Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว, image, image, image, image, image -…
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่เขียว
ความผิดปกติของผนังกั้นหัวใจห้องล่าง (Ventricular Septal Defect)
อาการและอาการแสดง
2.VSD ปานกลาง อาจมีอาการเหนื่อยง่าย ตัวเล็ก และมีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย พัฒนาการทางร่างกายช้า ดูดนมลำบาก ตรวจพบหัวใจโตเล็กน้อย
3.VSD ใหญ่ เริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทารกอายุประมาณ 1 – 2 เดือน เลี้ยงไม่โต ไม่มีอาการเขียวขณะอยู่นิ่ง อาจจะเขียวเล็กน้อยเวลาร้อง ตรวจพบหัวใจโตและมีอาการแสดงของภาวะหัวใจวาย
1.VSD เล็ก มักไม่มีอาการ การเจริญเติบโตปกติ
ประเมินสภาพ
2.การตรวจร่างกาย : พบเสียง murmur
3.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบ left atrium และ ventricle ทั้งสองโต
1.การซักประวัติ : หายใจเร็วผิดปกติ เด็กตัวเล็ก โตช้า
4.ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : มองเห็นขนาดรูรั่วและห้องหัวใจที่โตขึ้น
พยาธิสภาพ
VSD จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของรูรั่วระหว่าง ventricle เลือดจะไหลลัดจาก ventricle ซ้ายไปขวา ไหลไปสู่ปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจน แล้วไหลสู่หัวใจห้องบนซ้ายลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ทำงานเพิ่มมากขึ้น บีบตัวให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย โดยอีกส่วนผ่านรูรั่วกลับเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวาใหม่ กล้ามเนื้อหวัวใจห้องล่างซ้ายจึงโตกว่าปกติ
เมื่อเลือดลัดวงจรจากซ้ายไปขวานานๆ ถ้าแรงต้านของหลอดเลือด pulmonary สูงกว่าแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้มีการไหลกลับของเลือด ผู้ป่วยจึงเกิดอาการเขียว เรียกว่า Eisenmenger’ s syndrome
การรักษา
2.การผ่าตัด
3.กรณีมีภาวะหัวใจวาย ให้ยา digitalis ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือด
1.การดูแลสุขภาพทั่วไป
ความหมาย
เป็นความพิการของหัวใจที่มีทางเชื่อมติดต่อระหว่าง ventricle ซ้ายและขวา พบบ่อยในโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ร้อยละ20-30อุบัติการณ์จะลดลงเมื่อเด็กอายุ 1 ปี เพราะอาจมีการปิดของ VSD ได้เอง
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะหัวใจวาย ติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ Eisenmenger’s syndrome, Aortic insufficiency
หลอดเลือดดัคตัส อาร์เตริโอซัส ไม่ปิดหลังคลอด (Patent Ductus Arteriosus)
อาการและอาการแสดง
2.PDA ปานกลาง : อาจมีอาการเหนื่อยง่าย มีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ
PDA ใหญ่ : มีอาการมากตั้งแต่วัยทารก ในทารกคลอดก่อนกำหนดจะมีหัวใจวายเหนื่อยหอบ น้าหนักตัวไม่เพิ่ม ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ มีอาการเขียวปลายนิ้วเท้า หัวใจโต
1.PDA เล็ก : มักไม่มีอาการ ตรวจร่างกายพบหัวใจไม่โต หรือโตเล็กน้อย ได้ยินเสียง murmur
การประเมินอาการ
3.ถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
4.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบวา่ หัวใจล่างซ้ายโต
2.การตรวจร่างกาย : ได้ยิน murmur ที่ลิ้น pulmonic , ชีพจรเต้นแรง , pulse pressure กว้างกวา่ ½ ของความดัน systolic
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
1.การซักประวัติ : จากอาการตัวเล็ก น้ำหนักน้อย หายใจเร็ว
พยาธิสภาพ
ความดันของเลือดในหลอดเลือด aorta สูงกว่าในหลอดเลือดแดง pulmonary เป็นเหตุให้เลือดไหลจาก aorta กลับมาหัวใจห้องบนซ้ายลงสู่ห้องล่างซ้ายออกทาง aorta ใหม่วนเวียนไปเรื่อยๆ เลือดที่มีออกซิเจนไหลเวียนผ่านปอดใหม่ ทำให้หัวใจด้านซ้ายทำงานมากกว่าปกติและเกิดหัวใจโต
เลือดแดงไหลเวียนไปสู่ปอดมากขึ้น จะทำให้ความดันในปอดสูงเกิด right to left shunt เลือดดำผสมกับเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนล่างของร่างกาย ทำให้เกิดอาการเขียวที่ขาและเท้า แต่แขนและใบหน้าไม่มีอาการเขียว เรียกภาวะนี้ว่า differential cyanosis
การรักษา
1.รายที่ไม่มีอาการ ควรทำการผ่าตัดโดยผูกหรือตัด ductus arteriosus เมื่ออายุเกิน 1 ปีไปแล้ว เนื่องจากก่อนอายุ 1 ปี มีโอกาสที่ ductus arteriosus อาจจะปิดได้เอง ในผู้ป่วย PDA ทุกรายควรได้รับการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
2.การรักษาทางยา
ความหมาย
เกิดจากการที่หลอดเลือด ductus arteriosus ไม่ปิดภายหลังทารกคลอด ทำให้เลือดแดงไหลจาก aorta เขา้ สู่ pulmonary artery ได้ ซึ่งปกติควรปิดภายใน 1-4 สัปดาห์ พบร้อยละ 5 –10
หลอดเลือดพัลมอนิคตีบ (Pulmonic Stenosis)
อาการและอาการแสดง
2.มีการตีบแคบปานกลาง : อาจไม่มีอาการหรือมีอาการเหนื่อยง่ายเพียงเล็กน้อยเวลาออกแรง พบ systolic murmur
3.มีการตีบแคบมาก : มีอาการของภาวะหัวใจซีกขวาวายหรือมีอาการเขียวเล็กน้อยในเด็กเล็ก ส่วนในเด็กโตมักมีอาการเหนื่อยง่าย อาจมีอาการเขียว พบ systolic murmur บางรายอาจมีการเป็นลมหมดสติ หรือถึงขั้น เสียชีวิตในขณะออกกำลังกายได้
1.มีการตีบแคบน้อย : ไม่มีอาการ อาจพบ systolic murmur
การประเมินสภาพ
2.การตรวจร่างกาย : ฟังได้ systolic murmur บริเวณอกด้านซ้ายด้านบน คลำได้ ventricle ขวาโต
3.ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : ventricle ขวาโต atrium ขวาโต
1.การซักประวัติ
4.ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
พยาธิสภาพ
เกิดการอุดกั้นของทางออกของ ventricle ขวา ทำให้ ventricle ขวาต้องบีบตัวแรงขึ้น เพื่อให้มีปริมาณของเลือดไปปอดเพียงพอ กล้ามเนื้อของ ventricle ขวาจึงหนาตัวขึ้น ส่งผลให้เลือดจาก atrium ขวาไหลลง ventricle ขวาได้ไม่สะดวก atrium ขวา จึงมีขนาดใหญ่และผนังหนาขึ้น และอาจทำให้ความดันใน atrium ขวาสูงกว่า atrium ซ้าย เกิดเลือดไหลลัดวงจรจาก atrium ขวาไปซ้าย (right to left shunt )ทำให้เกิดอาการเขียวได้
การรักษา
2.รายที่มีอาการมาก ทำผ่าตัด pulmonary valvotomy และ balloon valvuloplasty เพื่อขยายลิ้น pulmonary
3.ให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
1.รายที่เป็น mild pulmonary stenosis ไม่ต้องผ่าตัด
ความหมาย
การตีบของลิ้น pulmonary มีผลให้การไหลของเลือดจากหัวใจห้องล่างขวาไปยัง pulmonary artery ได้ยากขึ้น
ความผิดปกติของผนังกั้นหัวใจห้องบน (Atrial Septal Defect)
อาการและอาการแสดง
ส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏ ในรายที่มีรูรั่วขนาดเล็ก เด็กจะเจริญเติบโตได้ปกติ
รูรั่วขนาดใหญ่
อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก
เป็นหวัดหรือปอดบวมบ่อยๆ
มีน้าหนักน้อยกว่าปกติ
ทราบว่าป่วยเป็นโรคหัวใจจากการตรวจ
ร่างกายทั่วไปได้ยิน systolic murmur
การประเมินสภาพ
2.การตรวจร่างกาย : ตรวจพบ ventricle ขวาโต เสียงที่1 (S1) ต่ำกว่าปกติที่บริเวณลิ้นไตรคัสปิด
4.คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : อาจมี atrium ขวาโต พบว่ามี P wave สูงแหลม
3.ภาพรังสีทรวงอก (chest x–ray) : พบหัวใจโตเล็กน้อย มี ventricle ขวาโต และอาจจะมีatrium ขวาโต มีหลอดเลือดที่ปอดเพิ่ม
5.คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : ขนาดของ atrium ขวาและ ventricle ขวา
1.การซักประวัติ : หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย อกบุ๋ม ไม่มีอาการเขียว ตัวเล็ก
พยาธิสภาพ
เลือดแดงในหัวใจห้องบนซ้ายมีความดันสูงกว่าด้านขวา จะไหลผ่านตรงทางรูรั่วที่ผิดปกติ เข้าไปหัวใจบนขวาลงสู่ล่างขวา เป็นผลให้เกิด left to right shunt ทำให้หัวใจบนขวาและล่างขวาโตและขยายตัวขึ้น เนื่องจากต้องทำหน้าที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเลือดมากกว่าปกติไหลออกสู่หลอดเลือดในปอดเป็นเวลานาน ทำให้หลอดเลือดในปอดชั้น media หนาตัวขึ้น เป็นการเพิ่มแรงต้านที่ปอดเพื่อให้เลือดไหลผ่านปอดน้อยลง ขณะเดียวกันหัวใจห้องล่างขวาต้องออกแรงบีบตัวมากข้ึน
การรักษา
1.การรักษาทางยาเมื่อเกิดภาวะหัวใจวายหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ได้แก่ ยา digitalis ยาขับปัสสาวะ ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
2.การผ่าตัด สามารถทำได้เมื่อวัยก่อนเข้าเรียนหรือทำก่อนถ้าเด็กมีอาการโดยการเย็บปิดผนังกั้นของ ASD หรือเย็บซ่อมลิ้นหัวใจ mitral
ความหมาย
ความผิดปกติในการสร้างผนังกั้นเอเตรียมที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดรูรั่วเป็นทางติดต่อระหว่างเอเตรียมซ้ายและขวา การเกิดรูรั่วอาจมีเพียงรูเดียวหรือหลายรูก็ได้ พบรูรั่วขนาดต่างๆ กัน
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะหัวใจวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
หลอดเลือดเอออร์ตาตีบ (Coarctation of Aorta)
อาการและอาการแสดง
ทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มาด้วยอาการของหัวใจวาย ได้แก่ หายใจเหนื่อยหอบ เลี้ยงไม่โต ตรวจร่างกายจะพบว่า มีหายใจเร็ว ชีพจรที่แขนจะแรงกว่าที่ขา
เด็กโตส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ ถ้ามีอาการมักจะเป็นผลจากภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย และติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ
การประเมินสภาพ
2.การตรวจร่างกาย
3.การตรวจพิเศษอื่น เช่น ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) , คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram)
1.การซักประวัติ : อาการและอาการแสดง
พยาธิสภาพ
aorta ส่วนที่เป็น coarctation แคบลง ทำให้หัวใจห้อง ventricle ซ้ายทำงานหนักมาก และaortic blood flow ลดลง เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัว ใจลดลง และทำให้การทำงานของ ventricle ซ้ายเสียไป เป็นผลให้ความดันเลือดใน atrium ซ้ายสูงขึ้น มี left to right shunt ทำให้เกิดอาการหัวใจวาย
การรักษา
2.Transluminal angioplasty with Balloon dilation หลัง dilate อาจเกิด aneurysm ได้
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง แนะนำให้ทำผ่าตัดเมื่ออายุ 4–5 ปี
1.รักษาทางยา digitalis ในรายที่มีภาวะหัวใจวาย
ความหมาย
การตีบแคบหรืออุดตันของส่วนใดส่วนหนึ่งของหลอดเลือด aorta ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบที่ aortic arch
การพยาบาล
3.ดูแลเรื่องสุขภาพช่องปากอยู่เสมอ
4.แนะนำบิดามารดาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย เพื่อสร้างความเข้าใจในสภาพการณ์เป็นจริงของเด็ก
2.ดูแลให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย และกระตุ้นพัฒนาการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม
5.เปิดโอกาสให้ครอบครัวระบายความรู้สึกเกี่ยวกับการดูแลเด็ก และให้คำแนะนำที่สอดคล้องกับปัญหา
1.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น หายใจเหนื่อย หอบ มีอาการเขียวมากขึ้น
6.ส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกายแต่ไม่เหนื่อยเกินไป หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ออกแรงมาก เช่น การร้องไห้ การเบ่งถ่ายอุจจาระ