Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

(Nasopharyngeal carcinoma Stage IV) with Hypovolemic shock with Chronic…

- - - - WHO type II: Non-Keratinizing Squamous Cell Carcinoma (NK-SCCA) :star:
        
        WHO type IIA: NK-SCCA, differentiated
        
        WHO type IIA: NK-SCCA, differentiated
      - WHO type III: Basaloid Squamous Cell Carcinoma
      - WHO type I: Keratinizing Squamous Cell Carcinoma
  - - - Epstein-Barr Virus (EBV)
        
        การติดเชื้อ EBV เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง Hodgkin’s โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง Burkitt’s และโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก
        
        การติดเชื้อ EBV มีความเกี่ยวเนื่องอย่างมากกับการเกิดโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ดังจะเห็นได้จากการที่ตรวจพบ EBV DNA หรือ RNA อยู่ในเซลล์มะเร็งและprecursor lesion และพบปริมาณ antibodies against EBV ในผู้ป่วย NPC สูงขึ้นด้วย
        
        แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีการติดเชื้อ EBV ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกทุกราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยของ host และ virus ดังได้กล่าวมาแล้ว
- - - - เหตุผล ผู้ป่วยมีไข้38.6 O และมีผลทางห้องปฏิบัติการที่แสดงว่าร่างกายกำลังเกิดการติดเชื้อคือ
        – WBC =12.37 cell/mm3 สูงกว่าปกติ
        -Neutrophil=91.2% สูงกว่าปกติ
        -Lymphocyte=5.9% ต่ำกว่าปกติ
      - ผลข้างเคียง
        
        -ผิวซีดหรือเป็นสีเหลือง
        
        -เป็นไข้
        
        -อุจจาระสีคล้ำ
        
        -สับสนหรืออ่อนแรง
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะมาก ปวดร้าวมาบริเวณใบหน้าและกระบอกตาขวา Pain score 9 คะแนน
      - ผลข้างเคียง
        
        ระบบหัวใจและหลอดเลือด: อาการหายใจลำบาก หยุดหายใจ หัวใจเต้นช้าระบบหายใจ
        
        ระบบทางเดินอาหาร:ไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องผูก
        
        ระบบประสาท: ง่วงซึม กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน ท่าเดินผิดปกติ ภาวะเสียความจำ
        
        ระบบทางเดินปัสสาวะ:ภาวะติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ,ถ่ายปัสสาวะลำบาก
        
        ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: กล้ามเนื้อหดเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นน้ำ 5 ครั้ง อ่อนเพลีย
      - ผลข้างเคียง
        
        เหนื่อยล้า
        
        กระสับกระส่าย
        
        ง่วงนอน
    - - เหตุผล ผู้ป่วยขาดสมดุลเกลือแร่ มีคลื่นไส้อาเจียนเป็นน้ำ 5 ครั้งอ่อนเพลียมากมีผลทางห้องปฏิบัติการที่บ่งบอกว่ามีการสูญเสียน้ำในร่างกายคือ
        -Chloride = 87.3mmol/l ต่ำกว่าปกติ- CO2 = 33 mmol/l สูงกว่าปกติ
      - ผลข้างเคียง
        
        -ถ้ามีฟองอากาศ เพราะไล่อากาศจากสายน้ำเกลือไม่หมด ฟองอากาศจะเข้าไปในหลอดเลือดดำ และเข้าสู่หัวใจ
        
        -ถ้าให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้บวม มีน้ำคั่งในปอด หรือหัวใจวายถึงตายได้
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องได้รับประทานยาควบคุมความดันโลหิตอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
      - ผลข้างเคียง
        
        ปวดศีรษะ
        
        ท้องเสีย
        
        บวมตามมือ เท้า ขาส่วนล่าง ข้อเท้า
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีผลทางห้องปฏิบัติการที่แสดงว่าร่างกายมีภาวะซีด โลหิตจาง
      - ผลข้างเคียง
        
        รู้สึกไม่สบายในช่องทางเดินอาหาร
        
        หาย ใจไม่ออก/หายใจลำบาก
        
        ท้องผูก
    - - เหตุผล เนื่องจากผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ทำให้เกิดอาการถ่ายยาก ท้องผูก
      - ผลข้างเคียง
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรงและหัวใจเต้นผิดปกติ
        
        มีอาการปวดท้องหรือถ่ายท้องรุนแรงจนเกิดภาวะขาดน้ำเกลือแร่ได้
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นน้ำ 5 ครั้ง อ่อนเพลียจึงใช้ยานี้เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
      - ผลข้างเคียง
        
        มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
        
        มีอาการชัก
        
        อาการบวมที่มือ เท้า ข้อเท้า ลำคอ ริมฝีปากา
    - - เหตุผล ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเป็นน้ำมากถึง 5 ครั้ง รับประทานได้น้อยจึงให้ยาเคลือบกระเพาะอาหาร
      - ผลข้างเคียง
        
        ปวดศีรษะ
        
        คลื่นไส้
        
        ปากแห้ง
        
        ทรงตัวลำบาก
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียนเป็นน้ำ 5 ครั้ง ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการปวดศีรษะ และอ่อนเพลียมาก
        
        OD:-ชีพจร 110 ครั้ง/นาที
        -ความดันโลหิต 80/50 มิลลิเมตรปรอท
        -ผลการตรวจ Electrolyte Na =130 mmol/L, K= 2.5 mmol/L, Cl= 87.3 mmol/L, CO2 33 mmol/L
      - วัตถุประสงค์การพยาบาล
        
        ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะ hypovolemic shock
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนี้ ความดันโลหิตค่า 100/60-130-90 mmHg
        อัตราการเต้นของชีพจรแรงสม่ำเสมอ70-100ครั้งนาที อัตราการหายใจสม่ำเสมอ20-24 ครั้ง/นาที
        
        Conjunctiva ไม่ซีด ผิวหนังไม่เย็นซีด
        
        ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่พบอาการแสดงของภาวะช็อก ดังนี้ ไม่มีอาเจียน อาการกระสับกระส่าย ไม่มีอาการใจสั่นหรือเหงื่อออก ไม่มีตัวเย็น ไม่เวียนศีรษะหรือหน้ามืด
        
        Hematocrit ปกติ คือ 37-51%
        
        5.ปัสสาวะมีจำนวนมากกว่า 30 ซีซี. ต่อ 1ชั่วโมง (0.5 m/kg/hr)
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        ประเมินระดับความรู้สึกตัว (Glasgow Coma Scale) รูม่านตาและดูสีของผิวหนังและเยื่อบุตา เพื่อประเมินอาการผิดปกติ
        
        3.. ดูแลให้ออกซิเจน canular 5 ลิตร/นาที เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนไหลเวียนในร่างกาย
        
        1.วัดและบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 15 –30 นาทีจนกว่าจะคงที่ พร้อมทั้งวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอด เลือดแดง เพื่อประเมินความสามารถในการนําออกซิเจนในเลือด ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะช็อก เช่น ระดับความรู้สึกตัวผิดปกติ กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว หายใจหอบลึก ความดันโลหิตต่ำลง ปลายมือปลายเท้าเย็น
        
        ดูแลผู้ป่วยได้รับ IV fluid คือ 0.9% Normal saline ทางหลอดเลือดดำ 500 มิลลิลิตร แล้วหยดต่อในอัตรา 100 มิลลิลิตร/ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มปริมาณสารน้ำในระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อป้องกันการเกิดภาวะช็อก
        
        5.ดูแลให้ผู้ป่วยนอนในท่าศีรษะอยู่ระดับเดียวกับทรวงอก ปลายเท้าสูงเล็กน้อย 20 - 30องศา เพื่อให้โลหิตไหลเวียนเข้าสู่หัวใจ และอวัยวะสำคัญได้ดีขึ้น เช่น สมอง
        
        6.สังเกตและบันทึก ลักษณะ สีและจำนวน content ของอาเจียน บันทึกปริมาณสารน้ำเข้าออกจากร่างกายทุก 8
        ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะสมดุลของสารน้ำ
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        2.สีหน้าท่าทางดีขึ้น ไม่มีหน้านิ่ว คิ้วขมวด
        
        3.ไม่บ่นปวด คะแนน Pain Score ลดลงเหลือ 0-1 คะแนน
        
        V/S ปกติ
        
        4.สามารถนอนหลับพักได้
      - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยสุขสบาย บรรเทาอาการปวดลดลง
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อดูอาการเปลี่ยนแปลง
        
        2.ขออนุญาตผู้ป่วย/ให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาลและให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล
        
        3.ประเมินอาการและสอบถามลักษณะอาการปวด เวลาและสิ่งกระตุ้นทำให้ปวดเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย โดยประเมินความรุนแรงจากอาการแสดง ได้แก่ สีหน้า ท่าทางและการสอบถามระดับความปวด โดยใช้ pain scale เพื่อวางแผนในการให้การพยาบาลที่เหมาะสมตามระดับความปวด
        
        4.ให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ Morphine injection 3 มิลลิกรัม ฉีดทางหลอดเลือดดำทุก 4 ชั่วโมง, MST 30 มิลลิกรัม รับประทานทุก 12 ชั่วโมง และMorphine syrup ให้รับประทาน 1 ช้อนชา ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อระงับอาการปวดระดับรุนแรงจากโรคมะเร็งหลังโพรงจมูกของผู้ป่วย และสังเกตอาการข้างเคียงของยาที่ผู้ป่วยได้รับเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม ท้องผูก
        
        5.จัดกิจกรรมการพยาบาลให้อยู่ช่วงเวลาเดียวกัน/ไม่รบกวนผู้ป่วยขณะพักผ่อน / นอนหลับ
        
        6.จัดท่านอนศีรษะสูง/ท่านอนให้อยู่ในท่าที่สุขสบาย
        
        7.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเลือกทางเลือกเพื่อระงับอาการปวดด้วยตนเองเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมและลดอาการวิตกกังวลจากอาการปวด
        
        8.เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วย เช่น การชวนพูดคุย ชวนทำกิจกรรมที่ผู้ป่วยสนใจ ให้การพยาบาลฝึกการหายใจเป็นจังหวะ หรือดนตรีบำบัดโดยให้ผู้ป่วยฟังเพลงผ่อนคลาย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยและบรรเทาความปวดแก่ผู้ป่วย
        
        9.แนะนำญาติและให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการบรรเทาอาการปวดอย่างเหมาะสม เพื่อให้ญาติและผู้ป่วยมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการบรรเทาอาการปวดอย่างถูกต้อง
        
        10.จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับผู้ป่วย เช่น การทำความสะอาดเตียงให้สะอาด เปิดม่านให้มีอากาศถ่ายเท เปิดไฟให้มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจสะดวกและเกิดความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย
        
        11.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยการไม่รบกวนผู้ป่วยขณะผู้ป่วยนอนหลับ และให้การพยาบาลอย่างนุ่มนวล เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอและเกิดความสุขสบาย
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: -ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการปวดศีรษะมาก ปวดร้าวมาใบหน้าและกระบอกตาขวา
        
        OD: -Pain score 9 คะแนน
    - - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อให้อิเล็กโตรไลต์ในร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียนเป็นน้ำ 5 ครั้ง ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการปวดศีรษะ และอ่อนเพลียมาก
        
        OD:
        
        -ความดันโลหิต 80/50 มิลลิเมตรปรอท
        
        -Glasgow Coma Scale =E3M4V4
        
        -ผลการตรวจ Electrolyte
        
        Na =130 mmol/L,
        
        K= 2.5 mmol/L,
        
        Cl= 87.3 mmol/L,
        
        CO2 =33 mmol/L
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1 Record I/O ทุก 8ชม.
        
        2 ขออนุญาตผู้ป่วย/ให้เหตุผลก่อนให้การพยาบาล
        
        3 ดูแลให้ได้รับยาและสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
        
        4 แนะนำการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยรับประทานทีละน้อยแต่บ่อยครั้งจัดอาหารอ่อนและเครื่องดื่มสุขภาพ ที่ผู้ป่วยต้องการ หลีกเลี่ยงของหมักดองอาหารทุกชนิด
        
        5 ประเมินการรับประทานอาหารและบ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
        
        6 ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Electrolyte imbalance เช่น มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง สับสน เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
        
        7.แนะนำผู้ป่วยดื่มน้ำวันล่ะ2-3ลิตร/วัน
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องLab
        
        9.รายงานแพทย์แพทย์ทราบกรณีเกลือแร่ผิดปกติ เพื่อช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        4.รู้สึกตัวดี ไม่มีอาการสับสน
        
        3.ไม่มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
        
        2.ไม่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        1.อิเล็กโตรไลต์ในร่างกายปกติ ดังนี้
        Serum Na 136-145 mEq/l
        K 3-55 mEq/l
        Cl 98 -107 mEq/l
        HCO3 22 – 29 mEq/l
        Ca 8.6-10.8 mg/dl
        Mg 1.6-2.6 mEq/l
        PO4 2.5-4.5 mg/dl
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        3.ไม่มีอาการและอาการแสดงของการอักเสบหรือการติดเชื้อ คือ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณใบหน้าหรือโพรงจมูก
        
        ผล WBC เท่ากับ 4,000-11,000 cu/mm
        
        สัญญาณชีพปกติได้แก่
        1.1อุณหภูมิร่างกายไม่เกิน 37.5 o C
        1.2ชีพจรเต้นสม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาทีและไม่สูงเกินกว่า 100 ครั้งต่อนาที
        1.3อัตราการหายใจ 20 ครั้งต่อนาทีและไม่มากกว่า 30 ครั้งต่อนาที
        1.4ความดันโลหิตซิสโตลิคไม่ต่ำกว่า 90 mmHg และไม่สูงกว่า 140 mmHg
        1.5ความดันโลหิตไดแอสตอลิคไม่ต่ำกว่า 60 mmHg และไม่สูงกว่า 90 mmHg
        
        4.ไม่มีน้ำปนเลือดซึมออกจากจมูก
      - วัตถุประสงค์
        
        ผู้ป่วยไม่มีการติดเชื้อในร่างกาย
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        3.ล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังให้การพยาบาล ก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย และหลังสัมผัสสิ่งขับหลั่ง รวมทั้งการให้การพยาบาลโดยใช้หลักAseptic technique
        
        4.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ลดสิ่งรบกวนการนอนต่างๆ เช่น แสงไฟ เสียง เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมากขึ้นและสามารถกำจัดเชื้อโรคออกไป
        
        2.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะโปรตีนจากไข่ขาว เพื่อส่งเสริมภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ป่วย
        
        5.ดูแลทำความสะอาดร่างกายของผู้ป่วยโดยการเปลี่ยนเสื้อผ้า และดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ให้ร่างกายผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีมากขึ้นและสามารถกำจัดเชื้อโรคออกไปทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมรอบๆเตียงให้สะอาด เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
        
        วัดสัญญาณชีพทุกๆ 4ชั่วโมง เพื่อติดตามอาการของภาวะติดเชื้อในร่างกาย
        
        ุ6.ดูแลผู้ป่วยไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นหวัดหรือผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ และแนะนำการป้องกันการติดเชื้อให้แก่ผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อ
        
        7.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา ceftriaxone ตามแผนการรักษาของแพทย์เพื่อกำจัดเชื้อโรคในร่างกาย
        
        8.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อของผู้ป่วย และติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังให้การพยาบาลเพื่อติดตามอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของภาวะการติดเชื้อและให้การพยาบาลอย่างเหมาะสม
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: -3วันก่อนมาโรงพยาบาลผู้ป่วยบอกว่ามีอาการปวด บวมแดงที่ใบหน้าด้านขวา มีน้ำปนเลือดซึมออกจากจมูกมีกลิ่น
        -อาการแสดงแรกรับ ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการปวดศีรษะมาก ปวดร้าวมาใบหน้าและกระบอกตาขวา
        
        OD: - ชีพจรแรกรับ 110 ครั้ง/นาที ,
        Pain score 9 คะแนน
        -แรกรับที่หอผู้ป่วยในชาย Pain score 5
        T= 38.6 C
        
        WBC = 12.37 x10^3ul
        -Neutrophil=91.2%
        -Lymphocyte=5.9%
    - - วัตถุประสงค์
        
        เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากที่จะมีความหวัง และสามารถเผชิญและใช้ชีวิตกับโรคร้ายได้อย่างปกติสุข
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        1.ผู้ป่วยเริ่มมีสัมพันธภาพกับคนรอบข้างมากขึ้น พูดมากขึ้น
        
        2.ผู้ป่วยเริ่มที่อยากจะดำเนินชีวิตและทำอะไรๆเหมือนก่อนการเจ็บป่วยมากขึ้น
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยเก็บตัวเงียบพูดน้อยลง
        -ผู้ป่วยปฏิเสธการรักษาและไม่อยากทำอะไร
        
        OD:ผู้ป่วยพูดว่า “อีกไม่นานก็ตาย”
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        3.ขณะให้การพยาบาลหรือสนทนาพยาบาลแสดงความเห็นใจ เข้าใจและจริงใจโดยการฟังผู้ป่วยและญาติใช้ความเงียบเพื่อให้เวลาผู้ป่วยและญาติมีเวลาคิด ทบทวนของตนเอง พยาบาลอาจใช้การสัมผัสโดยการจับที่มือหรือแขนผู้ป่วย เพื่อถ่ายทอดพลังความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือเสริมสร้างพลังอำนาจให้กำลังใจผู้ป่วยสู้กับโรคต่อไป
        
        1.ให้การดูแลแบบประคับประคองด้านจิตใจของผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับอาการของโรค ให้เวลากับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ
        
        4.ให้การดูแลโดยการคำนึงถึงความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เป็นที่พึ่งและที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่สงบและเข้าใจธรรมชาติชีวิตมนุษย์มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา
        
        5.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่นทั้งคนในครอบครัว เพื่อนหรือเด็ก บุคคลทั่วไป โดยการให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสพูดคุยได้ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วยมากขึ้น
        
        2.พยาบาลใช้ทักษะการสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติทราบความหวังดีปราถนาดีและห่วงใยเพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับความจริงของโรคที่เป็นมากขึ้น
    - - เกณฑ์การประเมิน
        
        สัญญาณชีพปกติ
        
        ระดับความรู้สึกตัวปกติ ไม่มีอาการกระสับกระส่ายสับสน ชัก และหมดสติ
        
        ไม่พบอาการเขียว
        
        4.ค่า Hb อยู่ในระดับปกติ (ค่าปกติ 12-16 g/dl)
        
        ค่า Hct อยู่ในระดับปกติ (ค่าปกติ 37-47%)
        
        ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดงมากกว่า 95-100%
        
        คลื่นไฟฟ้าหัวใจปกติ
      - วัตถุประสงค์
        
        ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        4.ประเมินอาการแสดงของภาวะซีดจาก คือ ดูสีของผิวหนัง ซีดเหลือง ตัวเย็น เยื่อบุตาซีด เพื่อประเมินอาการผิดปกติ
        
        3.ดูแลให้ยา Ferrous fumarate (ธาตุเหล็ก Iron) 1 tab bid pc. ตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        5.จัดท่านอนศีรษะสูง เพื่อทำให้กระบังลมเคลื่อนต่ำลงปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
        
        2.ประเมินลักษณะการหายใจปกติ ไม่มีอาการหายใจเร็ว แรง หรือปีกจมูกบาน เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของภาวะพร่องออกซิเจน
        
        บันทึกและประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนให้อยู่ในระดับเกณฑ์ปกติ 95-100%
        
        6.ดูแลให้เลือด PRC (Packed red blood cells) ตามแผนการรักษา ของแพทย์ เพื่อเพิ่มระดับ Hct. ในเลือด
        
        7.ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉพาะ ค่า Hb และ Hct.เพราะเป็นค่าที่แสดงถึงความเข้มข้นของเลือดในร่างกาย
        
        8.ประเมินระบบไหลเวียนของเส้นโลหิตฝอย ที่บริเวณปลายมือปลายเท้า โดยใช้นิ้วกดบริเวณปลายนิ้วมือ/นิ้วเท่าแล้วปล่อยทันที ถ้าระบบไหลเวียนไม่ดี บริเวณปลายนิ้วมือ/นิ้วเท้าที่ถูกกดจะยังคงซีดขาวอยู่เป็นเวลานานกว่า2 วินาที (capillary refill > 2 วินาที)
        
        9.ดูแลให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมและฟักผ่อนบนเตียง เพราะจะช่วยลดอาการเหนื่อย และลดการใช้ออกซิเจนในการท่ากิจกรรม
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        OD: อาการแสดงแรกรับผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
        -ค่าความอิ่มตัวออกซิเจน 90%
        -ชีพจร 110 ครั้ง/นาที
        
        Hb 10.9 gm%
        
        Hct 32.9%
    - - วัตถุประสงค์
        
        ลดความวิตกกังวลแก่ผู้ป่วยและญาติ ให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านและดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข
      - เกณฑ์การประเมิน
        
        1.ญาติมีสีหน้าสดชื่นขึ้น บอกว่าคลายความวิตกกังวลลงมาก สามารถวางแผนการดำเนินชีวิตในอนาคตได้
        
        2.ยอมรับฟังและให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลและมาเยี่ยมผู้ป่วยสม่ำเสมอ
      - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยมีความคิดเห็นว่าโรคมะเร็งอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย เป็นภาระครอบครัว ปฏิเสธการฉายแสง และเคมีบำบัด
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        1.การให้คำปรึกษารายบุคคลแก่ญาติผู้ดูแลพร้อมเสริมสร้างอำนาจ โดยเปิดโอกาสได้ระบายความรู้สึกต่อตนเอง ที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เลือกวางแผนแก้ไขปัญหา โดยได้ชี้ให้เห็นข้อดี และข้อด้อยของแต่ละวิธีการจัดการด้านบทบาทหน้าที่
        
        2.ให้ความรู้แก่ญาติผู้ดูแล ซึ่งการให้ความรู้และทักษะในการดูแลตนเองแก่ ญาติผู้ดูแล ตลอดจนวิธีการผ่อนคลายความตึงเครียด เช่นการฟังเพลง การทำสมาธิ การนวด การสวดมนต์
        
        3.ให้ความรู้และฝึกทักษะในการดูแลและแก้ไขปัญหาอาการรบกวนผู้ป่วย ระยะสุดท้ายที่พบได้บ่อย ได้แก่ อาการปวด อาหารหายใจลำบาก อาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาการท้องผูก หรืออาการทางจิตใจ อาการท้อแท้ วิตกกังวล เป็นต้น
        
        4.ให้กำลังใจและชื่นชมญาติผู้ดูแลในการตัดสินใจการเปลี่ยนแปลงและการ ปรับตัวตามบทบาทต่างๆที่เกิดขึ้น
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        OD : ผู้ป่วยบอกเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกระสุดท้าย หมดหวังในการรักษาให้หายเป็นปกติ
        -ผู้ป่วยมีสีหน้าเครียดคิ้วขมวดชนกัน
        -ไม่ยิ้มแย้มถามคำตอบคำ
        -ใช้แบบประเมินความเครียด ST-5=ได้ 9คะแนน(แปรผล8-9คะแนนเครียดมาก)
      - วัตถุประสงค์:
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยลดภาวะเครียดให้น้อยลง
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        แนะนำวิธีการพักผ่อนคลายความเครียดโดยวิธีอย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยเช่น การฟังเทปธรรมะหรือการฟังวิทยุที่สอบ และการนั่งสมาธิ
        
        จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบเงียบเพื่อลดสิ่งกระตุ้นที่จะไปเพิ่มความวิตกกังวล
        
        สร้างสัมพันธภาพด้วยท่าทางอ่อนโยน นุ่มนวล ให้ผู้ป่วยเชื่อมั่นไว้วางใจและยอมรับพยาบาลว่าเป็นที่ปรึกษาแก่เขาได้
        
        5.ให้คำแนะนำญาติเกี่ยวกับการดำเนินของโรคการดูและเอาใจใส่ หมั่นมาเยี่ยมผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกอบอุ่นและไม่ถูกทอดทิ้ง
        
        6.อธิบายให้ผู้ป่วยญาติเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถปฏิบัติตามแนวทางการรักษาได้ถูกต้อง
        
        7.แนะทำให้ญาติดูแลสุขอนามัยและความสุขสบายให้ผู้ป่วยมากที่สุด
        
        ส่งเสริมให้ผู้ป่วยพูดหรือบรรยายความรู้สึกของเขา พยาบาลรับฟังผู้ป่วยอย่างตั้งใจ
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        1.สีหน้าท่าทางดีขึ้น ไม่มีหน้านิ่ว คิ้วขมวด
        
        2.สามารถนอนหลับพักได้
        
        3ประเมินความเครียดST-5=ได้น้อยกว่า5คะแนนแปรผลให้อยู่1-4คะแนน=ความเครียดน้อย
    - - ข้อมูลสนับสนุน:
        
        SD: ผู้ป่วยมีความคิดเห็นว่าโรคมะเร็งอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย เป็นภาระครอบครัว
        
        OD: ผู้ป่วยโรคมะเร็งโพรงจมูกระยะที่4
      - วัตถุประสงค์:
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิตได้สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
      - กิจกรรมการพยาบาล:
        
        ด้านจิตใจ:
        
        1.เข้าใจและยอมรับพฤติกรรมของผู้ป่วยและญาติ
        
        2.สนับสนุนและแนะนำให้ญาติทำกิจกรรมร่วมกับผู้ป่วยอยู่เสมอ เพื่อสร้างกำลังใจให้กับผู้ป่วย
        
        3.สร้างสัมพันธภาพที่ดีและความเชื่อมั่นในการรักษาของแพทย์และการพยาบาลต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยไว้ใจและเชื่อมั่นในศักยภาพทางการพยาบาล เพื่อสร้างกำลังใจและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ป่วยและญาติ
        
        4.แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติปรับตัวและยอมรับกับความเจ็บป่วยในครั้งนี้ และผลที่จะตามมาในอนาคต
        
        5.ดูแลประดับประคองตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        ด้านร่างกาย:
        
        3.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอตามแผนการรักษาของแพทย์
        
        4.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการปรึกษาของแพทย์
        
        2.แจ้งการพยาบาลให้ผู้ป่วยทราบทุกครั้งและทำกิจกรรมทางการพยาบาลด้วยความเมตตานุ่มนวล
        
        5.ประเมินระดับผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง Palliative Performance Scale หรือ PPS เพื่อประเมินระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือดูแลตนเองของผู้ป่วย
        
        1.ดูแล personal hygiene และ unit care ให้สะอาดอยู่เสมอ จัดสภาพแวดล้อมให้สะอาด สงบ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิด
        ความสุขสบายมากที่สุด
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        1.ผู้ป่วยบอกว่าสุขสบาย ไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลใดๆ
        2.ผู้ป่วยยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยด้วยความเป็นมิตร
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยบอกว่าไม่ค่อยได้กลิ่น
        
        OD: ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ระยะที่4
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        ผู้ป่วยได้กลิ่นมากขึ้น
        
        ผู้ป่วยมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น
        
        ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามปกติ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
      - วัตถุประสงค์:
        
        : เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาได้รับกลิ่นได้ดีขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในการได้กลิ่นหอม หรือกลิ่นอาหารซึ่งกระตุ้นความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น
      - กิจกรรมการพยาบาล
        
        2.ให้คำแนะนําแก่ผู้ป่วย ญาติและผู้ดูแลในการเลือกรับประทานอาหารที่ส่งเสริมภาวะโภชนาการ
        
        3.สร้างอุปนิสัยการรับประทานอาหารของผู้ป่วย ญาติและผู้ดูแลที่ถูกต้องในการเลือกรับประทานอาหารและไม่ขัดต่อวัฒนธรรมของครอบครัว
        
        1.ประเมินสมรรถภาพการรับกลิ่น ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 วิธี คือการวัดระดับความสามารถในการดมกลิ่น (Measurement of odorant detection)และ การวัดความสามารถในการแยกแยะและบอกว่าเป็นกลิ่นใด (Measurement of odor identification)
        
        4.ทบทวนประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยโดยการซักถามและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วย/ ครอบครัวเสนอข้อคิดเห็นหรือสอบถามเพิ่มเติม
    - - วัตถุประสงค์:
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้รับการดูแลแบบองค์รวม
        -เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจและพร้อมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
        
        เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการรักษา
      - ข้อมูลสนับสนุน:
        
        SD: -ผู้ป่วยรับรู้ว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งโพรงจมูก-ผู้ป่วยปฏิเสธการฉายแสงและเคมีบำบัด-ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง ไม่ได้ขนาดและปริมาณยาตามแผนการรักษา
        
        OD: -ผู้ป่วยปฏิเสธการฉายแสงและเคมีบำบัด-ป่วยรับประทานยาไม่ต่อเนื่อง ไม่ได้ขนาดและปริมาณยาตามแผนการรักษา
      - กิจกรรมการพยาบาล:
        
        4.ประเมินความรู้และความสนใจของผู้ป่วยต่อการดูแลสุขภาพของตนเอง
        
        5.สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง โดยที่บอกถึงประโยชน์ของรักษา
        
        ประเมินความพร้อมในการเผชิญ กับสภาวะโรคและความตายที่จะมาถึง
        
        6..ย้ำถึงอันตรายหรือผลเสียของการไม่รักษาหรือการไม่เคยไปตรวจสุขภาพ
        
        ประเมินความสามารถในการดูแล ด้านกาย จิตสังคม และจิตวิญญาณ
        
        7.ประเมินความสามารถในการดูแล ตนเองและความพร้อมในการดูแล ต่อเนื่องที่บ้าน
        
        1.ประเมินความสามารถในการดูแล ผู้ป่วยแบบประคับประคอง
        
        8.พยาบาลจิตเวชประเมินภาวะ ซึมเศร้า (ถ้ามี) - ประเมินความเสี่ยงและ ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจ เกิดขึ้น
    - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        SD: ผู้ป่วยบอกนอนไม่หลับ มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดร้าวมาใบหน้าและกระบอกตาขวา
        
        OD: ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอน ดูท่าทางอ่อนเพลียมาก หาวบ่อย
      - วัตถุประสงค์:
        
        ผู้ป่วยสามารถพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ
      - เกณฑ์การประเมิน:
        
        1.ผู้ป่วยบ่นปวดแผลน้อยลง สุขสบายขึ้น Pain score 0-1คะแนน 2.ผู้ป่วยนอนหลับได้ในเวลากลางคืนอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง 3. ผู้ป่วยไม่มีอาการง่วง หาวนอน มีสีหน้าสดชื่น
      - กิจกรรมการพยาบาล:
        
        4.แนะนำและกระตุ้นผู้ป่วยมีกิจกรรมในเวลากลางวัน เช่น การสนทนา การร่วมกิจกรรมภายใน ครอบครัว
        
        2.อธิบายเกี่ยวกับโรคให้ผู้ป่วยทราบตามความเหมาะสมและให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้เข้าใจเพื่อลดความวิตกกังวลและหวาดกลัวต่อโรคที่เป็นอยู่
        
        1.วางแผนกิจกรรมพยาบาลให้เหมาะสมเพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้ป่วยบ่อยเกินไปหรือโดยไม่จำเป็นในเวลากลางคืน
        
        ดูแลผู้ป่วยให้มีการออกกำลังกายอย่างเพียงพอแต่เพื่อหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอน 3 ชั่วโมง เพราะการออกกำลังกายจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติอาจมีผลทำให้หลับยาก
        
        ดูแลนวดตามร่างกายหรือดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น นม เนื่องจากนมมีสารแอลทริบโตแฟน (L –tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่เป็นยานอนหลับทางธรรมชาติที่พบได้ในอาหารและสารที่เพิ่ม ซีโรโทนีนซึ่งมีความจำเป็นต่อวงจรการนอนหลับ
        
        แนะนำผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวด้านจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ ทำกิจกรรมผ่อนคลาย สวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นต้น
        
        ดูแลจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ขับถ่ายปัสสาวะหรือจัดที่นอนให้อยู่ใกล้ห้องน้ำ
        
        ดูแลจัดสิ่งแวดล้อม เครื่องนอนสะอาด กำจัดสิ่งรบกวน เช่น แสง เสียง กลิ่น แมลง เป็นต้น
        
        3.ดูแลผู้ป่วยให้นอนและตื่นตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน
        
        หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารปริมาณมาก ๆ ก่อนนอน
- - - - (2) กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด และมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (serious illness )
      - (3)กลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้าย ( end of life )
      - (1) กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง