Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ (ต่อ) -…
การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ (ต่อ)
. 9.4 ทารกแรกเกิดมารดาติดสารเสพติด
ประเด็นที่ชวนสงสัยว่ามารดามีการติดสารเสพติด
มารดาไม่มาฝากครรภ์
มารดาอายุน้อย มีประวัติครอบครัวแตกแยก
มารดาอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด
มารดามีรอยสักหรือมีรอยเข็มฉีดยาตามตัวหรือแขนขา
มารดามีความต้องการใช้ยาแก้ปวดบ่อยและในขนาดที่มากในระยะรอคลอด
มารดามีอาการถอนยาภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ถ้าไม่มีผู้นำยามาส่งให้ในโรงพยาบาล
ผลกระทบของสารเสพติดต่อทารกในการตั้งครรภ์
เฮโรอีน
มีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ คลอดออกมามีภาวะหายใจลำบาก (RDS)
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกพิการแต่กำเนิด
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตล่าช้า
ข้อวินิจฉัย
เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจน เนื่องจากระบบประสาทถูกกดและจากภาวะชัก
ทารกไม่สุขสบายเนื่องจากมีอาการถอนยาเฮโรอีน
เสียสมดุลของน้ำและอิเล็กโทรไลต์ เนื่องจากมีอาการท้องเสียและอาเจียน
เสี่ยงต่อน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากดูดนมได้ไม่ดี
มีโอกาสเกิดสัมพันธภาพระหว่างมารดา บิดาและทารกไม่ดี เนื่องจากทารกมีอาการถอนยาและต้องถูกแยกจากมารดาและบิดาตั้งแต่แรกเกิด
สุรา
Fetal Alcohol Syndrome (FAS)
พบในมารดาที่ดื่มสุรา ๖ แก้วต่อวันในไตร
มาสแรกของการตั้งครรภ์ หรือ ๓ ออนซ์ต่อวันตลอดการตั้งครรภ
ประกอบด้วย
1) มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำหนักตัวน้อย
2) ศีรษะเล็ก
3) ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
4) ใบหน้าผิดรูป
5) ดูดนมได้ไม่ดี
6) สันจมูกแบน ปลายจมูกเชิดขึ้น
7) หัวใจพิการแต่กำเนิด
8) ตัวอ่อนปวกเปียก
9) แขนขาพิการ
10)มีอาการชัก
ข้อวินิจฉัย
มีอาการแสดงของการขาดแอลกอฮอล์และภาวะแทรกซ้อนหลังเกิด
มีโอกาสเกิดการเจริญเติบโตและพัฒนาการล่าช้า
การสูบบุหรี่
ทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเรื้อรัง
การเจริญเติบโตช้า มีน้ำหนักน้อย
คลอดก่อนกำหนด และเกิดภาวะหายใจลำบาก
มีสติปัญญาต่ำ
เสี่ยงต่อการเกิดโรคไหลตายในทารกแรกเกิด [SIDS]
ข้อวินิจฉัย
เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิดและภาวะแทรกซ้อนจากภาวะคลอดก่อนกำหนด
มีโอกาสเกิดการเจริญเติบโตล่าช้ากว่าปกติจากการที่เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่ดี
แอมเฟตามีน
น้ำหนักแรกเกิดน้อย
มีความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด
ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองตาย
เด็กมีปัญหาพฤติกรรมในระยะยา
อาการถอนยาเสพติดในทารกแรกเกิด
หงุดหงิด ร้องกวนตลอดเวลา
ระบบประสาทถูก แขนขาสั่นเทิ้ม หรือสั่นทั้งตัว อาจถึงชักในบาราย ขยับตัวไปมา นอนหลับไม่สนิท
ระบบประสาทถูกกด อาการหาว จาม Mono reflex ลดลง
ขยับปากทำท่าคล้ายจะดูด การดูดและการกลืนยังไม่ดี กินน้ำและนมได้น้อย
ถ่ายเป็นน้ำ และถ่ายบ่อย อาเจียน เสียสมดุลของน้ำและสารละลายในเลือด
ทารกจะดิ้นมากจึงอาจมีแผลจากการดิ้นถูกไถไปกับที่นอน
เหงื่อออก ท้องอืด หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
แนวทางการรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง โดยการรักษาตามอาการ เช่น ระวังภาวะขาดน้ำและอาหารดังนั้น จึงอาจพิจารณาให้นมผสมได้
การรักษาแบบจำเพาะ คือ การบรรเทาอาการขาดยา และ/หรือใช้ร่วมกับยาที่ทำให้ทารกสงบ ได้แก่ Phenobarbital, Chlorpromazine, Diazepam เป็นต้น
บทบาทการพยาบาล
1.ประเมินอาการถอนยาของทารกแรกเกิด
จัดทารกให้อยู่ในที่สงบและห่อตัวทารกไว้หรืออุ้มทารก
ดูแลให้ทารกได้รับนมผสมตามความต้องการของร่างกาย และเปิดโอกาสให้มารดาที่สามารถเลิกสารเสพติดได้เลี้ยงบุตรด้วยนมตนเอง
รายงานอาการของทารกให้มารดาและบิดาทราบเป็นระยะ
ติดตามผลการรักษาในระยะยาวร่วมกับสหวิชาชีพ
9.5 ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด (Birth Asphyxia)
ความหมาย
ภาวะที่ทารกแรกเกิดที่มีภาวะขาดออกซิเจน และมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ และกรดในเลือดมาก จนกระทั่งรบกวนต่อระบบการไหลเวียนและสมองของทารกทำให้ทารกถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความพิการทางสมองได้
ปัจจัยที่ทำให้ทารกเกิดภาวะขาดออกซิเจน
ด้านมารดา
มารดาเป็นโรคเบาหวาน
โรคความดันโลหิตสูง
มีประวัติให้กำเนิดทารกตายคลอด (stillbirth)
มารดามีเลือดออกในไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์
การติดเชื้อของมารดา
มารดามีภาวะน้ำคร่ำน้อยหรือมากผิดปกติ
อายุครรภ์ก่อนหรือเกินกำหนด
มารดามีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด รกเกาะต่ำ
มารดาใช้สารเสพติด
ด้านปัจจัยขณะคลอด
การผ่าตัดคลอด
การได้รับยาระงับความรู้สึก เช่น General anesthesia
มีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์
มีการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ
การคลอดเฉียบพลัน (precipitate labor)
ระยะการคลอดยาวนาน
ภาวะสายสะดือย้อย
ด้านทารก
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกมีส่วนนำผิดปกต
พยาธิสภาพ
ทารกมีภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด
ปรับตัวโดยการหายใจเร็วขึ้น
ถ้าภาวะขาดออกซิเจนดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทารกจะหายใจช้าลงและจะเข้าสู่ภาวะหยุดหายใจ
จำเป็นต้องช่วยหายใจโดยใช้เครื่องช่วยหายใจ
ทารกเริ่มขาดออกซิเจน
ร่างกายจะพยายามปรับตัวโดยเปลี่ยนแปลงระบบไหลเวียนเลือดจากอวัยวะที่มีความสำคัญน้อย
ลำไส้ ตับ ไต กล้ามเนื้อ ผิวหนัง
เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่มีความสำคัญมากกว่า
หัวใจ สมองและต่อมหมวกไต
การให้ออกซิเจนแรกคลอดแก่ทารกในช่วงนี้จะทำให้ทารกกลับมาหายใจได้เอง
อาการและอาการแสดง
ขณะอยู่ในครรภ์มารดา
ทารกจะมีการเคลื่อนไหวมากผิดปกติ และต่อมาจะมีการเคลื่อนไหวลดลงกว่าปกติ FHS ในระยะแรกจะเร็วมากกว่า160 ครั้งต่อนาที ต่อมาหัวใจจึงเต้นช้าลง
ขณะคลอด
พบขี้เทาในน้ำคร่ำ
ขณะแรกคลอด
ขณะแรกคลอดทันที ทารกจะมี APGAR score ต่ำกว่า 8 คะแนนที่นาทีที่ 1
ขณะหลังคลอดในระยะต่อมา
มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินอาหาร ตับ ไต ไขกระดูก แต่อาการและอาการแสดงส่วนใหญ่จะแสดงออกมาทางระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจและระบบหายใจ
แนวทางการช่วยเหลือ
ขั้นแรกในการกู้ชีพ
1.1 เช็ดศีรษะและตัวทารกให้แห้ง
1.2 ทำทางเดินหายใจให้โล่ง
1.3 กระตุ้นการหายใจ
1.4 กรณีที่มารดาได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม narcotic analgelsic
2.การทำPPV
ข้อบ่งชี้ในการทำ
1) ทารกที่ไม่หายใจ
2) ทารกที่ไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้นการหายใจ
3) ในรายที่ทารกมีapnea หรือ gasping respirations
4) ทารกหายใจ แต่มีอัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้งต่อนาที
5) ทารกที่มีภาวะ cyanosis แม้ว่าได้ให้100% ออกซิเจน
ขั้นตอนการทำ PPV
1) จัดท่าให้ทารก โดยใช้ผ้ารองรับหัวไหล่ให้ยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณ 1 นิ้ว
2) ทำให้ศีรษะแหงนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
3) อย่าให้หน้าและคอแหงนมากเกินไป เพราะจะทำให้หลอดลมตีบและแคบลง
4) เลือกขนาดของ mask ให้เหมาะสมกับทารก
5) การจับ mask ควรกด mask ให้แนบสนิทกับใบหน้า
3.การนวดหัวใจ (Chest compression
ข้อบ่งชี้ในการนวดหัวใจทารก
ขณะที่ทำ PPV แต่ HR < 60 bpm หรืออยู่ระหว่าง 60-80 bpm
ทารกที่คลอดออกมาแล้วหัวใจไม่เต้น โดยที่ไม่ได้คาดหมายมาก่อน
ทารกในกลุ่ม Severe asphyxia
หลักการนวดหัวใจ
ใส่ ET tube และ PPV โดยใช้ออกซิเจนร้อยละ 100 พร้อมกับนวดหัวใจ
อัตราการนวดหัวใจ:การช่วยหายใจ เท่ากับ 3:1
โดยกดลงที่ตำแหน่ง lower third ของ sternum ความลึก 1/3 ของ A-P diameter ของทรวงอก ด้วยอัตรา 120 ครั้งต่อนาที (นับ “หนึ่งและสองและสามและบบีและ…ซ ้า”)
จะเท่ากับการกดหน้าอก 90 ครั้งและช่วยหายใจ 30 ครั้ง ต่อ 1 นาที
วิธีที่ 1
Two-finger technique คือ การเอานิ้วกลางและนิ้วชี้วางลงบนกระดูกหน้าอก (sternum) ในระดับต่ำกว่าราวนมและเหนือลิ้นปี่ในแนวตรง โดยให้ระดับของนิ้วทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกัน กดลงลึกประมาณ 1/3 ของ anterior-posterior diameter ของทรวงอกทารก
วิธีที่ 2
Thumb technique คือ ใช้หัวแม่มือทั้ง 2 ข้างกดกระดูกอก ส่วนนิ้วที่เหลืออีก 4 นิ้วสอดใต้ตัวทารกไว้ทั้ง 2 ข้าง หัวแม่มือวางให้ชิดกันหรือซ้อนกันก็ได้
การใส่ท่อหลอดลมคอ (Endotracheal intubation)
ข้อบ่งชี้ในการใส่ท่อหลอดลมคอ
1) ทารกที่มีอาการขาดออกซิเจนระดับรุนแรง (Severe asphyxia)
2) อัตราการเต้นของหัวใจทารกต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที
3) กรณีที่ทำ PPV ผ่าน mask แล้วอาการขาดออกซิเจนและการหายใจของทารกไม่ดีขึ้นจึงจำเป็นต้องทำ PPV ผ่าน ET tube และนวดหัวใจ
4) ทารกที่จำเป็นต้องได้รับยาช่วยในการกู้ชีพ ซึ่งได้แก่ ยา epinephrine หรือadrenaline
5) ทารกต้องได้รับการช่วยหายใจต่อหลังจากช่วยกู้ชีพ
การใส่ET tube
จัดท่าศีรษะอยู่ในลักษณะแบบเดียวกับการช่วยหายใจด้วย PPV
ควรเลือกขนาดของ ET tube ให้เหมาะสมกับตัวทารก
เมื่ออาการดีขึ้นจนไม่ต้องช่วยหายใจแล้ว ไม่ควรรีบถอด endotracheal tube ออก
ควรใส่คาไว้สักพัก เช่น 30 -60 นาที
การให้ยา เตรียมยา adrenaline และ sodium bicarbonate ให้พร้อมใช้
adrenaline
หากทารกไม่ตอบสนองต่อการทำ PPV ด้วยออกซิเจน 100% และนวดหัวใจไปประมาณ 30 วินาทีควรแก้ไขด้วยการให้ยากระตุ้นการเต้นของหัวใจ คือ adrenaline ความเข้มข้น 1:10,000 ขนาด 0.1-0.3 มล./กก. ทาง ET tube หรือทาง umbilical vein
sodium bicarbonate
American Heart Association 2015 ไม่แนะนำให้ใช้
เนื่องจาก sodium bicarbonate จะถูกเปลี่ยนเป็น CO2 อาจจะทำให้มีการคั่งของ CO2 มากขึ้น
เลือดยังมีภาวะเป็นกรดมากจากภาวะ metabolic acidosis อาจพิจารณาให้ในขนาด 1-2 mEq/kg โดยผสมกับ sterile water เท่าตัวเพื่อให้เจือจางและฉีดเข้าเส้นเลือดดำช้า ๆ ทาง umbilical vein ไม่เร็วเกิน 1 mEq/kg/นาที
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เนื้อเยื่อร่างกายขาดออกซิเจนเนื่องจากทารกมีภาวะหายใจลำบาก
มีโอกาสชักเนื่องจากสมองถูกทำลายจากการขาดออกซิเจน
มีโอกาสหัวใจเต้นผิดปกติ ไตทำงานผิดปกติ และเนื้อเยื่อลำไส้ตามเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงส่วนปลายไม่เพียงพอ
มีโอกาสเกิดการเจริญเติบโตและพัฒนาการล่าช้าเนื่องจากภาวะเจ็บป่วย
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเจ็บป่วยของทารกและแผนการรักษาที่ทารกได้รับ
9.6 6. ภาวะสูดสำลักขี้เทา (Meconium Aspiration syndrome)
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ทารกหายใจเอาขี้เทา ซึ่งปนอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ
สาเหตุ
เกิดจากการขาดออกซิเจนกระตุ้นให้ทารกมีการหายใจทำให้ทารกหายใจเอาขี้เทาที่ตนเองถ่ายไว้เข้าไป
มักพบในทารกอายุครรภ์เกินกำหนด ภาวะครรภ์เป็นพิษการคลอดยาวนาน น้ำหนักแรกคลอดน้อย เป็นต้น
พยาธิสรีรวิทยา
ทารกในครรภ์ที่มีการขาดออกซิเจน
กระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และหูรูดทวารหนักคลายตัว
ขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำ
ทารกสูดสำลักขี้เทานี้เข้าสู่ทางเดินหายใจ
หากสำลักก้อนขี้เทามีขนาดใหญ่จะมีผลอุดตันอย่างสมบูรณ์และอากาศถูกกักอยู่ในถุงลม ทำให้บริเวณนั้นเกิดภาวะถุงลมโป่งพอง (hyperinflation) ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศ (pneumothorax)
ต่อมาทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบจากสารเคมี (chemical inflammation)
การแลกเปลี่ยนของก๊าซของถุงลมปอดและหลอดเลือดฝอยเสียไป
1 more item...
อาการและอาการแสดง
ระดับรุนแรงน้อย
ทารกจะหายใจเร็ว ทำให้ความดันคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ค่าความเป็นกรด-ด่างของเลือดเข้าสู่ภาวะปกติ อาการจะหายไปภายใน 24 ชม.
ระดับรุนแรงปานกลาง
การหายใจถูกกด เกิดกลุ่มอาการหายใจลำบาก ได้แก่ หายใจเร็ว ช่องซี่โครงยุบขณะหายใจ เขียวคล้ำ อาการค่อย ๆ ทวีความรุนแรงและมีความรุนแรงสูงสุดภายใน 24 ชั่วโมง หายได้ภายใน 4-7 วัน หากไม่มีอาการแทรกซ้อน
ระดับรุนแรงมาก
ทารกจะมีการหายใจล้มเหลวทันทีหลังคลอดหรือ 2-3 ชั่วโมงหลงคลอด
การหายใจถูกกดชัดเจน
หายใจมีเสียงผิดปกติ (rales, rhonchi และ crackle)
อาจมีอาการขาดออกซิเจนในเลือดอย่างรุนแรง และอาการไม่ดีขึ้นเมื่อให้ออกซิเจน
ในรายที่สูดสำลักขี้เทาเข้าไปมากอาจเสียชีวิตทันทีหลังคลอดหรือภายใน 24 ชม.
นอกจากนี้อาจพบสายสะดือมีสีเหลือง (yellowish staining)
แนวทางการรักษา
ดูดขี้เทาและน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกของทารกให้ได้มากที่สุดก่อนที่ทารกจะหายใจ
2.กรณีทารกอาการไม่ดี(non-vigorous) ให้ดูดน้ำคร่ำโดยใช้ laryngoscope และ endotracheal tube
3.กรณีทารกอาการดี (vigorous) แต่ตรวจพบว่ามีขี้เทาปริมาณมาก ให้สังเกตอาการและการหายใจอย่างใกล้ชิดใน 1-2 ชม. แรกหลังคลอด ต่อมาทุก 2 ชม. จนครบ 12 ชม.
4.กรณีพบน้ำคร่ำสีเขียวจาง ๆ (thin meconium) และทารกอาการดี ให้สังเกตอาการและการหายใจอย่างใกล้ชิดใน 1-2 ชม.แรก
5.ภายหลังการทำทางเดินหายใจโล่งแล้วแต่อาการทารกยังไม่ดีขึ้น ให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
6.งดอาหารและน้ำทางปาก ดูแลให้10% Dextros in water ทางหลอดเลือดดำ
7.ตรวจ arterial blood gas เพื่อประเมินภาวะความเป็นกรดของเลือด
8.ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อที่ปนเข้าไปกับขี้เทา
บทบาทการพยาบาล
จัดให้ทารกนอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย หรือตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง
ให้ลูกสูบยางแดงหรือสาย suction ขนาดเล็ก ดูดขี้เทาและน้ำคร่ำจนกว่าจะหมด
กระตุ้นให้ร้องและดูแลให้ออกซิเจน
รักษาร่างกายทารกให้อบอุ่น โดยจัดให้นอนใน radiant warmer ที่อุณหภูมิ 36.5-37 องศาเซลเซียส
สังเกตอาการผิดปกติโดยเฉพาะการหายใจ หากมากกว่า 60 ครั้งต่อนาทีให้รายงานแพทย์
บอกถึงอาการและความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาลทารกให้มารดาและบิดาทราบ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดเนื่องจากมีภาวะหายใจลำบากจากการสูดสำลักขี้เทา
ทารกเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากเซลล์เยื่อบุของถุงลมปอดเกิดการอักเสบจากการระคายเคืองของขี้เทาที่สูดสำลักเข้าไป