Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สุดเศร้าพ่อโพสต์ตำหนิทีมแพทย์ทำคลอดลูกเสียชีวิต
ญาติขึ้นโรงพักแจ้งความ
…
สุดเศร้าพ่อโพสต์ตำหนิทีมแพทย์ทำคลอดลูกเสียชีวิต
ญาติขึ้นโรงพักแจ้งความ
(https://www.naewna.com/likesara/547502)
การพยาลมารดา หลังคลอด
การดูแลด้านจิตใจ
-
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้อยู่ร่วมกับครอบครัว
- ให้กำลังใจและเป็นที่ปรึกษา
ให้คำแนะนำอย่างเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย
- ให้การพยาบาลที่เห็นถึงความเอาใจใส่ผู้ป่วย
- ประเมินภาวะจิตใจของมารดา / ครอบครัวหลังคลอด
การดูแลแผลเย็บ
- แช่น้ำอุ่นวันละหลายๆครั้ง หรือวันละ 3 ครั้งๆละ 10-20 นาที ซึ่งน้ำอุ่นช่วยให้โลหิตไหลเวียนดี ลดการอักเสบและส่งเสริมการหายของแผล และอาจจะผสมน้ำมันหอมระเหยลงในน้ำอุ่นด้วยเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย เช่น น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ หรือคาโมมาย
- นั่งแช่เย็นจะช่วยลดอาการบวมและความไม่สุขสบายของมารดาหลังคลอด ซึ่งจะทำภายหลังคลอด 2-3 วัน แช่นานครั้งละ 20 นาที วันละ 3-4 ครั้งหลังวันที่ 3 ไปแล้วจึงควรประคบด้วยความร้อนเพื่อให้เลือดไหลเวียนดี
- เปลี่ยนท่าในการออกกำลังกายจากท่านั่งเป็นท่านอน หรือจากท่านอนเป็นท่านั่งจะช่วยให้แผลฝีเย็บรับความรู้สึกได้ดีขึ้นและยืดหยุ่นให้มีการเคลื่อนไหว
- ออกกำลังกายโดยการขมิบก้นและช่องคลอด แบบ kegel exercises โดยขมิบก้นเกร็งไว้นับ 1-10 แล้วผ่อนคลาย นับต่ออีก 1-10 รวมระยะเวลาการขมิบและการผ่อนคลายเป็น 1 รอบ ปฏิบัติอย่างน้อยวันละ 30 รอบ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ทำให้การสมานแผลเร็วขึ้น
- ทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นหลังการอาบน้ำโดยการล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง หรือจากหัวหน่าวไปทวารหนัก และเช็ดให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง ขณะทำความสะอาดไม่ควรแยกแคม (labia)เพราะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ช่องคลอดได้ กรณีใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต้องระวังไม่ให้ผลิตภัณฑ์สัมผัสกับแผล
- ล้างฝีเย็บทุกครั้งที่ปัสสาวะหรืออุจจาระและเช็ดให้แห้งด้วยผ้าหรือกระดาษชำระสะอาด จากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด ในกรณีที่ใช้ส้วมชักโครก จะต้องชักโครกหลังจากเปลี่ยนผ้าอนามัยเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันน้ำกระเด็นเข้าสู่ช่องคลอด
- รักษาความสะอาดฝีเย็บและเช็ดให้แห้งอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ เพื่อลดการติดเชื้อ ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการเปลี่ยนผ้าอนามัยไม่สัมผัสผ้าอนามัยบริเวณที่จะสัมผัสกับแผลฝีเย็บ และควรใส่หรือถอดผ้าอนามัยจากด้านหน้าก่อน เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากทวารหนักสู่ช่องคลอด
- สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ และใส่กางเกงในที่เป็นผ้าฝ้ายหรือด้าย ไม่ควรใช้ผ้าที่เป็นใยสังเคราะห์เพื่อการระบายอาการและการดูดชับได้ดี หรือเปิดแผลฝีเย็บให้สัมผัสอากาศอย่าให้ขึ้นหรืออับ
- การใส่ชุดชั้นในที่กระชับ ช่วยยังยั้งการหลั่งน้ำนม เช่น ควรรัดเต้านมให้แน่นๆ ด้วยผ้ารัดหน้าอกหรือใส่ยกทรงคับ ๆ ไม่ควรดูดน้ำนมออก ใช้กระเป๋าน้ำแข็งประคบเพื่อลดอาการปวด หรือใช้ร่วมกับยายับยั้งการหลั่งน้ำนม ได้แก่ bromocriptine (ชื่อทางการค้า Parodel หรือ Cycloset ) ทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน โดยให้ 2.5 มก.วันละ 2 ครั้งพร้อมมื้ออาหาร นาน 3-5 วัน
- หลีกเลี่ยงการนั่งเป็นเวลานาน ๆในขณะที่แผลฝีเย็บยังปวดและเจ็บ ลดการกดลงบนฝีเย็บโดยไม่นั่งทับฝีเย็บนานเกิน 30 นาที เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีและลดอาการบวมและความไม่สุขสบาย หรืออาจจะนั่งบนห่วงยาง (rubber ring)
- ใช้ยาชาเฉพาะที่ (local anaesthetic) ที่เป็นสเปรย์หรือครีมซึ่งเป็นสารเคมีในการลดปวดในกรณีที่ปวดมาก แต่ไม่ควรใช้สารเคมีจำพวกสเตียรอยด์ ยาชาเฉพาะที่นี้จะทำให้การหายของแผลช้าลง
- หลีกเลี่ยงอาการท้องผูกหรือความไม่สุขสบายโดยการรับประทานอาหารจำพวกเส้นใย ดื่มน้ำมากๆเพื่อให้อุจจาระอ่อนเหลว
- ควรงดการร่วมเพศอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อให้แผลติดดีก่อน โดยทั่วไปแล้วควรแนะนำให้งดการร่วมเพศอย่างน้อย 6 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อลดการติดเชื้อในช่องคลอดด้วย
- ใช้ยาลดปวดและลดบวมตามความจำเป็นเช่น พาราเชตตามอน หรือวางกระเป๋าน้ำแข็งเพื่ออาการปวด ลดอาการบวมและลดความไม่สุขสบาย
-
-
-
สรุปเนื้อหาข่าว
วันที่ 20 มกราคม 2564 ภรรยาปวดท้อง มีมูกและเลือดออก เวลา 05.00 น . ได้นำส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอหมอรับไว้เฝ้าดูอาการซึ่งจะปวดท้องเป็นระยะๆและถี่ขึ้น เวลา 23.00น . พยาบาลรายงานว่าปากมดลูกเปิด 1 ซม .
วันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 04.00 น . ภรรยาเริ่มปวดท้องหนักขึ้น พยาบาลมาเช็คพบว่าปากมดลูกยังเปิด แค่ 1ซม . เวลา 06.00 น . พยาบาลมาเช็คอีกรอบ ปากมดลูก 2-3ซม .
ฝ่ายสามีเห็นว่าภรรยามีอาการปวดท้องนานกว่า 24 ชม . จึงขอให้ส่งตัวภรรยาไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อผ่าคลอด
เวลา 10.30 น . ปากมดลูกเปิด 4 ซม . เวลา 11.30 น . ถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด และทางโรงพยาบาลให้ภรรยานอนดูอาการ รอให้ปากมดลูกเปิด เวลา 17.00 น . ปากมดลูกเปิด 5 ซม . ซึ่งระยะเวลาปวดท้องถึง 37 ชม .
ภรรยาได้ร้องขอกับแพทย์ว่าขอผ่าคลอดเพราะไม่มีแรงเบ่งพอที่จะคลอดเองได้ เนื่องจากทางโรงพยาบาลอำเภอให้งดน้ำงดอาหาร และด้วยการที่ปวดท้องนานทำให้หมดแรง
เวลา 18.00 น .ปากมดลูกเปิด 8 ซม . ภรรยาร้องว่าปวดท้องหนักไม่ไหวแล้ว แพทย์จึงนำภรรยาเข้าห้องคลอดเพื่อทำคลอด ระหว่างที่จะทำคลอดภรรยาร้องขอให้ผ่าคลอดเพราะไม่มีแรงเบ่ง แต่แพทย์ให้คลอดเอง แต่การคลอดติดขัด ขณะคลอดภรรยาได้เบ่งแต่ไม่มีแรงพอเนื่องจากอ่อนเพลียจากการปวดท้องนานเกือบ 40 ชม .
แพทย์จึงใช้เครื่องดูดเพื่อดึงเด็กทารก แล้วพบว่าเด็กไม่หายใจ บุคลากรทางการแพทย์จึงปั๊มหัวใจ นานถึง 54 นาที และแพทย์ได้รายงานว่า เด็กหายใจได้ด้วยตัวเองแต่ต้องใช้เครื่องช่วยหัวใจและใช้ยากระตุ้น
ทางสามีจึงปรึกษากับกุมารแพทย์เพื่อช่วยเหลือลูก กุมารแพทย์จึงแนะนำให้เข้าตู้อบลดอุณหภูมิที่โรงพยาบาลจังหวัดลำปาง แต่เครื่องเสีย จึงติดต่อโรงพยาบาลเชียงรายราชประชานุเคราะห์และจัดทีมหมอ พยาบาล เพื่อส่งตัว ก่อนขึ้นรถกุมารแพทย์อธิบายความเสี่ยงต่างๆและให้ความเห็นว่าที่น้องหายใจได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ แต่ทางสามีด้วยความเป็นพ่อ เมื่อหมอ บอกว่ามีโอกาสย่อมมีหวัง จึงขอให้หมอช่วยจนสุดความสามารถถึงผลจะเป็นอย่างไร
- 1 more item...
สรุปปัญหา
1.วันที่ 20 มกราคม 2564 เวลาประมาณ 04.30 น . ภรรยาปวดท้องและมีมูกเลือดออกจึงนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ให้เฝ้าดูอาการ ระหว่างเฝ้าดูอาการปวดท้องแต่ปากมดลูกไม่เปิด
2.แพทย์ปล่อยให้มารดาเจ็บครรภ์เพราะรอเวลาปากมดลูกเปิด เป็นระยะเวลานานเกือบ 40 ชั่วโมง ซึ่งตาม คำวินิจฉัยของแพทย์เกินระยะเวลาระยะเวลาปกติ ซึ่งทำให้เสี่ยงเกิดอันตรายต่อครรภ์มารดาได้
-
-
5.เเพทย์ใช้อุปกรณ์ช่วยดึงตัว(เครื่องดูด)ทำการดึงเด็กทารกไป และเมื่อดึงเด็กออกมาแล้วพบว่า เด็กไม่หายใจ จึงทำการปั๊มหัวใจนานถึง 54 นาที และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และใช้ยากระตุ้น
ข้อเสนอแนะ
1.เนื่องจากมารดาปวดท้องเป็นเวลานาน ปากมดลูกไม่เปิดเท่าที่ควร และมารดาไม่มีเเรงเบ่ง แพทย์ควรเลือกการทำคลอดโดยการผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง เพราะการผ่าคลอดไม่ต้องรอให้ปากมดลูกเปิดเหมือนการคลอดธรรมชาติ และควรเคารพในการตัดสินใจของมารดาและญาติที่เลือกการผ่าคลอด
2.การดูแลช่วงรอคลอด พยาบาลต้องให้ความสำคัญและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หากพบว่าผู้คลอดหรือทารกในครรภ์มีความเสี่ยงไม่สามารถคลอดเองได้ควรรายงานแพทย์เพื่อช่วยพิจารณาการคลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ ควรดูแลสภาวะทางร่างกายและจิตใจผู้คลอด เมื่อเกิดภาวะวิกฤตในระยะคลอด ช่วยให้ทราบถึงปัญหา เพื่อให้ผู้คลอดผ่อนคลาย ป้องกันการคลอดที่ยาวนานหรือคลอดยากได้
3.การสื่อสารกับญาติ หากผู้คลอดมีอาการหรือแผนการรักษามีการเปลี่ยนแปลงควรเแจ้งญาติ เพื่อคลายความกังวล มีความเข้าใจและยอมรับต่อการรักษาของแพทย์
-
-
-
-
-
-
-