Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิด หลักการ และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน -…
แนวคิด หลักการ และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ความหมายของการวัดผล การทดสอบและการประเมินผล
มีนักวิชาการให้ความหมายของการวัดผลไว้ดังนี้
การวัดผล (Measurement) หมายถึง กระบวนการหาปริมาณ หรือจ านวนของสิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมือ อย่างใดอย่างหนึ่งมาวัด ผลจากการวัดมักออกมาเป็นตัวเลข สัญลักษณ์ หรือข้อมูลต่างๆ (สมนึก ภัททิยธนี, 2537:1)เช่น ส่วนสูง น้ าหนัก คะแนนรายวิชาคณิตศาสตร์เป็นต้น การวัดผล (Measurement) หมายถึง กระบวนการก าหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับบุคคล สิ่งของ หรือ เหตุการณ์อย่างมีกฎเกณฑ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แทนปริมาณหรือคุณภาพของสิ่งที่จะวัด (พิชิต ฤทธิ์จรูญ,2545: 3) ดังนั้น จึงขอสรุปว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการก าหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับสิ่งต่างๆ ที่ ต้องการวัดโดยใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งมาวัด ซึ่งผลจากการวัดนั้นอาจจะเป็นตัวเลข หรือสัญลักษณ์ การวัดผลทางการศึกษา หมายถึง กระบวนการในการหาปริมาณความสามารถเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกิด จากการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน โดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาที่สนใจ ผลจากการวัดผลทางการศึกษาจะออกมาเป็นตัวเลข สัญลักษณ์ หรือข้อมูลต่างๆการทดสอบ (Test) หมายถึง เป็นเทคนิคที่ใช้การวัดผลทางการศึกษาประเภทหนึ่ง โดยเครื่องมือที่ใช้ ในการวัดผลคือ “แบบทดสอบ”การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การตัดสิน หรือวินิจฉัยสิ่งต่างๆ ที่ได้จากการวัดผล โดยอาศัย เกณฑ์การพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง สมนึก ภัททิยธนี, 2537:3) เช่น ผลจากการวัดความสูงเท่ากับ 180 ซม. หมายถึงเป็นคนสูงมาก หรือน้ าหนักของเด็กชายอายุ 1 ขวบเท่ากับ 9 กิโลกรัม หมายถึง มีน้ าหนักตามเกณฑ์ มาตรฐานของเด็กชายไทย เป็นต้นการประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของผลที่ได้จากการวัดโดย เปรียบเทียบกับผลการวัดอื่นๆ หรือเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ,2545: 5) ดังนั้น จึงขอสรุปว่า การประเมินผล หมายถึง การตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ได้ท าการวัดอย่างมีเหตุผลโดย เทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่ก าหนดเอาไว้พิจารณาแล้วเห็นว่าการวัดและการประเมินมีความสัมพันธ์กันไม่สามารถแยกออกจากกันได้เพราะหาก พิจารณาในแง่ของการน าเอาผลจากการวัดไปใช้หากไม่มีการเทียบกับเกณฑ์(การประเมินผล) การวัดย่อมไม่เกิด ความหมายหรือประโยชน์ใดๆ เมื่อเราจะใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจใดๆ เราย่อมต้องวัดผลก่อนแล้วกระบวนการ ประเมินจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการวัดในแง่ของการตัดสินคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
องค์ประกอบของการวัดและการประเมินผล
2.1 องค์ประกอบของการวัด
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545: 5) กล่าวว่า องค์ประกอบของการวัดประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ ปัญหาหรือสิ่งที่จะวัด เครื่องมือวัดหรือเทคนิคที่จะใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล(เครื่องมือที่ใช้วัด) และข้อมูลที่ได้ จากการวัด
2.2 องค์ประกอบของการประเมิน
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545: 5) กล่าวว่า องค์ประกอบของการประเมิน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ ข้อมูล(ที่ได้จากการวัด) เกณฑ์ และการตัดสินคุณค่าหรือการตัดสินใจข้อสังเกต ในข้อมูลที่ได้จากการวัดเดียวกันแต่หากใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกันอาจจะท าให้ตัดสินใจได้ แตกต่างกันได้
ความสัมพันธ์ระหว่างการวัดและประเมินผลกับกระบวนการเรียนการสอน
ในการจัดการศึกษาเป้าหมายสูงสุดคือ ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ก าหนดเอาไว้ ครูมี หน้าที่ในการให้ความรู้แก่ผู้เรียน จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ดังนั้นในการ จัดการกิจกรรมการเรียนการสอนใดๆ จะมีองค์ประกอบที่ส าคัญ 3 ส่วนได้แก่ จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) กิจกรรมการเรียนการสอน (Learning Experience) การวัดและประเมินผล (Evaluation) โดยครูผู้สอนจะต้องเริ่มก าหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อเป็นเป้าหมายให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นด าเนินการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ก าหนดเอาไว้ และท้ายสุดต้องมีการวัดและประเมินผล ผู้เรียนว่าได้บรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ เพื่อที่จะน าข้อมูลนั้นไปปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนการ สอน ดังภาพประกอบที่ 1
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของการเรียนการสอนตามแนวคิดของไทเลอร์ (Stanley and Hopkin, 1972:6 อ้างอิงจ้าง สมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2553 : 2)
ในทางการศึกษามีค าที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับการประเมินอยู่ 2 ค าคือ Evaluation และ Assessment ทั้ง 2 ค านี้ มีความหมายเดียวกันคือ “การประเมิน” แต่แตกต่างกันในแง่ของการเก็บรวบรวม ข้อมูล(การวัดผล) และกระบวนการในการตัดสินคุณค่า ดังตารางที่ 1
ความแตกต่างระหว่าง Evaluation และ Assessment
Evaluation
ต้องท าอย่างเป็นกระบวนการหรือมีขั้นตอน
ต้องก าหนดเกณฑ์ส าหรับตัดสินคุณภาพ
ต้องท าการพิจารณาตัดสินโดยน าผลการวัดเทียบ กับเกณฑ์
ผลการประเมินที่ได้บอกระดับคุณภาพ
ต้องมีผลการวัด
Assessment
1.ต้องท าอย่างเป็นกระบวนการหรือมีขั้นตอน
ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนจาก
หลาย ๆ แหล่ง (การวัดผล)
ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวช้องกับผู้เรียนโดยใช้
วิธีการที่หลากหลาย
4.ต้องประเมินอย่างสม่ าเสมอและประเมินไปพร้อม ๆ
กับการจัดการเรียนรู้
ต้องประเมินให้ครอบคลุมพฤติกรรมด้านความรู้
ทักษะกระบวนการ และคุณธรรมจริยธรรม
ผลที่ได้จาการประเมินน าไปใช้ปรับปรุงแก้ไขจุด
ด้อย และส่งเสริมจุดเด่นของผู้เรียน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การประเมินแบบ Assessment หมายถึง กระบวนการในการรวบรวมข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับ ผู้เรียนอย่างเป็นระบบ เพื่อสะท้อนให้เห็นความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนทั้งจุดเด่นที่ควรส่งเสริม และจุดด้อยที่ ต้องปรับปรุงแก้ไข การประเมินแบบ Assessment จึงเหมาะสมอย่างยิ่งส าหรับน ามาใช้ประเมินผลการเรียนรู้เพื่อ ปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียนที่ครูน ามาใช้ในการประเมิน แบบ Assessment ต้องได้มาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น จากครูผู้สอนจากผู้ปกครอง จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จากเพื่อนหรือจากผู้เรียนเองและต้องได้มาโดยใช้วิธีการที่หลากหลาย ได้แก่ การทดสอบ สังเกต สัมภาษณ์ ซักถาม การ ตรวจผลงานโดยครูต้องท าการประเมินให้กลมกลืนไปกับการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและสม่ าเสมอครอบคลุม ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณธรรมจริยธรรม ด้วยสถานการณ์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริง การประเมินแบบ Assessment จึงเป็นการประเมินโดยพิจารณาพัฒนาการของผู้เรียน เน้นการเรียนรู้ตามสภาพจริง ไม่มุ่ง เปรียบเทียบกับพัฒนาการของนักเรียนคนอื่นๆ การตัดสินได้-ตก
การประเมินแบบ Evaluation หมายถึง การตัดสินผู้เรียนจากพฤติกรรมทางการศึกษาได้วัดได้โดยเทียบ กับเกณฑ์หรือมาตรฐานทางการศึกษาที่ก าหนดเอาไว้ เพื่อตัดสินว่าผู้เรียนนั้นมีพฤติกรรมทางการศึกษาที่สนใจอยู่ ในระดับใด
จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา
จากความสัมพันธ์ระหว่างการวัดและการประเมินผลกับกระบวนการเรียนการสอนที่ได้กล่าวมาแล้วจะ เห็นว่าการวัดผลเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลทางการศึกษาไม่ได้มี เพื่อการตัดสินผู้เรียนว่าสอบได้หรือสอบตก หรือใครอ่อนหรือเก่งกว่าใคร แต่ผลที่ได้จากการวัดและประเมินผล การศึกษาควรจะน าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
4.1 ค้นหาและพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน เป็นการวัดและประเมินผลการศึกษาเพื่อพิจารณา ว่านักเรียนไม่เข้าใจเรื่องใด นักเรียนมีความรู้มากน้อยแค่ไหน แล้วพยายามอบรมสั่งสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ และมีความเจริญงอกงามตามศักยภาพของนักเรียน จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการศึกษาในข้อนี้เป็น จุดมุ่งหมายที่ส าคัญที่สุด และเป็น “ปรัชญาของการวัดผลการศึกษา” ดังนั้น ครูผู้สอนที่ท าการวัดและ ประเมินผลการศึกษาจะต้องตระหนักว่านักเรียนยังไม่เข้าใจหรือไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ในข้อใด เพื่อปรับปรุง กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้
4.2 วินิจฉัย (Diagnosis) เป็นการวัดและประเมินผลการศึกษาเพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียนที่มี ปัญหาว่ายังไม่เกิดการเรียนรู้ในจุดใด เพื่อหาทางช่วยเหลือนักเรียนและสอนซ่อมเสริมนักเรียนได้
4.4 เปรียบเทียบหรือท าให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน (Assessment) เป็นการวัดและประเมินผล การศึกษาเพื่อการเปรียบเทียบเพื่อให้ทราบความสามารถของตัวนักเรียนเอง(ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น)ว่ามีความ เจริญงอกงามขึ้นเพียงใด เช่น การทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน เป็นต้น
4.3 จัดอันดับหรือต าแหน่ง (Placement) การวัดและประเมินผลการศึกษาเพื่อจัดอันดับความสามารถ ของผู้เรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเก่งใครอ่อน ผ่าน-ไม่ผ่าน เป็นต้น
4.5 พยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดและประเมินผลการศึกษาเพื่อน าผลไปคาดคะเนหรือท านาย อนาคตของผู้เรียน เช่น แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบวัดเชาว์ปัญญา
4.6 ประเมิน (Evaluation) เป็นการวัดและประเมินผลการศึกษาเพื่อตัดสินใจสรุปคุณภาพของการ จัดการจัดการศึกษา ควรปรับปรุงหลักสูตรหรือไม่ ฯลฯ
ธรรมชาติของวัดผลการศึกษา
การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่เป็นนามธรรม ผู้ที่ท าการวัดผลการศึกษาจึงควรศึกษาถึงธรรมชาติของ การวัดผลการศึกษาดังนี้
5.1 การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ (Incomplete) กล่าวคือ การวัดผลการศึกษาไม่สามารถ วัดได้ละเอียดครบถ้วนตามที่ต้องการ เพราะเป็นการวัดในสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถทราบปริมาณหรือขอบเขต ที่แน่นอนได้ เช่น ในรายวิชาที่สอนอาจมีจ านวนเนื้อหาหลายบท และละเอียดมากจนเกินความสามารถที่จะออก ข้อสอบ หรือแบบวัดที่ครอบคลุมองค์ความรู้ทั้งหมดได้ หรือหากจะต้องการวัดทั้งหมดจะต้องสร้างข้อสอบเป็น หมื่นข้อเพื่อวัดความรู้กับผู้เรียน ดังนั้น ครูผู้สอนจึงจ าเป็นต้องเลือกเนื้อหาสาระเป็นบางส่วนเพื่อเป็นตัวแทนของ ความรู้ในรายวิชานั้นมาออกข้อสอบ(ท าการวัด) ทั้งนี้หากครูเลือกเนื้อหามาน้อยเกินไปก็อาจจะไม่ครอบคลุมองค์ ความรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการก็ได้ ดังนั้น การวัดผลการศึกษาจึงเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์
5.2 การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) การวัดผลการศึกษาไม่สามารถวัดได้โดยตรง เนื่องจากข้อจ ากัดในด้านของเครื่องมือที่ใช้ในการวัด กล่าวคือ ไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถวัดความรู้ที่ฝังอยู่ในตัว บุคคลได้จริง พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกไม่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม นักวัดผลจึงพยายามหาวิธีการ ในการสร้างเครื่องมือ ซึ่งอาจจะเป็นข้อสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม เพื่อที่จะศึกษาความรู้ความสามารถหรือ พฤติกรรมทางการศึกษาของผู้เรียน การใช้เครื่องมือแบบนี้จึงเป็นการวัดทางอ้อม
5.3 การวัดผลการศึกษามีความคลาดเคลื่อน (Error) สืบเนื่องจากข้อ
5.4 เมื่อการวัดผลการศึกษาไม่ สามารถวัดได้โดยตรงดังนั้น โอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดจึงมีเพราะพฤติกรรมของมนุษย์มีความ ซับซ้อน ไม่สามารถจับต้องได้ซึ่งความคลาดเคลื่อนนั้นอาจจะเกิดจากตัวผู้ถูกวัดเอง เช่น ไม่สบายในวันที่ได้รับการ ทดสอบหรือการวัด หรือเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ข้อสอบไม่ดี โจทย์ไม่ชัดเจน กรรมการก ากับการสอบ บกพร่องต่อหน้าที่ เป็นต้น
5.5 การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดในเชิงสัมพันธ์(Relation) กล่าวคือ ต้องมีการน าเอาผลที่ได้จากการ วัดผลการศึกษาไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์จึงจะสามารถแปลความหมายได้
5.6 การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่มีศูนย์แท้หรือศูนย์สมบูรณ์กล่าวคือ คะแนน/ผลที่ได้จากการวัด เท่ากับ 0 ไม่ได้แปลว่าผู้เรียนไม่มีความรู้ ผู้เรียนอาจจะมีความรู้แต่ข้อสอบไม่ได้ถามสิ่งที่ผู้เรียนมีความรู้หรือ ข้อสอบอาจจะไม่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่ผู้เรียนควรทราบ เป็นต้น
มาตราการวัด
ข้อมูลที่ได้จากการวัดทางการศึกษาจ าเป็นต้องมีการจัดกระท าและน ามาเปรียบเทียบกับเกณฑ์เพื่อ ประเมินหรือตัดสินคุณค่า ดังนั้นนักวัดผลจ าเป็นต้องท าความเข้าใจระดับของข้อมูลที่ได้จากการวัดผลการศึกษา เพื่อให้ทราบข้อจ ากัดในการน าข้อมูลที่ได้มาจัดกระท า ซึ่งมาตรการวัดแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
6.1 มาตรานามบัญญัติ(Nominal scale) เป็นระดับการวัดที่ต่ าที่สุด เป็นระดับที่ใช้จ าแนกความ แตกต่างของสิ่งที่ต้องการวัดออกเป็นกลุ่มๆ โดยใช้ตัวเลข เช่น เพศ สถานภาพ เป็นต้น
6.2 มาตราเรียงอันดับ(Ordinal Scale) เป็นระดับที่สูงกว่านามบัญญัติ เป็นการก าหนดตัวเลขเพื่อชี้ถึง ล าดับตัวเลขในมาตราการวัดระดับนี้ เป็นตัวเลขที่บอกความหมายในลักษณะ มาก-น้อย สูง-ต่ า เก่ง-อ่อน กว่ากัน เช่น
o ด.ช.ด าสอบได้ที่ 1 ด.ช.แดงสอบได้ที่ 2 ด.ญ.เขียวสอบได้ที่ 3
o ก า รป ร ะ ก ว ด ร้ อง เพ ลง น าง ส า ว เ ขี ย วไ ด้ ร าง วั ลที่ 1 น าง ส า ว ช มพูไ ด้ ร าง วั ลที่ 2 นางสาวเหลืองได้รางวัลที่ 3
มีข้อสังเกตว่า ตัวเลขอันดับที่แตกต่างกัน ไม่สามารถบ่งบอกถึงปริมาณความแตกต่างได้ เช่น ไม่สามารถ บอกได้ว่าผู้ที่ประกวดร้องเพลงได้รางวัลที่ 1 มีความเก่งมากกว่า ผู้ที่ได้รางวัลที่ 2 ในปริมาณเท่าใด
6.3 มาตราอันตรภาค(Interval Scale) เป็นระดับที่สูงกว่าสองมาตราที่กล่าวมา มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นอีก 2 ประการคือ มีศูนย์สมมติ(ศูนย์มีความหมายไม่แท้) และมีหน่วยของการวัดที่เท่ากัน กล่าวคือ สามารถบ่งบอกถึง ปริมาณความแตกต่างได้ เช่น อุณหภูมิ 0 องศา กับ 10 องศา มีความหนาวแตกต่างกันอยู่ 10 ช่วงเท่าๆ กัน หรือคะแนนสอบ เป็นต้น
6.4 มาตราอัตราส่วน(Ratio Scale) เป็นระดับที่สูงที่สุด มีความสมบูรณ์มากกว่าอัตราภาค เนื่องจาก มีศูนย์แท้ การวัดในระดับนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการวัดทางวิทยาศาสตร์เช่น น้ าหนัก ส่วนสูง จ านวนเชื้อแบททีเรีย จ านวนผู้ติดเชื้อ เป็นต้น การวัดทางการศึกษาไม่อยู่ในระดับนี้
ขอบข่ายในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
การวัดและประเมินผลการศึกษาจะมีประโยชน์มาน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการวางแนวปฏิบัติในการวัดและ การก าหนดขอบข่ายในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งต้องพิจารณาหลายส่วนประกอบกัน ดังนี้
7.1 หลักการในการวัดผลการศึกษา ประกอบด้วย
(1) ก าหนดจุดประสงค์ของการวัดและประเมินผลให้ชัดเจนว่าต้องการวัดอะไร กล่าวคือ การวัดผล จะต้องวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากการวัดผลจะเป็นตัวช่วยตรวจสอบว่า นักเรียนเกิดพฤติกรรมตามที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน(จุดประสงค์การเรียนรู้) หรือไม่ ถ้าวัดและ ประเมินผลโดยไม่ค านึงถึงจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนการสอนก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ในการวัด ครูผู้สอน จ าเป็นต้องก าหนดพฤติกรรมของผู้เรียนในด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือทักษะพิสัยให้ชัดเจน และวัดให้ตรงกับที่ได้
กำหนดเอาไว้(2) เลือกใช้วิธีการวัดให้เหมาะสม/เครื่องมือที่มีคุณภาพ จากที่ได้ทราบแล้วว่าการวัดทางการศึกษา เป็นการวัดทางอ้อม ดังนั้นครูจ าเป็นต้องเลือกใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพที่ดีในการวัดพฤติกรรทางการศึกษา (ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือทักษะพิสัย) ตามจุดมุ่งหมายการเรียน เพื่อให้ผลที่ได้จากการวัดนั้นถูกต้องและ สามารถน าไปใช้ในการประเมินหรือตัดสินคุณค่าได้
(3) เลือกใช้วิธีการวัด/เครื่องมือที่หลากหลาย ด้วยการวัดทางการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม ดังนั้น ครูจ าเป็นต้องเลือกใช้เครื่องมือที่หลายหลายเพื่อให้สามารถวัดพฤติกรรทางการศึกษา(ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรือทักษะพิสัย) ตามจุดมุ่งหมายการเรียนได้ครอบคลุมมากที่สุด การใช้เครื่องมือที่หลากหลายจะช่วยป้องกัน ความคลาดเคลื่อนในการวัดที่อาจเกิดขึ้น
(4) เลือกตัวแทนของสิ่งที่จะวัดให้เหมาะสม
(5) ใช้ผลจากการวัดให้คุ้มค่า การวัดผลไม่ได้มุ่งให้ครูตัดสินใจว่านักเรียนเก่ง-อ่อน ใครผ่าน-ตก จุดประสงค์ส าคัญคือ “ค้นหาและพัฒนาผู้เรียน” ครูจึงควรใช้การวัดผลในการค้นหาว่าผู้เรียนถนัดในเรื่องใด เก่ง ด้อยในเรื่องใด เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้ดีขึ้น
(6) มีความยุติธรรม
(7) ด าเนินการสอบที่มีคุณภาพ
7.2 กระบวนการวัดและประเมินผลทางการศึกษา
การวัดและประเมินผลทางการศึกษามีกระบวนการโดยสรุป ดังภาพประกอบที่ 2
ข้อมูล
จัดกระทำกับข้อมูล
ผลการเรียน
การก าหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินและสิ่งที่จะประเมิน
ในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ครูผู้สอนและนักเรียนจ าเป็นต้องก าหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ และก าหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมร่วมกัน จากนั้นจึงสร้างเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้และด าเนินการวัดผลและ จัดกระท ากับข้อมูลและตัดสินผลการเรียนตามขั้นตอนและกระบวนการวัดและประเมินผลการศึกษา แต่ก่อนที่จะ ท าการวัดและประเมินนั้นครูผู้สอนจ าเป็นต้องก าหนดวัตถุประสงค์ในการวัดและประเมินก่อนว่าจะเป็นการวัด ประเมินเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจในเรื่องใด เช่น เป็นการวัดและประเมินเพื่อให้ทราบความรู้ก่อน เรียนของผู้เรียน หรือเป็นการวัดและประเมินเพื่อสรุปผลการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินของแต่ละวัตถุประสงค์
ก็จะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของการประเมินผล และเมื่อก าหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินแล้ว ครูผู้สอนก็จะต้องก าหนดสิ่งที่จะต้องประเมินคืออะไร ก่อนที่ครูจะก าหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินสิ่งที่ครูควร จะต้องมีมโนทัศน์ก่อนคือ ประเภทของการประเมิน เมื่อครูเข้าใจในเรื่องของประเภทของการประเมินแล้วจะท าให้ ครูสามารถก าหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินได้ชัดเจนมากขึ้น
8.1 ประเภทของการประเมินผล
การประเมินผลแบ่งออกได้หลายประเภทดังนี้
(1) จ าแนกตามวัตถุประสงค์ของการประเมิน
(1.1) การประเมินผลก่อนเรียน (Pre-evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความรู้ พื้นฐานและทักษะของผู้เรียนว่ามีความรู้เพียงพอที่จะเรียนต่อในรายวิชาใหม่หรือเนื้อหาใหม่ได้หรือไม่ ถ้าพบว่ามี
ความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอหรือไม่มีพฤติกรรมขั้นต้นก่อนเรียนครูจะจัดให้มีการสอนปรับพื้นฐานจนผู้เรียนมีความรู้ เพียงพอที่จะเรียนในเนื้อหาใหม่ได้ การสอบก่อนเรียนไม่ใช่การวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) เพราะครูยัง ไม่ได้ท าการสอนเนื้อหาเหล่านั้นมาก่อน แต่เป็นการสอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic test) ซึ่งนอกจากจะท าให้ครู ทราบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนแล้ว ยังท าให้ครูสามารถวางแผนการเรียนการสอนได้
(1.2) การประเมินผลระหว่างเรียน หรือการประเมินความก้าวหน้า (Formative evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการเรียนที่ก าหนดไว้หรือไม่ เพียงใด หากพบว่า มีข้อบกพร่องในจุดประสงค์ใด ก็หาแนวทางปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในจุดประสงค์นั้นๆ โดยจัดสอนซ่อมเสริม ให้แก่ผู้เรียน (1.3) การประเมินสรุป (Summative evaluation) เป็นการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนรู้ และเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้ทั้งสิ้นเท่าไร ควรตัดสินให้ผู้เรียนผ่านหรือตก หรือควรได้เกรดอะไร การ ประเมินประเภทนี้เป็นการประเมินเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา ครูจ าเป็นต้องประเมินให้ ครอบคลุมทุกจุดประสงค์ หากมีจุดประสงค์มากครูอาจต้องเลือกประเมินบางจุดประสงค์ โดยสุ่มเลือกเอาเฉพาะ จุดประสงค์ที่ส าคัญ
(2) จ าแนกตามระบบการวัดผล
(2.1) การประเมินแบบอิงกลุ่ม (norm-referenced evaluation) เป็นการตัดสินคุณลักษณะ หรือพฤติกรรมโดยเปรียบเทียบกับผู้เรียนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันที่สอบในข้อสอบแบบเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อ จ าแนกหรือจัดล าดับบุคคลในกลุ่มนั้นๆ เช่น การสอบคัดเลือกเข้าศึกษา การสอบชิงทุนการศึกษา เป็นต้น (2.2) การประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced evaluation) เป็นการตัดสิน
คุณลักษณะหรือพฤติกรรมโดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ โดยอาจเป็นเกณฑ์มาตรฐานหรือเป็นเกณฑ์ที่ผู้ ประเมินก าหนดขึ้น ในทางปฏิบัติการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเกณฑ์จะหมายถึงกลุ่มพฤติกรรมตาม จุดมุ่งหมายในแต่ละบทหรือหน่วยการเรียน การประเมินแบบนี้มุ่งบ่งชี้สถานภาพของผู้เรียนแต่ละคนเมื่อ เปรียบเทียบกับเกณฑ์
8.2 การก าหนดสิ่งที่จะประเมิน
เมื่อครูผู้สอนก าหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินได้แล้ว ปัจจัยที่จะต้องพิจารณาต่อมาคือ การก าหนดสิ่งที่จะต้องประเมินหรือพฤติกรรมที่ต้องการจะประเมิน ในการจัดการศึกษาเพื่อให้บรรลุความส าเร็จ นั้นจ าเป็นจะต้องมีการก าหนดเป้าหมายของการจัดการศึกษาที่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรียนการ จะต้องก าหนดพฤติกรรมทางการศึกษาที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนอย่างชัดเจน และเมื่อจัดการศึกษาไปแล้วก็ ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีพฤติกรรมเป็นไปตามที่ก าหนดหรือไม่ ซึ่งพฤติกรรมทางการศึกษาก็คือ “สิ่งที่จะประเมิน” นั่นเอง พฤติกรรมทางการศึกษา (Educational behavior) ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่จะให้เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนตามกระบวนการเรียนการสอนอันประกอบไปด้วยความรู้ความสามารถ ทักษะ และลักษณะนิสัยต่างๆ เมื่อ ก าหนสิ่งที่จะประเมินได้ชัดเจนแล้ว ก็จะน าไปสู่การเลือกเครื่องมือที่จะใช้ในการวัด การจัดกระท ากับข้อมูลและ การตัดสินคุณค่าตามมา
การประโยชน์ของการประเมินผลการศึกษา
ครูผู้สอนจะทราบว่าผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์การจัดการเรียนการสอนหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ และข้อมูลที่ได้จากการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะท าให้ครูผู้สอนสามารถปรับปรุงการ เรียนการสอนและน าไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เชาว์ อินใย (2555, 8-9) สรุปประโยชน์ของการประเมินผลการ เรียนรู้ไว้ดังนี้
ครูได้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้เรียนเบื้องต้นก่อนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท าให้ครูสามารถจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้ตามความสามารถของแต่ละบุคคล
ช่วยให้ครูก าหนดหรือปรับปรุงจุดมุ่งหมายของการสอนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จุดมุ่งหมายบางข้ออาจยาก เกินไป ผู้เรียนไม่สามารถบรรลุได้ ครูก็อาจจะปรับให้ง่ายขึ้น
ประเมินประสิทธิภาพการสอนของครูผู้สอนเอง
ผู้เรียนทราบถึงระดับความสามารถของตนเอง มีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้น
เป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารจัดการโรงเรียน