Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย - Coggle Diagram
สมดุลน้ำ
อิเล็คโตรไลท์
กรดด่างในร่างกาย
กรดด่างในร่างกาย
ความผิดปกติของสมดุลกรด-ด่าง
1.Primary metabolic acidosis:
เสีย bicarbonate เกิดกรดขึ้นมากในร่างกาย
สาเหตุ1. มีการสรา้งกรดมากขึ้น 2.ร่างกายไม่สามารถกําจัดกรดได้ 3.สูญเสียไบคาร์บอเนตมากทําให้เลือดเป็นกรด
2.Primary metabolic alkalosis: มีการสะสมbicarbonate ในร่างกาย เกิดจากการเสียกรดออกจากร่างกายมากกว่าปกติ
สาเหตุ 1.สูญเสียกรด เช่น การอาเจียน 2.ได้รับยาขับปัสสาวะจึงขับโปตัสเซียมและไฮโดรเจนไอออน
3.Primary respiratory acidosis: ลดการหายใจ C02 สูงขึ้น PH ลดลง
สาเหตุ1.สูญเสียกรดจํานวนมาก เช่น อาเจียน 2.ระบบประสาทส่วนกลางถูกกดจากยา เช่น มอร์ฟิน ยาสับ
4.Primary respiratory alkalosi: เพิ่ม การหายใจ C02 ต่ำลง pH เพิ่มขึ้น
สาเหตุ1.หายใจแรงลึก (Hyperventilation) 2.ศูนย์หายใจถูกกระตุ้นให้หายใจออกเร็วและลึก จากภาวะสมองอัก เสบ ไข้สูง
สิ่งที่ช่วยควบคุมภาวะกรด-ด่างในร่างกาย
ระบบ buffer ในร่างกายแบ่งเป็น 4 ส่วน
1.Bicarbonate-carbonic acid buffer system
1.ในร่างกาย เชน่ plasma มีpH =7.4
-bicarbonate (HCO3) = 27mEq/L.
carbonic acid (H2CO3) = 1.35mEq/L.
2.buffer ระบบนี้มีความสําคัญที่สุดในเลือดเนื่องจาก
-มีปรืมาณมากที่สุดในเลือด
-มีประสิทธิภาพมากที่สุด
2.Phosphate buffer system-เป็น buffer ที่สําคัญในเซลล์มากกว่า ในเลือดเนื่องจากมีอยู่ในเชลล์จํานวนมาก โดยเฉพาะในRedblood cell และ renal tubule cell
3.rotein buffer system
-พบทั้งในเซลล์และนอกเซลล์แต่โดยส่วนใหญ่พบในเซลล์ มีประจุลบ จึงเป็น buffer ที่มีความสําคัญในเซลล์
4.Haemoglobin buffer system Haemoglobin เป็น buffer ที่สําคัญมากในเซลล์เนื่องจากจะรวมกับ H+ กลายเป็นHHb และรวมตัวกับCO2 เป&นHHbCO2
ไต:ควบคุมปริมาณการขับทิ้ง H+ในปัสสาวะ มีประสิทธิภาพในการควบคุมกรด-ด่างมากที่สุดแต่ต้องใช้เวลาหลายวัน
การควบคุมภาวะกรด-ด่างโดยระบบหายใจ
ถ้า pH ลดต่ำกว่า 7.4 H+ที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการหายใจเพื่อกําจัด CO2 ทําให้pH สูงขึ้น
ถ้า pH เพิ่ม สูงกว่า 7.4 H+ ที่ลดลงจะลดการหายใจเพื่อเพิ่มCO2 ทำให้ pH ต่ำลง
การควบคุมความสมดุลของกรด - ด่าง
(regulation of acid base balance )
ในภาวะปกติpH ในเลือดแดง (arterial blood pH) มีค่าประมาณ 7.4และ pH ใน เลือดดํา (venous blood pH) มีค่าประมาณ 7.35 pH ในเลือดต่ำกว่าในเลือดแดง เนื่องจากในเลือดดำมีคาร์บอนไดออกไซค์อยูม่ ากกว่าในเลือดแดง
1.Acidosis: ภาวะที่ร่างกายมีความเป็นกรดเกิดขึ้น มีระดับของ PH ในเลือดแดง < 7.35
2.Alkalosis: ภาวะที่ร่างกายมีความเป็นด่างเกิดขึ้น มีระดับของ PH ในเลือดแดง > 7.45
3.Arterial Blood Gases: วิธีประเมินค่าความเป็นกรด-ด่างของร่างกายโดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดแดงแล้วนําไปหาค่า
4.Buffer: สารซึ่ีงเมื่อละลายน้ำจะคง PH ของสารนั้นไว้ได้แม้ว่าเดิมกรดแก่ หรือด่างแก่ลงไปหรือแม้pH จะเปลี่ยนแปลงก็เป็นเพียงเล็กน้อย
การวัดความเป็นกรด-ด่าง
ในเลือดแดง pH ปกติมีค่า7.35-7.45
ในเลือดดําและในช่องว่างระหว่างเซลล์PH มีค่าประมาณ7.35
ภายในเซลล์PH ปกติอยู่ระหว่าง6.0-74แตกต่างกันในเซลล์ต่างๆ
pH ในเลือดแดงมีค่า > 7.45 เรียกว่า Alkalosis
pH ในเลือดแดงมีค่า < 7.45 เรียกว่า Acidosis
Arterial Blood Gas (ABGs)
วิธีประเมินค่าความเป็นกรด-ด่างของร่างกายโดยการตรวจวัด Arterial Blood Gas (ABGs)
pH ค่าปกติ7.35-7.45 บอกความเข้มข้นของ H+
PCO2 ค่าปกติ35-45 วัดแรงดันของ CO2 ซึ่งบ่งบอกถึงความเข้ม ข้น ของ carbonic (H2CO3)
HCO3- ค่าปกติ22-25 mEq/L. บอกความเข้มข้นของ bicarbonate (HCO3-)
BE (Base exess) ค่าปกติ+2 ด่างที่เป็น buffer ในเลือด(Blood buffer base) BE. ที่มีค่าเป็น+ มากแสดงว่า มีด่างในเลือดมาก
PO2 ค่าปกติ80-100 mm.Hg. วดั แรงดันของ O2ในเลือดแดง บ่งบอกถึงความเข้มข้นของ O2 ในเลือด
การแปลผล ABGs
ขั้นที่ 1 ดูค่า pH (บอกคํา acid-base status) หากค่า pH< 7.35 = acidosis , pH > 7.45 = alkalosis 2. ชั้นตอนการวิเคราะห์ค่า Arterial Blood Gas : ABG
ขั้นที่ 2 ดูค่า PaC02 (บอกความผิดปกติของ Respiratory system) หากคํา PaC02 > 45 mmiig. -acdosis,PaCO2< 35 mmiig.- alkalosis
ขั้นที่ 3 ดูค่า HCO3* (บอกความผิดปกติซอง Metabolism system) หากค่า HC03"> 26 -alkalosis, HICOg<22- aodosis
ขั้นที่ 4 พิจารณาการชดเชย
ขั้นที่ 5 ประเมินภาวะพร่องออกซิเจน ให้ดูจากคํา PaO2 61 - 80 -mild hypoxemia, 40 - 60 =moderate hypoxemia, < 40 =severe hypoxemia
Body Electrolytes
Types of Electrplytes
1.CATION Positive
2.ANION Negative
ELECTROLYTES IN
BODY FLUID COMPARTMENTS
1.ภายนอกเซลล์(EXTRACELLULAR Electrolytes)
•Na+ and Clrespectively.
ECF Cations --> Na+ ( 140 mEq/L) ,K +,Ca+,Mg+ Total Cations 155 mEq/L
ECF Anions --> Cl-(103 mEq/L) ,HCO3-,HPO4--,SO4--,Total Anions 155 mEq/L
2.ภายในเซลล์(INTRACELLULAR Electrolytes )
K+ and HPO4-- respectively.
ICF Cations --> Na+,K+ (150 mEq/L),Ca+,Mg+ Total Cations195 mEq/L
ICF Anions --> Cl+,HCO3-,HPO4--(140mEq/L),SO4-Total Anions195 mEq/L
1.Na+ มีมากที่สุดในECF 2.K+ เกี่ยวกับ nerve impulse 3.Cl-ช่วยควบคุมสมดุลกรด-เบส 4.Ca2+ กระตุ้นเส้นประสาทและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ 5.Mg2+ การทํา งานของหัวใจ เส้นประสาท กล้ามเนื้อ
Magnesium Imbalanc
Hypomagnesemia
ซีรัมแมกนีเชียมที่น้อยกวา่ 1.7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ในกรณีที่แม็กนีเซียมในเลือดต่ำ อย่างรุนแรง จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบ torsades de pointes, ชัก , หมดสติ
จนถึงขั้นเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ยังพบร่วมกับโพแทสเซียมและแคลเซียมในเลือดต่ำ
Hypermagnesemia
ในภาวะปกติไตสามารถขับแมกนีเชียมได้อย่างเพียงพอแม้ว่าจะได้รับ
Mg2+.มากจากอาหารหรอืทางหลอดเลือดเราจึงไม่ค่อยพบ ภาวะร่างกายมีMg2.เกิน
มักจะพบเป็นผลของการรกัษาภาวะร่างกายมีMg2+.น้อยเป็นส่วนใหญ่
Phosphate Imbalance
Hyperphosphatemia
ฟอสเฟตในซีรัม ได้มากกวา่ 5 มก/ดล
สาเหตุจากการได้รับ อาหารที่มีฟอสเฟตมาก
การปล่อยฟอสเฟตจากเซลล์
และการขับถ่ายทางไตน้อยลง
สาเหตุที่ไตลดการขับฟอสเฟต
1.ภาวะไตวายเฉียบพลัน
ผู้ป่วยที่ได้รับ อุบัติเหตุมีrhabdom yolysi
หรือในผู้ติดเฮโรอีน 2.ภาวะไตวายเรื้อรัง
ระดับฟอสฟอรัสสูง ในเลือด เมื่ออัตราการกรองผ่าน
โกลเมอรูลัสลดลงเหลือน้อยกว่า 25 มก/นาที
3.Hypoparathyroidism
4.Pseudohypoparathyroidism
Hypophosphatemia
ระดับซีรัม ฟอสเฟตที่น้อยกวา่ 2.
มิลลิกรัม /เดซิลิตรในผู้ป่วยวิกฤติ
สาเหตุหลักๆมาจากการได้รับ
ฟอสเฟตหรือลําไส้ดูดซึมฟอสเฟสได้น้อยกว่าปกติ
การที่ฟอสเฟต มีการเคลื่อนย้ายเข้าสู่เซลล์
และมีการสูญเสียออกไปในทางเดินปัสสาวะ
อาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเซ สับสน
การหายใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจทํางานผิดปกติ
Calcium Imbalance
Hypercalcemia
สาเหตุ1.การละลายแคลเซียมจากกระดูกเพิ่มขึ้น
2.การรับประทานหรือมีการดูดซึมแคลเซียมมากเกินไป
3.ภาวะไตวาย
ความเข้มข้นของแคลเซียมในพลาสม่ามากกว่า 10.5 มก. เปอร์เซ็นต์
Hypocalcemia
ที่พบได้บ่อยได้แก่ผู้ป่วยอุบัติเหตุ, ภาวะไตล้มเหลวทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง การติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งเชื่อว่าอาจจะเป็นกลไกของร่างกายที่จะปกป้องการบาดเจ็บของเซลล์ในภาวะที่มีการอักเสบ , hypoparathyroidism, แม็กนีเซียมในเลือดต่ำทำให้ต่อมพาราไทรอยด์ หลั่ง พาราไทรอยด์ฮอร์โมน ลดลงรวมทั้งมีภาวะดื้อต่อพาราไทรอยด์ฮอร์โมน, การขาดวิตามินดีcalcitrol ในกรณีที่ไตบาดเจ็บ
Potassium Imbalance
Hyperkalemia
คือภาวะที่โพแทสเซียมในเลือดมากกว่า 5 มิลลิโมล/ลิตรที่ใช้
การรักษาภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นกับความรุนแรง และผลกระทบต่อการทํางานของหัวใจ ถ้ามีการเปลี่ยน แปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
อาการ หายใจลําบาก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เกิดน้ำคั่งในร่างกาย
Hypokalemia คือ ค่าซีรัมโพแทลเซียมน้อยกวา่ 3.5 มิลลิโมล/ลิตร
สาเหต การได้รับโพแทสเซียมไม่พอเพียง,
การสูญเสียไปทางปัสสาวะหรือทางระบบทางเดินอาหาร และ การที่โพแทสเซียมย้ายเข้าสู่เซลล์
อาการ มักเกี่ยวข้องกับระบบประสาทกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูก ตะคริว คลื่นไส
Sodium Imbalancr
Hyponatremia
คือระดับซีรัม โซเดียมน้อยกวา่ 135 มิลลิโมล/ลิตร นับว่า เป็นความผิดสัมพันธกับผลการรกัษาที่ไม่ดี ในผู้ป่วยทีมี ภาวะหัวใจล้มเหลวจะมีอัตราการเสียชีวิต ที่สูง ขึ้นและยังเพิ่ม อัตราการเสียชีวิต ในภาวะอื่น ๆ เชน่ ปอด
สาเหตุ
1.เกิดจากการความสามารถในการขับสารน้ำ (free water) ของไตนั้นผิดปกติไปหรือทําได้ไม่พอเพียง
2.เกิดจากการสูญเสียโชเดียม
อาการ สมองบวมน้ำ (hyponatremic encephalopathy) ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
หลักการรักษา ทดแทนโซเดียมที่ขาดโดยการรับประทาน หรือ IVF ด้วย NSS หรอื 3-5% Saline
hypernatremia
คือระดับซีรัม โซเตียมสูงกว่า 150 มิลลิโมล/ลิตร โดยทั่ว ไปในคนปกติจะพบภาวะนี้ได้น้อยมากเนื่องจากกลไกในสมองที่ทำให้กระหายน้ำ ทำงานได้ปกติ
อาการ โดยเฉพาะในระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ป่วยจะมีอาการสับสน ซึม ชัก
หลักการรักษา ลดปริมาณเกลือโซเดียมจากจํากัดอาหารที่มีโซเดียมสูง
สมดุลของน้ำ
การขับปัสสาวะ
การทํางานของระบบขับถ่ายปัสสาวะ จะเริ่มขึ้นเมื่อเลือด หรือพลาสมาไหลผ่านไต และหลอดไต(หน่วยไต) ซึ่งในบริเวณนี้จะมีการกรองและดูดซึมสารที่มีประโยชน์ และน้ำบางส่วนกลับเข้าไปใช้ใหม่ในร่างกาย ในขณะที่สารที่ร่างกายไม่ได้ใช้ประโยชน์ และน้ำบางส่วนจะถูกผลิตออกมาจากไต
DEHYDRATION
กลไกการเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้น
1.การเปลี่ยนแปลงที่ระดับเซลล์
เมื่อร่างกายน้ำจะทําให้ความเข้มข้นของพลาสมาเพิ่มขึ้น จึงมีการดึงน้ำภายในเซลล์ออกสู่นอกเซลล์จนความเข้มข้น ในและนอกเซลล์เท่ากัน น้ำในเซลล์นอกเซลล์เท่ากับ 2:1
2.การตอบสนองของร่างกาย
ปริมาตรน้ำนอกเซลล์ลดลงและให้ความเข้มข้นของพลาสมาเพิ่มขึ้น มีผลกระตุ้นการหลั่ง อัลโดสเตอโรน ADH และการกระตุ้นศูนย์กระหายน้ำทําให้ปริมาตรปัสสาวะลดลงน้ำและโซเดียมถูกดูดกลับเพิ่มขึน และน้ำมากขึ้นตามลําดับ
สาเหตุ 1.ได้รับน้ำน้อยลง ดื่มน้ำน้อยเกินไป 2.ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป
ภาวะเกินและภาวะพิษของน้ำ (water excess and water intoxication)
อาจเกิดจาก 1.การคั่งของทั้งเกลือและน้ำ(isotonic expansion) 2.การคั่งของน้ำ อย่างเดียว (water vo'ume excess) 3.การคั่ง ของน้ำมากกว่าเกลือ (hypo-tonic expansion)
สาเหตุ ไตพิการ เลือดไปเลี้ยงไตลดลง มีการอุดกั้น ทางเดินปัสสาวะ ไตปกติแต่มีการหลั่ง ADH มากขึ้น
กลไกการเปลี่ยนแปลง
1.การเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์-น้ำที่เกินจะเคลื่อนที่จากนอกเซลล์เข้าไปภาในเซลล์จนความเข้มข้นเท่ากัน ทําใหเ้ซลล์บวม ระดับ Hct จะไม่เปลี่ยนแปลง
2.การตอบสนองของร่างกาย -ระดับความเข้มข้นที่ลดลง - น้ำนอกเซลล์ที่เพิ่ม ขึ้นมีผลยับยั้งการหลั่ง ADH และอัลโดสเตอโรน ปัสสาวะจึงออกมากขึ้น ร่วมกับกลไกการยับ ยั้งการทํางานของศูนย์กระหายน้ำ
อาการและการแสดง
1.แบบเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ม่านตาขยายไม่เท่ากัน คลื่นไส้อาเจียน รีเฟล็กซ์ไวขึ้น
2.แบบเรื้อรัง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อาการบวม
การควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย
1.การกระหายน้ำ
เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทําให้เลือดเข้มข้นความดันเลือดสูงส่งสัญญาณไปที่ไฮโปรทาลามัสไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่ง ADH (anidiuretic hormone)ไปกระตุ้นท่อหน่วยไตดูดน้ำกลับทําให้ปริมาณน้ำในเลือดสมดุล
2.การขับปัสสาวะ
ถ้าเลือดเจือจางไฮโปรทาลามัสไปยับ ยั้งการสร้างฮอร์โมน ADH ทำให้การดูดซึมน้ำกลับคืนน้อย ปริมาณน้ำในร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล
ความไม่สมดุลของน้ำ
water intake ( 1500-3000ML)
1.น้ำดื่ม อาหารเหลว น้ำที่ปนในอาหาร(500-1500 ml)
2.อาหาร เช่น ข้าว เนื้อ ผักผลไม้ (800-1000 ml)
3.เมตาบลิซึมของร่างกาย : วิธี water of oxidation หรือ metabolic water (200-500 ml)
water output ( 1300-3000ML)
ทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(insensible perspiration) ประมาณ 500-800 ml.ได้แก่ทางผิวหนัง 300 ml. ปอด 300-500 ml.
ทางที่ปรับสมดุลได้(insensible perspiration)
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
1.น้ำภายในเซลล์( intracellular fluid ; ICF )
2.น้ำภายนอกเซลล์( extracellular fluid ; ECF )
1.น้ำภายในหลอดเลือด ( intravascular fluid หรือ plasma )
2.น้ำระหว่างเซลล์( interstitial fluid )
หน้าที่ของน้ำในร่างกาย
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ช่วยในการดูดซึมและแพร่กระจายของสารต่างๆ
เป็นตัวกลางในการนําสารต่างๆ ไปยังระบบที่เหมาะสม
ควบคุมการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของส่วนนั้น ๆ
ใช้ในปฏิกิริยาเคมีที่สําคัญในร่างกาย เช่น การสลายATP (adenosine triphosphate ) เพื่อใหไ้ด้พลังงาน