Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว (acyanotic heart disease), image,…
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
(acyanotic heart disease)
Atrial Septal Defect: ASD
อาการ
ในรายที่มีรูรั่วขนาดเล็ก เด็กจะไม่มีอาการปรากฏและจะเจริญเติบโตได้ปกติ แต่ถ้ารูรั่วมีขนาดใหญ่ จะมีอาการอ่อนเพลียเวลาออกกำลังกาย เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก เป็นหวัดหรือปอดบวมบ่อยๆ มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ การเจริญเติบโตมักจะเป็นปกติ ทราบว่าป่วยเป็นโรคหัวใจจากการตรวจร่างกายทั่วไปได้ยิน systolic murmur
การวินิจฉัย
การซักประวัติ : หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย อกบุ๋ม ไม่มีอาการเขียว ตัวเล็ก
การตรวจร่างกาย : ตรวจพบ ventricle ขวาโต เสียงที่หนึ่ง (S1) ต่ำกว่าปกติที่บริเวณลิ้นไตรคัสปิด
ภาพรังสีทรวงอก (chest x–ray) : พบหัวใจโตเล็กน้อย มี ventricle ขวาโตและอาจจะมี atrium ขวาโต มีหลอดเลือดที่ปอดเพิ่ม
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : อาจมี atrium ขวาโต พบว่า มี P wave สูงแหลม
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : ขนาดของ atriumขวาและ ventricleขวา รวมทั้งหลอดเลือดแดง pulmonary มีขนาดใหญ่ขึ้น เห็นรูรั่วบริเวณผนังกั้นหัวใจห้องบนชัดเจน
สาเหตุ
เกิดจากความความผิดปกติในการสร้างผนังกั้นเอเตรียมที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดรูรั่วเป็นทางติดต่อระหว่างเอเตรียมซ้ายและขวา การเกิดรูรั่วอาจมีเพียงรูเดียวหรือหลายรูก็ได้ พบรูรั่วขนาดต่างๆ กัน
ความหมาย
โรครูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องบน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติในการสร้างผนังกั้นเอเตรียมที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดรูรั่ว
การรักษา
ASD ปิดได้เองในช่วงอายุ 3 ปี ถ้ารูรั่วมีขนาดเล็กกว่า 5 มม. แต่ถ้ารูรั่วมีขนาดใหญ่โรคนี้อาจดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่เด็กจะมีชีวิตอยู่ได้ใกล้เคียงกับคนปกติ โดยไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย
รักษาทางยาเมื่อเกิดภาวะหัวใจวายหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ได้แก่ ยา digitalis ยาขับปัสสาวะ ยาปฏิชีวนะ
การผ่าตัด สามารถทำได้เมื่อวัยก่อนเข้าเรียนหรือทำก่อนถ้าเด็กมีอาการโดยการเย็บปิดผนังกั้นของ ASD หรือเย็บซ่อมลิ้นหัวใจ mitral
พยาธิสภาพ
เลือดแดงในหัวใจห้องบนซ้ายมีความดันสูงกว่าด้านขวา จะไหลผ่านตรงทางรูรั่วที่ผิดปกติ เข้าไปหัวใจห้องบนขวาลงสู่ห้องล่างขวา เป็นผลให้เกิด left to right shunt ทำให้หัวใจห้องบนขวาและห้องล่างขวาโตและขยายตัวขึ้น เนื่องจากต้องทำหน้าที่เพิ่มขึ้น เมื่อเลือดที่จำนวนมากกว่าปกติไหลทำให้หลอดเลือดในปอดชั้น media หนาตัวขึ้นเป็นการเพิ่มแรงต้านที่ปอดเพื่อให้เลือดไหลผ่านปอดน้อยลงแต่ขณะเดียวกันหัวใจห้องล่างขวาต้องออกแรงบีบตัวมากขึ้น เพื่อดันเลือดจำนวนมากออกไปให้หมดเกิดภาวะ tricuspid valve รั่วตามมา
การพยาบาล
1.ดูแลให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มี โปรตีนและแคลอรี่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต ที่สำคัญคืออาหารที่ให้รับประทานต้องเป็นอาหารที่มี ลดเกลือหรือลดเค็มเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน จนส่งผลให้หัวใจทำงาน มากกว่าปกติ
2.ดูแลให้น้ำในปริมาณที่จำกัด หรือจำกัดปริมาณนมต่อวันตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการคั่ง ของน้ำในร่างกาย
3.ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ ยาที่ได้รับจะเป็นกลุ่มยา lanoxin
4.ดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ปอดโดยดูแล เรื่องความสะอาดของช่องปาก หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิด กับบุคคลที่เป็นหวัดไอเจ็บคอ หรือหลีกเลี่ยงการพาบุตร ไปที่ชุมชน หรือถ้าบุตรเริ่มเป็นหวัดควรรีบรักษาให้หาย โดยเร็ว
5.ประเมิน v/s ทุก 4 ชม.
Patent Ductus Ateriosus: PDA
อาการ
PDA ขนาดเล็ก : ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ ตรวจร่างกายพบหัวใจไม่โต หรือโตเล็กน้อย ได้ยินเสียง murmur
PDA ขนาดปานกลาง : ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่ายเล็กน้อย มีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ หัวใจซีกซ้ายโต พัฒนาการไม่สมวัย
PDA ขนาดใหญ่ : ผู้ป่วยจะมีอาการมากตั้งแต่วัยทารก ในทารกคลอดก่อนกำหนดจะมีหัวใจวาย เหนื่อยหอบ น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ มีอาการเขียวปลายนิ้วเท้า หัวใจโต
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ : จากอาการตัวเล็ก น้ำหนักน้อย หายใจเร็ว
2.การตรวจร่างกาย
ได้ยิน murmur ที่ลิ้น pulmonic
ชีพจรเต้นแรง (bounding pulse)
pulse pressure กว้างกว่า ½ ของความดัน systolic
3.ถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) : พบ ventricle ซ้ายโต หลอดเลือด pulmonary artery มีขนาดใหญ่ขึ้น หลอดเลือดที่ปอดเพิ่มขึ้น
4.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบว่าหัวใจล่างซ้ายโต
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : พบว่า มีหัวใจด้านซ้ายโต วัดขนาดของ ductus arteriosus ได้
สาเหตุ
เกิดจากการที่หลอดเลือด ductus arteriosusไม่ปิดภายหลังทารกคลอด ซึ่งปกติควรปิดภายใน 1 – 4 สัปดาห์ ในทารกที่ ductus arteriosus ไม่ปิดทำให้เลือดแดงไหลจาก aorta เข้าสู่ pulmonary artery ได้ พบร้อยละ 5 –10 ของโรคหัวใจแต่กำเนิดทั้งหมด
การรักษา
ในรายที่ไม่มีอาการ ควรทำการผ่าตัดโดยผูกหรือตัด ductus arteriosus เมื่อผู้ป่วยอายุเกิน 1 ปีไปแล้ว เนื่องจากก่อนอายุ 1 ปี มีโอกาสที่ ductus arteriosus อาจจะปิดได้เอง ในผู้ป่วย PDA ทุกรายควรได้รับการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ เกิด pulmonary hypertension เนื่องจากการผ่าตัดปิด PDA ได้ผลดีมาก
การรักษาทางยา ในทารกแรกคลอดหรือทารกที่คลอดก่อนกำหนดและมีอาการหัวใจวายให้ยา Indomethacin 0.2 mg/Kg. ทางปากหรือหลอดเลือดดำซ้ำ 3 ครั้ง ห่างกัน 8 –12 ชม. ในการให้ยา Digitalis ถ้า HR น้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที ให้งดยามื้อนั้น ส่วนยาขยายหลอดเลือด ถ้า systolic blood pressure น้อยกว่า 70 mmHg ให้งดยามื้อนั้น แต่ถ้าการใช้ยาไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดผูกหลอดเลือด ductus arteriosus ด้วยไหมขนาดใหญ่
พยาธิสภาพ
ความดันของเลือดในหลอดเลือด aorta สูงกว่าในหลอดเลือดแดง pulmonary เป็นเหตุให้เลือดไหลจาก aorta กลับมายังที่หัวใจห้องบนซ้ายลงสู่ห้องล่างซ้ายออกทาง aorta ใหม่วนเวียนไปเรื่อยๆ เลือดที่มีออกซิเจนไหลเวียนผ่านปอดใหม่ ทำให้หัวใจด้านซ้ายทำงานมากกว่าปกติและเกิดหัวใจโต เมื่อเลือดแดงไหลเวียนไปสู่ปอดมากขึ้น จะทำให้ความดันในปอดสูง เกิด right to left shunt เลือดดำจะผสมกับเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนล่างของร่างกาย ทำให้เกิดอาการเขียวที่ขาและเท้า แต่แขนและใบหน้าไม่มีอาการเขียว เรียกภาวะนี้ว่า differential cyanosis ซึ่งในระยะท้ายจะเกิดภาวะหัวใจวายได้
การพยาบาล
1.ดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ปอดโดยดูแลเรื่องความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ
2.ดูแลให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนและแคลอรี่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต ที่สำคัญคืออาหารที่ให้รับประทานต้องเป็นอาหารที่มี ลดเกลือหรือลดเค็มเพื่อป้องกันภาวะน้ำเกิน จนส่งผลให้หัวใจทำงานมากกว่าปกติ
ดูแลให้น้ำในปริมาณที่จำกัด หรือจำกัดปริมาณนมต่อวันตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการคั่ง ของน้ำในร่างกาย
ประเมิน v/s ทุก 4 ชั่วโมงและ สังเกตอาการที่ผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบมากขึ้น มีอาการเขียวมากขึ้น
. ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้ออกกำลังลังกาย ตามศักยภาพแต่ต้องไม่เหนื่อยจนเกินไป หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ออกแรงมาก เช่น การร้องไห้ การเบ่งถ่ายอุจจาระ
ความหมาย
หลอดเลือดที่เชื่อมระหว่างส่วนต้นของ descending aorta กับส่วนต้นของหลอดเลือดแดง pulmonary ข้างซ้าย ไม่ปิดภายหลังทารกคลอด
Ventricular Septal Defect::VSD
อาการ
VSD ขนาดเล็ก ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ การเจริญเติบโตปกติ
VSD ขนาดปานกลาง ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่าย ตัวเล็ก และมีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย พัฒนาการทางร่างกายช้า ดูดนมลำบากต้องพักเหนื่อย ตรวจพบหัวใจโตเล็กน้อย
VSD ขนาดใหญ่ มักจะเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทารกอายุประมาณ 1 – 2 เดือน เลี้ยงไม่โต ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย ตัวเล็ก หายใจเหนื่อยหอบ มักจะไม่มีอาการเขียวขณะอยู่นิ่ง แต่อาจจะเขียวเล็กน้อยเวลาร้อง หรือออกแรงมากๆ ตรวจพบหัวใจโตและมีอาการแสดงของภาวะหัวใจวาย เช่น ตับโต หัวใจเต้นเร็วและแรง
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ : หายใจเร็วผิดปกติ เด็กตัวเล็ก โตช้า
2.การตรวจร่างกาย : พบเสียง murmur
3.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบ left atrium และ ventricle ทั้งสองโต
5.ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
VSD ขนาดเล็ก : ขนาดหัวใจมักปกติหรือโตเล็กน้อย
VSD ขนาดปานกลาง : มักมีหัวใจโต หลอดเลือดที่ปอดเพิ่มขึ้น
VSD ขนาดใหญ่ : มักพบว่าหัวใจโตมาก หลอดเลือดที่ปอดเพิ่มขึ้นมาก พบ ventricle
ซ้าย-ขวาโต และมี atrium ซ้ายโตด้วย
4.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : มองเห็นขนาดรูรั่วและห้องหัวใจที่โตขึ้น
สาเหตุ
เกิดจากมีรูรั่วผนังกั้นห้องหัวใจห้องล่าง ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายผ่านรูรั่วไปยังห้องล่างขวา และออกสู่หลอดเลือดแดงของปอด ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปปอดมากขึ้น ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย (ภายหลังการฟอกแล้ว) และล่างซ้ายจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้หัวใจห้องซ้ายรับภาระมากขึ้น (ปริมาณเลือดเพิ่ม) เกิดภาวะหัวใจวายได้
การรักษา
การดูแลสุขภาพทั่วไป
VSD ขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้การดูแลสุขภาพอนามัยที่ดี ระมัดระวังและป้องกันการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ โดยการดูแลสุขภาพของปาก ป้องกัน'ม่ให้ฟันผุ
VSD ขนาดใหญ่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย ต้องทำการผ่าตัด
การผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการโดยการรัด pulmonary artery ให้เล็กลง ในกรณีไม่สามารถควบคุมภาวะหัวใจวายได้ การผ่าตัดเย็บปิดรูพิการ หรือการผ่าตัดเปิดหัวใจเพื่อแก้ไขความผิดปกติของหัวใจ
กรณีมีภาวะหัวใจวาย ให้ยา digitalis ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือด
พยาธิสภาพ
เกิดจากขนาดของรูรั่วระหว่าง ventricle โดยที่เลือดจะไหลลัดจาก ventricle ซ้ายไปขวา ไหลไปสู่ปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจน แล้วไหลสู่หัวใจห้องบนซ้ายลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ซึ่งต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นบีบตัวให้เลือดส่วนหนึ่งออกไปสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย โดยที่เลือดอีกส่วนหนึ่งผ่านรูรั่วกลับเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวาใหม่ กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายจึงโตกว่าปกติ เมื่อเลือดลัดวงจรจากซ้ายไปขวานานๆ เข้าถ้าแรงต้านของหลอดเลือด pulmonary สูงกว่าแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกาย จะทำให้มีการไหลกลับของเลือด คือ แทนที่เลือดจะไปสู่ปอด เลือดจะลัดวงจรไหลย้อนผ่านทางเปิดจากหัวใจห้องล่างขวาไปซ้าย (right to left shunt) ทำให้เลือดดำไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจึงเกิดอาการเขียว เรียกว่า Eisenmenger’ syndrome
การพยาบาล
ดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกายและการกระตุ้นให้มีการพัฒนาการเคลื่อนไหวที่ เหมาะสม
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
3.แนะนำบิดามารดาให้มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและ การมีพัฒนาการตามวัย เพื่อสร้างความเข้าใจในสภาพ การณ์ที่เป็นจริงของเด็ก
4.ให้เวลารับฟังข้อมูล การพยาบาลเด็กป่วย จากครอบครัวด้วยท่าทีที่เต็มใจ พร้อมเปิดโอกาส ให้ครอบครัวได้ระบายความรู้สึก ซักถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลเด็ก จากนั้นจึงให้คำแนะนำหรือให้ ข้อมูลต่างๆอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหา
ประเมิน v/s ทุก 4 ชั่วโมงและ สังเกตอาการที่ผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบมากขึ้น มีอาการเขียวมากขึ้น
ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้ออกกำลังลังกาย ตามศักยภาพแต่ต้องไม่เหนื่อยจนเกินไป กิจกรรมที่ทำให้ ออกแรงมาก เช่น การร้องไห้ การเบ่งถ่ายอุจจาระ พยายามควบคุมและหลีกเลี่ยงเพราะจะส่งผลให้เด็กเกิดภาวะหมดสติจากสมองขาดออกซิเจนได้
ความหมาย
เป็นความพิการของหัวใจที่มีทางเชื่อมติดต่อระหว่าง ventricle ซ้ายและขวา
Pulmonary Stenosis: PS
อาการ
มีการตีบแคบน้อย
ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ อาจพบ systolic murmur
มีการตีบแคบปานกลาง
ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเหนื่อยง่ายเพียงเล็กน้อยเวลาออกแรง พบ systolic murmur
มีการตีบแคบมาก
ผู้ป่วยจะมีอาการของภาวะหัวใจซีกขวาวาย เด็กโตมักมีอาการเหนื่อยง่าย อาจมีอาการเขียว พบ systolic murmur บางรายอาจมีการเป็นลมหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายได้
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
2.การตรวจร่างกาย
ฟังได้ systolic murmur บริเวณอกด้านซ้ายด้านบน
คลำได้ ventricle ขวาโต
3.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : ventricle ขวาโต atrium ขวาโต
4.ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
มีการโป่งพองของ pulmonary artery หัวใจห้องบนและล่างขวาโต
หลอดเลือดที่ปอดมักจะน้อยลง
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
พบ atrium ขวาโต ventricle ขวาหนาขึ้น ดูโป่งพอง
มีการตีบแคบของหลอดเลือด pulmonary
พยาธิสภาพ
เกิดการอุดกั้นของทางออกของ ventricle ขวา ทำให้ ventricle ขวาต้องบีบตัวแรงขึ้น เพื่อให้มีปริมาณของเลือดไปปอดเพียงพอ กล้ามเนื้อของventricleขวาจึงหนาตัวขึ้น ส่งผลให้เลือดจาก atrium ขวาไหลลง ventricle ขวาได้ไม่สะดวก atrium ขวา จึงมีขนาดใหญ่และผนังหนาขึ้น และอาจทำให้ความดันใน atrium ขวาสูงกว่า atrium ซ้าย เกิดเลือดไหลลัดวงจรจาก atrium ขวาไปซ้าย (right to left shunt ) ทำให้เกิดอาการเขียวได้
การรักษา
รายที่เป็น mild pulmonary stenosis ไม่ต้องผ่าตัด
ในรายที่มีอาการมาก ทำผ่าตัด pulmonary valvotomy และ balloon valvuloplasty เพื่อขยายลิ้น pulmonary
ให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
สาเหตุ
เกิดจากการตีบแคบหรือการอุดตันของลิ้น pulmonary มีผลให้การไหลของเลือดจากหัวใจห้องล่างขวาไปยัง pulmonary artery ได้ยากขึ้น
การพยาบาล
เปิดโอกาส ให้ครอบครัวได้ระบายความรู้สึก ซักถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลเด็ก จากนั้นจึงให้คำแนะนำหรือให้ ข้อมูลต่างๆอย่างเหมาะสม และส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้ออกกำลังลังกาย ตามศักยภาพแต่ต้องไม่เหนื่อยจนเกินไป เลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ ออกแรงมาก เช่น การร้องไห้ การเบ่งถ่ายอุจจาระ
ประเมิน v/s ทุก 4 ชั่วโมง วัด oxygen saturationและ สังเกตอาการที่ผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบมากขึ้น มีอาการเขียวมากขึ้น
ดูแลให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนและแคลอรี่เพียงพอ ที่สำคัญคือ อาหารที่ให้รับประทานต้องเป็นอาหารที่ลดเกลือหรือลดเค็ม
4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ
ความหมาย
การตีบของลิ้น pulmonary
Coarctation of Aorta: COA
อาการ
ทารกแรกเกิด
มาด้วยอาการของหัวใจวาย ได้แก่ หายใจเหนื่อยหอบ เลี้ยงไม่โต ตรวจร่างกายจะพบว่ามีหายใจเร็ว ชีพจรที่แขนจะแรงกว่าที่ขา
เด็กโต
มักไม่มีอาการผิดปกติ ถ้ามีอาการมักจะเป็นผลจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหัวใจวาย และติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ ความดันโลหิตในส่วนของแขนสูงกว่าที่ขา pulse pressure จะกว้าง
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ : อาการและอาการแสดง
2.การตรวจร่างกาย
บางคนมีร่างกายส่วนบนใหญ่ (hypertrophy) แต่ท่อนล่างเล็ก เรียกว่า pop-eye appearance
Turner’ s syndrome คือ ตัวเตี้ย เต้านม 2 ข้างห่างกัน
ชีพจรส่วนบนของร่างกายแรง แต่ชีพจรส่วนล่างของร่างกาย เช่น femoral เบา และขาอาจจะเย็นกว่าแขน
การไหลเวียนสู่ส่วนล่างไม่ดีทำให้มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน เป็นลม
ความดันโลหิตมักจะสูง
ถ้าเด็กออกกำลังกาย อาจมีอาการปวดขาหรืออ่อนแรง เกิดตะคริวเนื่องจากเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
5.ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
หัวใจห้องล่างซ้ายโต aorta ส่วนหน้าของบริเวณตีบแคบจะขยายใหญ่ขึ้น
3.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
หัวใจห้องล่างซ้ายโตในเด็กโต ส่วนเด็กเล็กจะพบ ventricle ขวาโต
4.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
พบ hypoplasia ของ aortic isthmus อาจมี post stenosis dilation
พยาธิสภาพ
aorta ส่วนที่เป็น coarctation แคบลง ทำให้หัวใจห้อง ventricle ซ้ายทำงานหนักมาก และaortic blood flow ลดลง เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง และทำให้การทำงานของ ventricle ซ้ายเสียไป เป็นผลให้ความดันเลือดใน atrium ซ้ายสูงขึ้น มี left to right shunt ทำให้เกิดอาการหัวใจวาย
การรักษา
1.รักษาทางยา digitalis ในรายที่มีภาวะหัวใจวาย
2.Transluminal angioplasty with Balloon dilation หลัง dilate อาจเกิด aneurysm ได้
3.ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง แนะนำให้ทำผ่าตัดเมื่ออายุ 4-5 ปี โดยทำการตัดหลอดเลือดส่วนที่ตีบออกและต่อส่วนปลายทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน (end to end anastomosis) หรือการตัดหลอดเลือดส่วนที่ตีบออก
หลังผ่าตัดอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย คือ ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดทะลุ หัวใจวาย หัวใจอักเสบ
มีอาการระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน
สาเหตุ
เกิดจาการตีบแคบหรืออุดตันของส่วนใดส่วนหนึ่งของหลอดเลือด aorta ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบที่ aortic arch
การพยาบาล
1.ประเมิน v/s ทุก 4 ชั่วโมงและ สังเกตอาการที่ผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบมากขึ้น มีอาการเขียวมากขึ้น
ดูแลให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนและแคลอรี่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต ที่ สำคัญคืออาหารที่ให้รับประทานต้องเป็นอาหารที่ลดเกลือหรือลดเค็ม
เปิดโอกาส ให้ครอบครัวได้ระบายความรู้สึก ซักถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลเด็ก จากนั้นจึงให้คำแนะนำหรือให้ ข้อมูลต่างๆอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกัปัญหา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ
ดูแลและการกระตุ้นให้เด็กมีการพัฒนาการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ออกแรงมาก เช่น การร้องไห้ การเบ่งถ่ายอุจจาระ
ความหมาย
การตีบแคบหรืออุดตันของส่วนใดส่วนหนึ่งของหลอดเลือด aorta