Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด :<3: - Coggle Diagram
พยาธิสรีรภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด :<3:
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) :red_flag:
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) หมายถึง ภาวะที่หัวใจไม่สามารถบีบตัวส่งเลือดไปเลี้ยง เนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ :no_entry:
ภาวะหัวใจข้างซ้ายล้มเหลว (Left heart failure) :no_entry:
เกิดจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจข้างซ้ายตาย และโรคของกล้ามเนื้อ หัวใจโรคของลิ้นหัวใจและความดันโลหิตสูง ทำให้ความแรงในการบีบตัวของหัวใจซีกซ้ายลดลง มี เลือดเข้าสู่วงจรรงกายน้อยลง :forbidden:
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไปข้างหน้า (Forward effect) จากการที่หัวใจบีบเลือดออกมาลดลง
ผลกระทบที่เกิดย้อนกลับไปข้างหลัง (Backward effect เมื่อหัวใจบีบตัวลดลงทำให้ ปริมาตรเลือดที่ออกจากหัวใจลดลง เป็นผลให้มีเลือดเหลือค้างในหัวใจห้องล่างซ้ายมากขึ้น
ภาวะหัวใจข้างขวาล้มเหลว (Right heart failure) :no_entry:
มักเกิดภายหลังหัวใจล้มเหลวซีกซ้าย ถ้าหัวใจล้มเหลวด้านขวาเกิดก่อน มักเกิดในโรคกล้ามเนื้อหัวใจซีกขวาตาย :no_entry:
หัวใจซีกซ้ายล้มเหลว ในภาวะหัวใจซีกซ้ายล้มเหลว จะมีเลือดออกจากหัวใจซีกซ้ายเข้าสู่ วงจรร่างกายน้อยลง :no_entry:
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ทำให้แรงดันหลอดเลือดในปอดสูง หัวใจห้องล่างขวาทำงานหนักขึ้น เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวซีกขวาตามมา
ความผิดปกติของหัวใจในเด็ก :red_flag:
Left -to-Right shunt คือความผิดปกติที่มีเลือดแดง (Oxygenated) ปะปนกับเลือดดe(Unoxygenated) ความผิดปกติในกลุ่มนี้เกิดจากการที่มีรูหรือส่วนเชื่อมต่อระหว่างหัวใจซีกซ้าย
Right-to-Left shunt คือ ความผิดปกติที่มีเลือดดำปะปนกับเลือดแดง จึงทำให้เลือด แดงที่ไปเลี้ยงร่างกายมีออกซิเจนต่ำเซลล์จึงขาดออกซิเจน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการเขียวคล้้ำ(Cyanosis)
ความผิดปกติในจังหวะการเต้นของหัวใจ :red_flag:
Sinus tachycardia คือการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ แต่สม่ำเสมอชีพจร
Sinus bradycardia คือการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติแต่สม่ำเสมอ อัตราชีพจรที่ถือว่า เป็น Bradycardia คือน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที
Fibrillation หมายถึงการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติและไม่สม่ำเสมอ
Premature Contraction หมายถึงการเต้นของหัวใจที่มีการหยุดเป็นช่วงๆ
Heart block หมายถึงภาวะที่การนำไฟฟ้าในหัวใจ มีการปิดกั้นหรือทำให้ช้าลง
ความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ :red_flag:
ความผิดปกติของหลอดเลือดของหัวใจ (Coronary heart disease: CHD) : :no_entry:
ความผิดปกติของหลอดเลือดของหัวใจที่พบบ่อยคือการอุดตันของหลอดเลือดแดงของหัวใจซึ่งอาจจะเกิดจาก หลอดเลือดแดงตีบแข็ง (Atherosclerosis) และการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ จากลิ่มเลือด (Thrombus) หรือ Plaque ที่เกิดจาก Atherosclerosis หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อ เรียบของหลอดเลือด
อาการและอาการแสดงของความผิดปกติของหลอดเลือดของหัวใจคือ อาการเจ็บหน้าอก (Angina หรือ Angina pectoris) และความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG)
ความผิดปกติของเยื่อหุ้มหัวใจ :no_entry:
Pericardial effusion หรือ Cardiac tamponade (หัวใจถูกบีบรัด) เป็นภาวะที่มีสาร น้ าหรือเลือดในช่องเยื่อหุ้มหัวใจมากกว่าปกติมีสาเหตุจากการบาดเจ็บบริเวณทรวงอก
Pericarditis เป็นการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งมักจะเกิดจากการติดเชื้อในบริเวณอื่นของ ร่างกายหรือการติดเชื้อที่หัวใจมาก่อน การอักเสบอาจพบเป็นแบบเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง พยาธิสภาพ ของการอักเสบเฉียบพลันจะเป็นเช่นเดียวกับการอักเสบในบริเวณอื่นๆ ที่จะมีการเคลื่อนตัวของเม็ด เลือดขาวมาบริเวณที่อักเสบ
Constrictive pericarditis เป็นผลต่อเนื่องมาจากการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ และเกิด กระบวนการหาย โดยมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมาทดแทน (Fibrous Scare tissue) ซึ่งเนื้อเยื่อชนิดนี้ยืด ขยายได้น้อย และอาจพบว่าเกิดการดึงรั้งของ Scar (เช่นเดียวกับการที่แผลเป็นที่ผิวหนังดึงรั้ง) จึงทำให้บีบรัดหัวใจทำให้ขยายออกเพื่อรับเลือดได้น้อยลง
ภาวะช็อค (Shock) :red_flag:
หลักการรักษาภาวะช็อค :no_entry:
ต้องวินิจฉัยให้ได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดภาวะช็อค และเกิดจากสาเหตุใด ค่าความดันโลหิตจะ เป็นค่าที่แสดงได้ดีว่าผู้ป่วยเกิดภาวะช็อคหรือไม่ โดยถือว่าผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะช็อคถ้าความดัน โลหิตซิสโตลิคต่ ากว่า 90 มม.ปรอท
เพิ่มออกซิเจนในกระแสเลือด โดยการเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนที่หายใจเข้าไป
แก้ไขภาวะแทรกซ้อนและภาวะที่พบร่วมกับช็อค
ประเมินผลเพื่อปรับการรักษา โดยตรวจร่างกาย ระดับความรู้สึก วัดสัญญาณชีพ
ระยะของช็อค :no_entry:
ระยะแรกหรือระยะปรับตัว (Initial, nonprogressive, compensated stage) :forbidden:
ระบบต่อมไร้ท่อ เมื่อเกิดภาวะช็อคจะมีการตอบสนองในระบบต่อมไร้ท่อ โดยการ ตอบสนองจะเกิดขึ้นหลังกระตุ้นระบบประสาท คือใช้เวลาประมาณ 20 นาทีหลังเกิดภาวะช็อค
การไหลเวียนเลือดของร่างกาย เปลี่ยนแปลงโดยผลของการกระตุ้นระบบประสาทซิม พาเธติคและแคทีโคลามีน โดยจะมีเลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะที่ไม่สำคัญน้อยลง
ระยะปรับตัวไม่สำเร็จ (Progressive, decompensated stage) :forbidden:
ลดการทำงานของศูนย์ควบคุมหลอดเลือด (Vasomotor Center)
การทำงานของหัวใจลดลง จากภาวะที่หัวใจขาดเลือด ภาวะกรดในร่างกายและ สารพิษอื่นๆ ในเลือดจะกดการทำงานของหัวใจ
เพิ่มการซึมผ่านของน้ำจากการที่หลอดเลือดขยาย จะทำให้น้ำในหลอดเลือด ซึมผ่านออกสู่ช่องว่างระหว่างเซลล์ได้มากขึ้น
มีการหลั่งสารจากเนื้อเยื่อที่ขาดออกซิเจน สารที่หลั่งจากเซลล์ของร่างกายที่ ขาดออกซิเจน
มีการเสื่อมสลายของเซลล์ทั่วไป เมื่อเซลล์ขาตออกซิเจนจะขาดพลังงานในการ ทำงานของเซลล์
ระยะสุดท้ายหรือระยะไม่ฟื้น (Irreversible, final stage) :forbidden:
ระยะสุดท้ายหรือระยะไม่ฟื้น (Irreversible, final stage) เป็นระยะที่มีเซลล์ตายอย่าง มาก แม้จะให้การรักษาก็จะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยฟื้นกลับเป็นปกติได้เพราะอวัยวะที่สำคัญ (Vital organs)
ชนิดของภาวะช็อค :forbidden:
Hypovolemic หรือ Hematogenic shock เป็นภาวะช็อคที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตร น้ำในหลอดเลือด :red_cross:
สูญเสียเลือด อาจจะสูญเสียจากการได้รับบาดเจ็บมีหลอดเลือดฉีกขาด
สูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Dehydration)
สูญเสียพลาสมา ซึ่งจะสูญเสียโปรนในพลาสมาด้วย การสูญเสียในลักษณะนี้ยัง
Cardiogenic shock เป็นภาวะช็อคที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปให้เนื้อเยื่อได้เพียงพอ โดยจะมีปริมาณเลือดออกจากหัวใจใน 1 นาที :red_cross:
Lactic acidosis เกิดจากเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน (Hypoxia) จึงทำให้ได้พลังงานจากเมตา โบลิสมแบบไม่ใช้ออกซิเจน จะได้ของเสียเป็นกรดแลคติคซึ่งความเป็นกรดของร่างกายจะกดการ ทำงานของหัวใจ และกดการทำงานของเอนชัยม์ต่างๆ ของร่างกาย :red_cross:
อาการและอาการแสดงของภาวะช็อค :forbidden:
ระบบประสาท ในระยะปรับตัวของช็อคการรับรู้จะปกติกระสับกระส่าย เมื่อเข้าสู่ระยะ Decompensated จะเริ่มสับสน ซึม เฉยเมย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด ในระยะแรกของช็อคจะมีการกระตุ้นหัวใจจากระบบประสาท ซิมพาเธติค ซีพจรจะเร็วและแรง ความดันโลหิตจะปกติหรือลดลงประมาณ 10-20% ในระยะ Decompensated ชีพจรจะเร็วมากขึ้น แต่จะเบา
ระบบหายใจ อัตราการหายใจจะเร็วและตื้น เนื่องจากภาวะกรด (Acidosis) จะกระตุ้น การหายใจ และในระยะสุดท้ายของช็อคมักจะเกิด Pulmonary edema
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ ไตจะได้รับเลือดน้อยลง จึงสร้างปัสสาวะออกมาน้อยกว่าปกติใน ระยะปรับตัวของช็อค ไตจะไม่ขาดเลือดมากนัก เพราะร่างกายยังถือว่าไตเป็นอวัยวะที่สำคัญ
ผิวหนังและอุณหภูมิกาย จะมีความแตกต่างกันในช็อคแต่ละชนิดคือ Septic shock, Neurogenic shock ระยะแรกจะมีตัวอุ่นแดง และ Septic shock มักจะมีไข้สูงเนื่องจากมีการติดเชื้อแต่ช็อคชนิดอื่นๆ จะมีผิวหนังเย็น ซีด และชื้น