Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลจิตเวช ในการดูแลผู้ป่วย - Coggle…
การใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลจิตเวช ในการดูแลผู้ป่วย
ทฤษฏีการพยาบาลของเพบพลาว
เพบพลาวได้ให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธภาพ เป็น ๓ ระยะ
๒. ระยะระบุปัญหา (problem identification phase) เน้นการประเมินปัญหาและการรับรู้ความ คาดหวัง และประสบการณ์ในอดีต
๓. เป้าหมายที่กำหนด โดยพยาบาลต้องใช้ความชำนาญและแนวคิดต่าง ๆ เช่นเทคนิคการสื่อสาร และการใช้ตนเองเพื่อบำบัด
๑. ระยะเริ่มต้น (orientation phase) เป็นการเริ่มสร้างความไว้วางใจ ทำงานร่วมกันเน้นการประเมิน ปัญหา
๔. ระยะสรุปผล (resolution phase) เป็นระยะยุติสัมพันธภาพในการบำบัดเน้นการช่วยให้บุคคล สามารถดูแลตนเองได้โดยไม่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพยาบาล เกิดการพัฒนา ที่จะสามารถอยู่ในสังคมได้ ตามอัตภาพ
ทฤษฏีชีวภาพทางการแพทย์
สาเหตุของความผิดปกติทางจิต
1.พันธุกรรม (Genetic)
เป็นการเจ็บป่วยทางจิตเวชของบุคคลในครอบครัว โดยเฉพาะโรคจิตเภท โรคอารมณ์,โรคอารมณ์สองขั้ว และโรคซึมเศร้า
2) สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)
(GABA )ลดลง ทำให้Ptวิตกกังวล (Dopamine) เพิ่มขึ้น คลุ้มคลั้ง (Serotonin) ลดลง ทำให้ท้อแท้ ซึมเศร้า (Norepinephrine) มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง, น้อยเกินไปจะทำให้เกิด อาการซึมเศร้า
บำบัดรักษาและบทบาทของพยาบาล
การรับประทานยา การเตรียมการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้าETC และการใช้ฮอร์โมนบำบัด,การผ่าตัดสมอง
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ทฤษฎีที่ริเริ่มโดยซิกมันด์ ฟรอยด์ เชื่อว่า ความผิดปกติทางจิตส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เก็บกด หรือกระทบกระเทือนทางจิตใจในช่วงต้นของชีวิต แรงขับและสัญชาติญาณของมนุษย์จะถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่วัยเด็ก จากประสบการณ์ที่ได้รับก่อให้เกิด เป็นบุคลิกภาพที่เฉพาะของบุคคล
แนวคิดหลักของทฤษฎี
แนวคิดหลักมี 4 ประการ 1.ระดับของจิต 2.โครงสร้างของจิต 3.กลไกการป้องกันทางจิต และ4.พัฒนาการของ บุคลิกภาพ
1.ระดับของจิต แบ่งเป็น ๓ ระดับ
1.1. จิตสำนึก (Conscious) เป็นส่วนของจิตที่เจ้าตัวมีความตระหนักได้ รู้ได้และ รู้สึกตัว พฤติกรรมที่แสดงออกอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยสติปัญญา ความรู้ และการพิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่ง ที่ถูกต้องเหมาะสมและสังคมยอมรับ
1.2. จิตใต้สำนึก หรือจิตก่อนสำนึก เป็นระดับของจิตที่บุคคลไม่ได้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา แต่ต้องใช้เวลาคิดหรือไตร่ตรองระลึกถึงชั่วครู่และประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น การตอบคำถามในข้อสอบบางข้อจะตอบไม่ได้ทันที
1.3. จิตไร้สำนึก เป็นระดับของจิตที่อยู่ลึกที่สุด มักจะเป็นเรื่องที่เป็นความต้องการตามสัญชาตญาณซึ่งไม่อาจแสดงออกได้โดยเปิดเผย เช่นประสบการณ์ของความขัดแย้งในวัยเด็กซึ่งมนุษย์เก็บสะสมไว้ หรือประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ซึ่งฟรอยด์ กล่าวว่าบุคคลจะเก็บกดความรู้สึกทางลบนี้ไว้ในส่วนจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกในบางโอกาสที่ เจ้าตัวไม่ได้ควบคุมและไม่รู้สึกตัว เช่น พฤติกรรมที่แสดงออกเมื่อมีอาการเพ้อคลั่ง
โครงสร้างของจิต มี3 อย่าง Id, Ego และ Superego
ความหมาย
Superego เป็นส่วนของจิตที่เกี่ยวกับมโนธรรม ศีลธรรม คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในจิตใจของบุคคลที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ตั้งแต่วัยเด็ก
Ego หมายถึง ส่วนของจิตที่ทำหน้าที่ปรับตัวหรือประสานความต้องการของ Id พื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ตนปรารถนา
Ego จึงอยู่ในระดับจิตสำนึกบุคคล สามารถตระหนักได้ มีเหตุและผล
Id หมายถึง โครงสร้างของจิตที่ยังไม่ได้ รับการขัดเกลา การทำงานของ สัญชาติญาณดิบ ไม่มีเหตุผล และทำโดยไม่ถูกกาลเทศะ
3.กลไกการป้องกันทางจิต
๑. การปฏิเสธ คือการปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง อาจทำโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้
๒. การกดทับ การเก็บกด เป็นการปรับตัวที่พยายามลืมสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจำ ไม่ยอมรับรู้หรือปฏิเสธความคิด ความรู้สึก
๓. การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง เป็นการไม่ยอมรับตนเองโดยหาเหตุผลมา ลบล้างพฤติกรรมซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิ
๔. การโยนความผิดให้ผู้อื่นหรือการโทษผู้อื่น เป็นการโยนความผิดไปให้ผู้อื่น ใช้ความผิดของผู้อื่นมาลบล้างความผิดของตน เพื่อให้ตนพ้นผิด
๕. การกระทำตรงกันข้าม กลบเกลื่อน เป็นการแสดงพฤติกรรมที่ ตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงที่อยู่ภายในของจิตใจ ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่ยอมรับ
๖. การกดระงับ มีลักษณะคล้ายกับการกดทับ แต่การกดระงับเป็นขบวนการของจิตรู้สำนึกและเกิดขึ้นโดยตั้งใจ
๗. การย้ายที่/ แทนที่ การเปลี่ยนเป้าหมาย เป็นการย้าย โอนถ่ายหรือ เปลี่ยนที่ของอารมณ์
๘. การถดถอย เป็นการถอยกลับ
๙. การโทษตัวเอง เป็นการหันความคิด ความเกลียด ความก้าวร้าว ที่มีต่อบุคคลอื่นเข้าหาตนเอง
๑๐. การแยกตัว เป็นการแยกอารมณ์ออกจากการกระทำเมื่อเผชิญปัญหาหรือ เหตุการณ์เฉพาะหน้า
๑๑. การลบล้าง ล้างบาป การไถ่โทษ เป็นการกระทำเพื่อลบล้างการกระทำเดิม ซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับของตนเองหรือผู้อื่น
๑๒. การทดเทิด การระบาย ๑๓. การเลียนแบบผู้อื่น ๑๔. การชดเชย
๑๕. การทดแทน ๑๖. การก้าวร้าว ๑๗. ความเพ้อฝัน หรือ การฝันกลางวัน ๑๙. การเกิดอาการทางร่างกาย ๒๐. การแตกกระจาย ๒๑. การสับเปลี่ยน การแสดงความพิการทางกาย
4.พัฒนาการของบุคลิกภาพ
ฟรอยด์เชื่อว่าสัญญาณแห่งชีวิตหรือสัญชาติญาณทางเพศนั้นจะมีการพัฒนาและส่งผลให้พลังงานทาง จิตเคลื่อนไปที่อวัยวะสำคัญของร่างกาย
๑. ระยะพึงพอใจทางปาก 0-1 ปี Oral stage ระยะนี้ทารก จะมีความสุขความพึงพอใจทางปากจากการได้ดูด เคี้ยว และกัด หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองที่พึงพอใจ จะมีพฤติกรรม พูดมาก ช่างนินทา สูบบุหรี่
๒. ระยะพึงพอใจทางทวารหนัก Anal stage ตั้งแต่อายุประมาณ 1-3 ปี หากมารดาเข้มงวดมากเกินไป ทำให้เด็กมีพฤติกรรม ตระหนี่ถี่เหนียว เจ้าระเบียบ ตรงต่อเวลา
๓. ระยะพึงพอใจในอวัยวะเพศ (Phallic stage) ตั้งแต่อายุประมาณ 3-6 ปี
เด็กจะมีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสับสนทางเพศได้ เช่น รักบุคคลเพศเดียวกัน เบี่ยงเบนทางเพศ
๔. ระยะแฝง (Latency stage) ตั้งแต่อายุประมาณ 6-11 ปี ความพึงพอใจทาง เพศจะถูกเก็บกดไว้ เด็กจะเริ่มเข้าโรงเรียน จึงเริ่มเปลี่ยนจุดสนใจทางเพศที่มีต่อพ่อแม่ ไปสู่ความสนใจบุคคล หรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ
๕. ระยะวัยรุ่น หรือระยะสืบพันธุ์ (Puberty stage) ตั้งแต่อายุประมาณ 12-20 ปี จะเริ่มมีการ เปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก ความพึงพอใจของบุคคลส่วนใหญ่ในช่วงวัยนี้จะมาจากความรักและการทำงาน จะพ้นระยะนี้ไป จะเป็นระยะผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
เชื่อว่า พฤติกรรมที่ผิดปกติ เกิดจากการเรียนรู้ผิดๆ จึงเน้นการเรียนรู้ใหม่ๆเพื่อให้เกิดพฤติกรรมใหม่ให้ดีขึ้น
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาล
การรักษาผู้ป่วยตามแนวคิดของ Skinner ได้แก่
๒.๑ การให้แรงเสริมทางบวก (Positive reinforcement) คือ การเพิ่มความถี่ของ พฤติกรรมโดยการให้แรงเสริมทางบวกเผื่อให้แสดงพฤติกรรมที่ดี เช่นการให้รางวัล
๒.๒ การให้แรงเสริมทางลบ (Negative reinforcement) คือ การลดความถี่หรือการ ทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีลดไป โดยการงดสิ่งเร้าที่บุคคลพึงพอใจออกไป เช่น การจำกัดการโทรศัพท์ หรือการงดไม่ให้ญาติมาเยี่ยม
๒.๓ การหยุดยั้ง (Extinction) คือการยุติการให้แรงเสริมกับพฤติกรรมที่เคยได้รับแรง เสริมมาก่อน ซึ่งจะทำให้พฤติกรรมนั้นค่อยๆ ลดลงและยุติในที่สุด
ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็ม
ประยุกต์ใช้ในการพยาบาลจิตเวช
ขั้นการประเมินปัญหา
๑. ประเมินสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยจิตเวชไม่สามารถดูแลตนเองได้ ๒. ประเมินความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยจิตเวช และญาติ หรือบุคคลใกล้ชิด
ขั้นการวินิจฉัยทางการพยาบาล (
Nursing Diagnosis)
๑. มุ่งประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความพร่อง หรือการดูแลตนเองที่ไม่เหมาะสมของผู้ป่วย ๒. เน้นปัญหาที่ทำให้ผู้ป่วยจิตเวชมีการดูแลตนเองบกพร่องไป
ขั้นการวางแผนการพยาบาล
และการปฏิบัติการพยาบาล (Planning and Implementation)
๑. การชดเชยทั้งหมด คือผู้ป่วยจิตเวชที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ พยาบาลจึงควรปฏิบัติการพยาบาลให้ทั้งหมด
๒. การชดเชยบางส่วน เป็นการพยาบาลในส่วนที่ผู้ป่วยจิตเวชไม่สามารถกระทำได้ ๓. การส่งเสริมสนับสนุนด้านความรู้ เป็นการพยาบาลโดยพยาบาล เป็นผู้สอน ให้คำแนะนำ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลตนเองได้
ทฤษฎีมนุษยนิยม
เชื่อว่ามนุษสามารถพัฒนาตนเองได้ แบ่ง 2 กลุ่ม
Humanistic Philosophy-มนุษย์ทุกคนมีความสามารกมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้- การบำาบัด : ทฤษฎีผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง
Existentialist Philo sophy
Concept "มนุษย์สามารถเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง "
เน้น การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดระหว่างผู้ให้การบำบัดกับผู้รับการบำบัด เน้นให้ผู้ป่วย ตระหนักและยอมรับในปัญหา มองเห็นศักยภาพของตน สามารถตัดสินใจเลือกแนวทางในการจัดการกับปัญหาได้ด้วยตนเอง
ทฤษฎีการปรับตัวของรอย
ประยุกต์ใช้ในการพยาบาลจิตเวช
ขั้นการประเมินปัญหา (
Assessment) ประเมินหาสาเหตุที่ทำให้บุคคลมีการปรับตัวไม่เหมาะสม
ขั้นวินิจฉัยการพยาบาล
(Nursing Diagnosis) การกำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลควรมุ่งสู่ ปัญหาในการปรับตัวของผู้ป่วย ญาติ และบุคคลใกล้ชิด จากข้อมูลที่ได้ในการประเมินปัญหา
ขั้นการวางแผนการพยาบาล
และการปฏฺิบัติการพยาบาล เช่น การจัดกิจกรรมต่างๆ
ขั้นการประเมินผลการพยาบาล
(Evaluation) ประเมินผลตามวัตถุประสงค์การพยาบาลที่ กำหนด และมุ่งเน้นการพยาบาลบุคคลแบบองค์รวมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ