง การประเมินจากการ ปฏิบัติงานหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยงานหรือกิจกรรมที่มอบหมายให้ผู้ปฏิบัติ จะเป็นงานหรือสถานการณ์ ที่เป็นจริงหรือใกล้เคียงกับชีวิตจริง จึงเป็นงานที่มีสถานการณ์ซับซ้อนและเป็นองค์รวมมากกว่าการปฏิบัติงานในใน กิจกรรมการเรียนทั่วไป
5.2 คุณลักษณะของการประเมินตามสภาพจริง
Buke, Forarty และ Belgrad (อางถึงใน เฉลิมพล พันทอง, 2542) ยังได้เสนอไว้ว่า การประเมิน ตามสภาพจริงนั้น ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
(1) งานที่ปฏิบัติเป็นงานที่มีความหมาย คือ สอดคล้องกับชีวิตประจ าวัน
(2) เป็นการประเมินรอบด้านด้วยวิธีการที่หลากหลาย คือ ประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ และ คุณลักษณะ ด้วยเครื่องมือที่สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้และกระท าหลายครั้งอย่างต่อเนื่องตลอด ระยะเวลาที่การ เรียนรู้เกิดขึ้น
(3) ผลผลิตมีคุณภาพ งานทุกงานมีเกณฑ์มาตรฐานที่ร่วมกันตั้งไว้โดยครูผู้เรียนและอาจจะมี ผู้ปกครองร่วมด้วย ผู้เรียนจะประเมินตนเองตลอดเวลาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง จนผลงานมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่ ก าหนดและมีการแสดงผลงานต่อสาธารณะเพื่อสร้างความภูมิใจแก่ผู้เรียนด้วย
(4) ใช้ความคิดระดับสูง กล่าวคือ ผลงานที่สร้างนั้นต้องเกิดจากการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์และ ประเมินทางเลือก ลงมือกระท า ตลอดจนต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง (5) มีปฏิสัมพันธ์ทางบวก กล่าวคือ ผู้เรียน ครูและผู้ปกครองจะต้องมีการร่วมมือกันประเมิน และ ผู้เรียนไม่มีความเครียด
(6) มีการก าหนดจ านวนงานขอบเขตและมาตรฐานอย่างชัดเจนและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของ การเรียนรู้
(7) สะท้อนลักษณะเฉพาะตัวของผู้เรียน โดยผู้เรียนมีโอกาสแสดงความรู้สึกนึกคิด เหตุผลในการ ท าไม่ท าชอบหรือไม่ชอบในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น
(8) เป็นการประเมินอย่างต่อเนื่อง ประเมินได้ทุกเวลาทุกสถานที่และเป็นการประเมินแบบไม่เป็น ทางการ เพื่อให้เห็นและทราบถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ที่แท้จริงของผู้เรียน
(9) เป็นการบูรณาการซึ่งองค์ความรู้กล่าวคือ ผลงานที่ท าต้องใช้ทักษะที่เกิดจากการเรียนรู้ในวิชา ต่าง ๆ ในลักษณะสหสาขาวิชา (Interdisciplinary)
จินดารัตน์ โพธิ์นอก (2561: 23) กล่าวว่า คุณลักษณะส าคัญของการประเมินตามสภาพจริงได้แก่ (1) การประเมินจากการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้เรียน
(2) การประเมินจากการปฏิบัติงานในชีวิตประจ าวัน
(3) การประเมินโดยให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงานหรือการประยุกต์ใช้ความรู้หรือทักษะ
(4) การประเมินโดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ
(5) การประเมินจากประจักษ์พยานหลักฐานโดยตรง
ชาตรี เกิดธรรม (มปป: 1) กล่าวว่า ลักษณะส าคัญของการวัดและการประเมินผลจากสภาพจริง คือ (1) ใช้วิธีการประเมินกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ความสามารถในการปฏิบัติงาน ศักยภาพของผู้เรียน มากกว่าที่จะประเมินว่าผู้เรียนสามารถจดจ าความรู้อะไรได้บ้าง
(2) เป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียน เพื่อวินิจฉัยผู้เรียนในส่วนที่ควรส่งเสริมและส่วนที่ควร แก้ไขปรับปรุง เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพตามความสามารถ ความสนใจและความต้องการของแต่ละ บุคคล
(3) เป็นการประเมินที่เปิดโอกาสให้มีผู้เรียนได้มีส่วนร่วมประเมินผลงานของทั้งตนเองและของเพื่อน ร่วมห้อง เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง เชื่อมั่นในตนเองและสามารถพัฒนาข้อมูลได้ (4) ข้อมูลที่ประเมินได้จะต้องสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้และการวางแผนการสอน ว่าสามารถตอบสนองความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้หรือไม่ (5) ประเมินความสามารถของผู้เรียนในการถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริงได้
(6) ประเมินด้านต่าง ๆ ด้วยวิธีที่หลากหลายในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
เปรียบเทียบลักษณะของการวัดและประเมินผลที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้กับการวัดและประเมินตาม สภาพจริงแล้ว สามารถสรุปเปรียบเทียบความแตกต่างได้ดังตารางต่อไปนี้
เปรียบเทียบลักษณะของการวัดและประเมินผลที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้กับการประเมินตามสภาพจริง
การวัดและประเมินที่มีใช้อยู่โดยทั่วไป
เน้นที่พฤติกรรมเดี่ยว
หยุดการเรียนการสอนในขณะประเมิน
แยกตัวออกจากการสอนหรือวงจรการเรียน
แคบ
ใช้ตัวเลข
ขยายการใช้แบบทดสอบต่อไป
ผู้เรียนเป็นผู้รับความรู้ที่ไม่มีปฏิกิริยา
ไม่เป็นสภาพจริงของกระบวนการเรียนรู้
ครูอยู่นอกระบบประเมิน
อาศัยการวัดและประเมินจากบุคคลภายนอก
ใช้เกณฑ์ตายตัว เป็นตัวก าหนดความส าเร็จ
อาศัยวิธีคิดที่เหมือนกันกับค าตอบที่ถูกต้องเพียง ค าตอบเดียว
จุดเน้นอยู่ที่การแยกทักษะต่าง ๆ ออกจากกัน
การวัดผลอยู่ในขอบเขตของแต่ละวิชา
การวัดและประเมินตามสภาพจริง
เน้นการใช้ความคิด ยุทธศาสตร์ในการเรียนรู้ที่ซับซ้อน หลายเชิง
การเรียนการสอนด าเนินไปตามปกติ
เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่อง โดยเป็น่วนประกอบหนึ่งในการ สอนหรือวงจรการเรียนรู้ของผู้เรียน
กว้าง
ใช้ข้อความ
ใช้วิธีการประเมินหลายชนิด
ผู้เรียนคือผู้ที่สร้างความรู้ที่โดดเด่น
เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้โดยปกติ
ครูเป็นส่วนหนึ่งของระบบประเมิน
อาศัยการวัดการประเมินผลโดยตนเอง(ผู้เรียน)เป็นส าคัญ
ใช้เกณฑ์ที่ยืดหยุ่นหลากหลาย เป็นตัวก าหนดความส าเร็จ
อาศัยวิธีคิดและค าตอบที่ต่างกันได้
จุดเน้นคือ การบูรณาการการเรียนรู้ทุกด้านเข้าด้วยกัน
ใช้กระบวนการของสหวิทยาการ
5.3 ประโยชน์ของการประเมินผลตามสภาพจริง
ประโยชน์ของการประเมินผลตามสภาพจริง สามารถประมวลสรุปได้ดังนี้
(1) ใช้งานที่มีลักษณะปลายเปิดและสะท้อนกิจกรรมการเรียนการสอนที่แท้จริง ซึ่งนับเป็นส่วน หนึ่งของการพัฒนายุทธวิธีการเรียนการสอนที่ส าคัญ
(2) เน้นการใช้ทักษะ ความรู้ความเข้าใจระดับสูงที่สามารถประยุกต์ใช้ข้ามวิชาได้
(3) เน้นที่สาระส าคัญของลักษณะที่บ่งบอกถึงพัฒนาการทางการเรียนรู้มากกว่าเพียงแต่การดู ปริมาณของความบกพร่อง
(4) เป็นปฏิบัติการที่เด่นชัดและแสดงให้เห็นกระบวนการแก้ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและ ยุ่งยากได้เป็นอย่างดี
(5) ส่งเสริมให้มีการใช้วิธีการประเมินผลที่หลากหลายและบันทึกผลการเรียนรู้ในภาพกว้างที่ ได้มาจากสถานการณ์ต่าง ๆ กัน
(6) สามารถใช้ได้กับทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม
(7) ให้ความส าคัญและสนใจในความคิดและความสามารถของปัจเจกบุคคลมากกว่าน ามา เปรียบเทียบระหว่างกัน
(8) สนองตอบความแตกต่างระหว่างบุคคลและประเภทของผู้เรียนที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี (9) ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันในระหว่างกระบวนการเรียนการสอน และกระบวนการวัด และการประเมินผลระหว่างผู้เรียน ผู้สอนและผู้ปกครอง
(10) ผู้เรียนและผู้สอน ล้วนมีบทบาทส าคัญในการประเมินผล
(11) ไม่เน้นว่าผลการศึกษาจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์สมมุติฐานที่ตั้งไว้ก่อนหน้าที่จะมีการเรียน การสอน
(12) สามารถน ามาใช้เป็นวิธีการประเมินในระยะยาวได้
(13) ให้ความส าคัญกับความก้าวหน้าที่ต้องการให้เกิดขึ้นมากกว่าการบันทึกจุดอ่อนของผู้เรียน นอกจากนี้ จินดารัตน์ โพธิ์นอก (2561) ยังกล่าวอีกว่าการประเมินผลตามสภาพจริงจะท าให้ ผู้เรียนได้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นประโยชน์แก่การพัฒนาตนเอง เกิดการบูรณาการการสอน การเรียนรู้ และการ ประเมินในบริบทสังคมและชุมชน และเป็นการประเมินความสามารถในการลงมือปฏิบัติซึ่งน าไปสู่การพัฒนา พลเมืองที่สร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม
5.4 เครื่องมือในการประเมินตามสภาพจริง
ตารางที่ 4 เครื่องมือในการประเมินตามสภาพจริง
วิธีการ-เครื่องมือ
การสังเกต ประกอบด้วย
(1) แบบส ารวจรายการ
(2) ระเบียนพฤติกรรม
(3) แบบมาตราส่วนประมาณค่า
การสัมภาษณ์ได้แก่
แบบบันทึกการสัมภาษณ์
การสอบถาม ได้แก่
แบบสอบถาม
การทดสอบ ประกอบด้วย
(1) แบบเขียนตอบ
(2) แบบทดสอบปฏิบัติจริง
แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
กิจกรรมที่จะวัด
วัดพฤติกรรมที่ลงมือปฏิบัติแล้วสังเกตความสามารถและ ร่องรอยของการปฏิบัติ เช่น การปฏิบัติตามค าสั่ง การท างาน ร่วมกันอย่างมีขั้นตอน การเข้าร่วมการปฏิบัติหรือกิจกรรมที่ ก าหนดวัดกิจกรรมที่เป็นลักษณะนิสัยและความรู้สึก
สอบถามเพื่อให้ทราบถึงความรู้สึก ความคิด ความเชื่อ และ การกระท าด้านต่าง ๆ เช่น ความกล้าในการแสดงความ คิดเห็น บอกแนวความคิดที่มี อธิบายสิ่งที่มีความเชื่ออยู่ เป็น ต้น
ใช้วัดวามต้องการ ความสนใจ ที่แสดงความรู้สึกได้อย่างอิสระ
ทดสอบทักษะ ความรู้ความสามารถต่าง ๆ ที่ต้องการทราบ เช่น ความเร็วในการอ่าน รวมทั้งความเข้าใจในการอ่านและ การเขียนและการสรุปความเป็นต้น
กิจกรรมที่ไม่อาจสังเกตได้ทุกเวลาและอย่างทั่วถึง รวมทั้ง พฤติกรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเงื่อนไขและ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งเงื่อนไขบางอย่างเกิดขึ้นไม่บ่อย นักท าให้การสังเกตในสถานการณ์จริงเป็นเรื่องยากและเสีย เวลานาน ดังนั้น การใช้แบบทดสอบจะมีความเหมาะสม มากกว่า
กิจกรรมที่ผู้เรียนท าเป็นชิ้นงานออกมา อาจเป็นรายงาน แบบ บันทึก เทปบันทึกเสียง ฯลฯ และท าการประเมินโดยตัว ผู้เรียนเอง ผู้สอนและเพื่อร่วมชั้น โดยมีลักษณะที่เน้นให้ ผู้เรียนคิดทบทวนและประเมินตนเอง
เป้าประสงค์หลักที่ส าคัญที่สุดของกระบวนการเรียนการสอน ก็คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เรียนให้ เป็นไปตามที่ก าหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน ซึ่งการที่จะทราบได้ว่าผู้เรียนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจน เกิดเป็นทักษะ ความรู้ความสามารถ รวมทั้งคุณธรรมที่ต้องการหรือไม่นั้น จ าเป็นต้องมีการวัดและประเมินผล อย่างต่อเนื่อง แม้วิธีการวัดและประเมินผลจะเป็นกระบวนการสุดท้ายของกระบวนการเรียนการสอนแต่ก็มีผลต่อ พฤติกรรมการเรียนรูู้ของผูู้เรียนและพฤติกรรมการสอนของผู้สอนโดยตรง เช่น หากการวัดผลใช้“แบบทดสอบ” หรือ “ข้อสอบ” (ทั้งอัตนัยและปรนัย) เป็นเครื่องมือ การทดสอบที่เกิดขึ้นก็จะสามารถวัดความรู้ในเชิงความจ า และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในระดับต้นได้เท่านั้น ส่งผลย้อนกลับให้ผู้เรียนที่ต้องการประสบความส าเร็จมี พฤติกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นที่การท่องจ าเป็นหลัก หรือ เรียนรู้ที่จะฝึกคิดตามแนวทางที่คาดว่าจะพบในข้อสอบ ก่อให้เกิดการกวดวิชาเพื่อป้อนความรู้ในลักษณะส าเร็จรูปและวิธีคิดลัดเทคนิคการคิดต่าง ๆ เกิดขึ้น แต่ในท้ายที่สุดสิ่งหล่านั้นก็ล้วนเป็นเพียง “ความจ า” ที่ผู้เรียนจะลืมในที่สุด หากไม่ได้มีการน ามาใช้ปฏิบัติจริง อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของข่าวสารข้อมูลที่ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะแม้ “ความจ า” จะเป็นสิ่งจ าเป็นพื้นฐานที่ทุกคน ต้องมีแต่ในขณะเดียวกันการที่บุคคล สังคมและประเทศชาติโดยส่วนรวมจะ สามารถด ารงเอกลักษณ์แห่งตนไว้ได้ในท่ามกลางการแข่งขันต่อสู้และแย่งชิงในเชิงเศรษฐกิจอย่างอุกฤตในยุค โลกาภวัตน์นั้น บุคคลในฐานะหน่วยย่อยที่มีความส าคัญที่สุดของระบบการแข่งขัน จ าเป็นจะต้องมีทักษะอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย นอกเหนือจาก “ความจ า” และ “การรอให้คนอื่นบอกให้จ า” ทักษะต่าง ๆ เหล่านั้น ได้แก่ทักษะ การแสวงหาและได้มาซึ่งความรู้(ซึ่งต้องอาศัยทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน) ทักษะการคิดวิเคราะห์ขั้นสูง ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปจนถึง การประยุกตและการสังเคราะห์ สร้างสรรค์
สิ่งใหม่ ดังนั้น การวัดและประเมินผลที่ใช้“ข้อสอบ” แต่เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเพียงการประเมินผล ที่มุมใดมุมหนึ่ง หรือด้านใดด้านหนึ่งของผู้เรียนเท่านั้น และหากผู้สอนน าผลการประเมินดังกล่าวแต่เพียงส่วนเดียว นั้นมาใช้เป็นตัวชี้วัดและตัดสินความรู้ความสามารถของผู้เรียนแล้ว ก็นับว่าเป็นการพิจารณาที่ไม่รอบด้านไม่เป็น “องค์รวม” และที่ส าคัญก็คือผลการประเมินจากวิธีการดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนถึงความรู้ความสามารถที่ผู้เรียน มีอยู่ได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การประเมินผลที่หลากหลาย และมีวิธีการที่เหมาะสมกับวิธีการเรียนรู้เนื้อหา
สภาพของผู้เรียนที่สามารถเรียกรวมกันว่า “การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) จึงเป็น ประเด็นที่ครูผู้สอนต้องให้ความสนใจและยังสอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติที่ เน้นการประเมินผู้เรียนโดย พิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติพฤติกรรมการเรียน และการร่วมกิจกรรม ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 26 หมวด 4 ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 ซึ่งผลที่ส าคัญที่สุดที่จะเกิดขึ้นก็จะ ตกอยู่กับผู้เรียนในฐานะ “ปัจเจกบุคคล” ที่จะสามารถพัฒนาตนเองได้ตามแนวทางที่สอดคล้อง กับความสนใจ ความถนัดและความต้องการของตน เต็มตามศักยภาพแห่งตน และสามารถก้าวไปสู่ ความเป็น “คนเก่ง ดี และสามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุข”
อ้างอิง
กิตติ กิตติศัพท์. (2547). การประเมินตามสภาพจริง. วารสารโรงเรียนนายเรือ. ตุลาคม-ธันวาคม 2547. จินดารัตน์ โพธิ์นอก. (2561). การประเมินตามสภาพจริง “ความรู้ภาษาวัฒนธรรมโดยส านักงานราชบัณฑิตยสภา”. วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 หน้า 23. เดลินิวส์
ชาตรี เกิดธรรม. (มปป). การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assesment). [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2564 จาก
http://edu.vru.ac.th/sct/cheet%20downdload/4.pdf
.