Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิธีการศึกษาทางวิทยาการระบาด (การศึกษาวิทยาการระบาดเช…
วิธีการศึกษาทางวิทยาการระบาด (การศึกษาวิทยาการระบาดเชิงวิเคราะห์)
2.4 การศึกษาชนิดย้อนหลังบวกไปข้างหน้า (Retro- prospective study )
2.3 การศึกษาไปข้างหน้า (prospective study) หรือการศึกษาติดตามกลุ่มศึกษา (cohort study)
ข้อดี (จุดแข็ง)
สามารถวางเเผนและควบคุมการเก็บข้อมูลให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ช่วยบอกถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ โดยมีการเรียงลำดับจากปัจจัยที่ได้รับไปสู่การเกิดโรคหรือผล
สามารถวัดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคได้โดยตรง
ข้อเสีย (จุดอ่อน)
ไม่ค่อยได้ประโยชน์ในกรณีของโรคพบยาก (rare diseases) หรือระยะปรากฏโรคยาว (Long latency)
พบปัญหากลุ่มที่ออกจากการศึกษา
ต้องการขนาดตัวอย่างจำนวนมาก เสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลามาก
การวิเคราะห์ผล
1) อุบัติการณ์ของการเกิดโรค (incidence)
สำหรับการศึกษาวิทยาการระบาดเชิงวิเคราะห์ชนิดไปข้างหน้า การคำนวณหาค่าอุบัติการณ์ของการเกิดโรคสามารถหาได้ทั้งสัดส่วนอุบัติการณ์ (incidence proportion) และอัตราอุบัติการณ์ (Incidence rate)
2) ความเสี่ยงสัมพัทธ์ (relative risk, RR)
ค่าที่แสดงว่า การได้รับหรือไม่ได้รับสิ่งสัมผัสปัจจัยสศึกษา ทำให้เสี่ยงต่อการเกิด โรคมากน้อยเป็นกี่เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่มีหรือไม่ได้รับสิ่งสัมผัสนั้น การเกิดโรคที่ได้จากการคำนวณจากทั้ง กลุ่มที่ได้รับสัมผัสปัจจัยและในกลุ่มสัมผัสปัจจัย
3) อัตราเสี่ยงกระทบ (attributable risk, AR)
ค่าความแตกต่างของอุบัติการณ์ระหว่างกลุ่มที่มี
ปัจจัย และอุบัติการณ์ของกลุ่มที่ไม่มีปัจจัย เป็นดัชนีที่มีความสำคัญทางด้านสาธารณสุข (public health significance ) ดัชนีนี้ช่วยบอกว่าปัจจัยใดเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคที่สำคัญที่ควรต้องควบคุมก่อน ถ้าควบ คุมหรือลดปัจจัย ดังกล่าวนั้น จะทำให้สัดส่วนการเกิดโรคลดลงในขนาดหรือร้อยละเท่าใด (% AR)
4) ร้อยละของอัตราเสี่ยงกระทบ (attributable risk percent, AR%)
ใช้แสดงถึง ร้อยละของโรคในกลุ่มที่ได้รับปัจจัยเสี่ยง ที่จะลดลงได้ถ้าขจัดปัจจัยเสี่ยงนั้น12.17, 20-23 ออกไปได้ (ในกรณีที่ปัจจัยนั้นเป็น risk factor) หรือปัจจัยน้ันเป็นปัจจัยป้องกัน
5 ) ช่วงความเชื่อมั่นที่ระดับร้อยละ 95 (95% confidence interval, 95% CI)
มักจะสุ่มตัวอย่างมาศึกษาเสมอๆ ดังนั้นผลการศึกษา ที่ได้จะไม่สามารถระบุได้ว่า ค่าสถิติจริงๆ ในประชากรเป็นเท่าไร (population parameter) และในปฏิบัติ ก็มักจะสุ่มมาทำแค่ครั้งเดียว
เป็นการศึกษาเปรียบเทียบความชุกของโรค โดยเริ่มติดตามจากประวัติอดีตที่กำหนด ระยะเวลาเริ่มใช้ระวัติ เช่น10ปีที่ผ่านมาและติดตามไปข้างหน้าระยะยาวจนถึง ณ เวลาหนึ่ง
จาก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่สัมผัสปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค( Exposed ) และกลุ่มที่ไม่สัมผัสปัจจัยเสี่ยง (Not exposed)
2.2 การศึกษามีกลุ่มควบคุม (case-control study) หรือการศึกษาย้อนหลัง (retrospective study)
ข้อดี (จุดแข็ง)
ช่วยประเมินปจจัยที่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคพร้อมกันได้หลายปัจจัย (Multiple exposure)
ทุนค่าใช้จ่าย ไม่แพง
ได้ผลเร็วในระยะเวลาสั้น
รูปแบบการศึกษาที่ดีมากสำหรับโรคที่พบยาก (Rare disease)
ข้อเสีย (จุดอ่อน)
การกำหนดหรือเลือกกลุ่มควบคุมที่เหมาะสมทำได้ยาก
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงหรือมีระยะของโรคสั้นอาจเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลน้อย
1.ไม่สามารถบอกความชุกหรืออุบัติการณ์ของโรคได้ อัตราเสี่ยงของโรคไม่สามารถวัดได้โดยตรง
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การศึกษาแบบ case-control study เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับ exposure คาดว่าจะเป็น สาเหตุของการเกิดโรค ทั้งในกลุ่ม case และ control การศึกษานี้ มักจะมีการสัมภาษณ์ ให้ตอบแบบสอบถาม หรือ ใช้การทบทวนข้อมูลจากบันทึกทางการแพทย์
การวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลผล
การคำนวณค่า odds ใน case-control study
odds ของการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มที่
เป็นโรค
คือ [ a/a + c) ] / [ c(a + c) ]= a/ c
odds ของการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มที่
ไม่เป็นโรค
คือ [ b/(b + d) ]/ [ d/(b + d) ] = b / d
การวิเคราะห์ข้อมูล
odds ratio มีแนวทางในการแปลผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่คำนวณได้ ดังนี้
OR < 1 หมายความว่ากลุ่มที่สัมผัสปัจจัยมีความน่าจะเป็นโรคต่ำกว่า (ปัจจัยป้องกัน)
OR = 1 หมายความว่ากลุ่มที่สัมผัสหรือไม่สัมผัสปัจจัยมีความน่าจะเป็นโรคเท่ากัน
OR > 1 หมายความว่า กลุ่มที่สัมผัสปัจจัยมีความน่าจะเป็นโรคสูงกว่า (ปัจจัยเสี่ยง)
ในการศึกษามีกลุ่มควบคุมซึ่งประกอบด้วยกลุ่มป่วยและกลุ่มควบคุมกลุ่มที่ศึกษาจะเป็นผู้ป่วยซึ่งเกิดโรคอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมีความผิดปกติขึ้น หรือมีความพิการ ส่วนกลุ่มควบคุมจะเป็นประชากรทั่วไป การศึกษาย้อนหลังไปในอดีตที่ผ่าน มาเพื่อทาการค้นหา การสัมผัสที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคนั้นสาหรับการเลือกกลุ่มควบคุมในการศึกษานี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก
2.1 การศึกษาภาคตัดขวาง (cross-sectional study )
ข้อเสีย (จุดอ่อน)
ไม่ได้ประโยชน์ในการศึกษาที่พบยาก (rare disease) และปัจจัยที่พบยาก
ไม่สามารถบอกความสัมพันธ์เชิงสาเหตุได้
เสี่ยงต่อการเกิดความลำเอียง
ข้อดี (จุดแข็ง)
สามารถศึกษาจากประชากรทั้งหมด หรือตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากร
ช่วยวัดความชุกของปัจจัยที่ทำการศึกษาทุกปัจจัย
เป็นการศึกษาเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบต่างๆกับโรคในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วยในการสร้างและทดสอบสมติฐาน
เป็นขั้นแรก ท่ีใช้ในการศึกษาเชิงวิเคราะห์และการศึกษาเชิงทดลองต่อไป
เป็นการศึกษาเพื่อทำการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคกับปัจจัยที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุของโรคนั้นๆ เพื่อที่ได้จะตอบปัญหาว่าโรคนั้น ๆ เกิดจากสาเหตุอะไร โดยมีกลุ่มตัวอย่างอย่างน้อยสองกลุ่มเพื่อทำการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยและโรคในแต่ละกลุ่มว่าแตกต่างกันอย่างไร
เป็นการศึกษาแบบเฝ้าสังเกต (Observational study) แต่ล่ะกลุ่มที่ได้รับปัจจัยและไม่ได้รับปัจจัยตามความเป็นจริงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ