Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย - Coggle Diagram
สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย
การควบคุมความสมดุลของกรด - ด่าง
ในภาวะปกติ pH ในเลือดแดง (arterial blood pH) มีค่าประมาณ 7.4และ pH ใน เลือดดำ (venous blood pH) มีค่าประมาณ 7.35 pH ในเลือดดำต่ำกว่าในเลือดแดงเนื่องจากในเลือดดำ มีคาร์บอนไดออกไซด์
ในภาวะปติของร่างกาย
metabolism ของร่างกายจะเกิดกรดตลอดเวลา เนื่องจาก oxidation ของอาหาร กรดเหล่านี้แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
การวัดระดับความเป็นกรดด่าง
ในเลือดแดง pH ปกติมีค่า 7.35-7.45
ในเลือดดำและในช่องว่างระหว่างเซลล์ pH มี่ค่าประมาณ 7.35
ภายในเซลล์ pH ปกติอยู่ระหว่าง 6.0-7.4 แตกต่างกันในเซลล์ต่างๆ
pH ในเลือดแดงมีค่า >7.45 เรียกว่า alkalosis
pH ในเลือดแดงมีค่า <7.35 เรียกว่า acidosis
การควบคุมกรด-ด่าง โดยระบบหายใจ
ถ้า CO2 มาก เช่น การออกกำลังกายจะมีผลให้ศูนย์ควบคุมการหายใจ คือ เมดัลลาออบลองกาตา ส่งกระแสประสาทไปสั่งให้กล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงทำงานมากขึ้น เพื่อจะได้หายใจออกถี่ขึ้น CO2ในเลือดจะลดลงถ้า CO2 น้อยจะไปยับยั้งเมดัลลาออบลองกาตาให้ไปมีผลควบคุมกล้ามเนื้อดังกล่าวน้อยลงกลไกดังกล่าวจะแก้ไขความเป็นกรดเป็นเบสในเลือดได้เพียง 50-70 %
การควบคุมภาวะกรด-ด่างโดยไต
ไตสามารถปรับระดับกรดหรือเบสออกทางน้ำปัสสาวะได้มาก ระบบนี้จึงมีการทำงานมาก สามารถแก้ไข สภาพ pH ที่เปลี่ยนไปมาก ให้กลับเข้าที่ได้ แต่ใช้เวลานาน
สมดุลของน้ำอิเล็คโตรไลท์และภาวะกรดด่างในร่างกาย
หน้าที่ของน้ำภายในร่างกาย
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ช่วยในการดูดซึมและแพร่กระจายของสารต่างๆ
เป็นตัวกลางในการนํา สารต่างๆ ไปยังระบบที่เหมาะสม
ใช้ในปฏิกิริยาเคมีที่สําคัญ ในร่างกายเช่น การสลายATP (adenosine triphosphate ) เพื่อให้ได้พลังงาน
ควบคุมการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของส่วนนั้นๆ
ร่างกายสูญเสียน้ำ 2 ทาง คือ
ทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้(insensible perspiration) ประมาณ 500-800 ml.ได้แก่ ทางผิวหนัง 300 ml. ปอด 300-500 ml. ขึ้นอยู่กับ
อัตรําเมตําบอลิซึม
อุณหภูมิของร่างกาย
ความชื้น
อุณหภูมิของอากาศ
กิจกรรมที่ทำ
อารมณ์
ทางที่ปรับสมดุลได้ (insensible perspiration) ได้แก่
ทางเดินอาหารออกไปกับอุจจาระ 100-200 ml.
ผิวหนังโดยทางเหงื่อ 0-10 ml. (5000 ml.ถ้าออกกําลังกายหนัก )
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ 500-3000 ml.
การควบคุมสมดุลน้ำในร่างกายอาศัยการควบคุม 2 ทาง คือ
การกระหายน้ำควบคุมโดยปริมาตรน้ำและความเข้มข้นของพลาสมาศูนย ์กระหายน้ำในไฮโปธาลามัส (Hypothalamus)
การขับปัสสาวะ อาศัยไต ควบคุมโดยความเข้มข้น และปริมาตรของพลาสมา
ภาวะขาดน้ำ
ภาวะขาดนำ้ (Fluid deficitหรือ Dehydration) คือภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำ มากกว่าที่ได้รับอาจขาดเฉพาะน้ำไอย่างเดียวหรือขาดน้ำมากกว่าเกลือ(hypertonic dehydration) ขาดทั้งน้ำและเกลือ(isotonic dehydrationหรือ hypotonic dehydration)
อาการขาดน้ำ
อาการขาดน้ำที่รุนแรงน้อยถึงปํานกลาง ได้แก่ ผิวแห้ง , ริมฝีปาก, ช่องปากแห้ง,อ่อนเพลีย, เหนื่อยง่าย, ปัสสาวะน้อย, มึนหัวเวียนศีรษะ
Body Electrolytes
Hyponatremia ภาวะที่มีซีรั่มโซเดียมน้อยกว่า 135 mEq/L เป็นความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ที่พบบ่อยในเด็ก สาเหตุหลักคือมี free water เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ป่วยอาจมี hypovolemia ปริมาตรของ ECลดลง
อาการและอาการแสดง
ขึ้นอยู่กับความรุนแรง ระยะเวลาและอัตราเร็วของการลดลงของซีรั่มโซเดียม อาการและอาการแสดงเกิดจากการที่น้ำเข้าเซลล์และทำให้สมองบวม ที่พบบ่อยได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระดับความรู้สึกตัวลดลงและชัก
การวินิจฉัย
นิจฉัยแยกภาวะ pseudohyponatremia หรือ normoosmolar hyponatremia ซึ่งเกิดจาก hypertriglyceridemia, hypercholesterolemia หรือ hyperproteinemia และ hyperosmolar หรือ translocational hyponatremia ซึ่งเกิดจากมีกลูโคส mannitol, glycerol และ radiocontrast agent เพิ่มขึ้น
สาเหตุ
Hyponatremia อาจเกิดจากการสูญเสียของเหลว และอิเล็กโทรไลต์ในร่างกายจากหลายสาเหตุ เช่น วิถีการใช้ชีวิต อาการเจ็บป่วย หรือภาวะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การใช้ยาบางชนิด
ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาระงับปวด และยาขับปัสสาวะ อาจทำให้เสียน้ำในร่างกาย หรือปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
ฮอร์โมนผิดปกติ
ต่อมหมวกไตทำหน้าที่หลั่งฮอร์โมนเพื่อช่วยรักษาสมดุลของน้ำ โซเดียม และโพแทสเซียมในร่างกาย หากต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ อาจทำให้ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ
ภาวะขาดน้ำ
เป็นสาเหตุให้ร่างกายอาจสูญเสียของเหลวและอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งอาจเกิดจากการอาเจียนอย่างหนัก หรือท้องเสียอย่างรุนแรง
ดื่มน้ำมากเกินไป
อาจพบได้ในนักวิ่งมาราธอน หรือนักไตรกีฬา ที่ดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ เพื่อทดแทนเหงื่อที่สูญเสียไป ซึ่งการดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้ระดับโซเดียมในเลือดลดลงได้
ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ไต และตับ
ภาวะหัวใจวาย หรือภาวะอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อการทำงานของไตและตับ อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกไปได้ และส่งผลให้ระดับโซเดียมในเลือดลดลง
การใช้สารเสพติด
การใช้ยาอี (Ecstasy) เสี่ยงทำให้ Hyponatremia มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
Hypernatremia หมายถึง ภาวะที่ plasma Na สูงกว่า 145 mmol/L โดยทั่วไปมักพบร่วมกับภาวะ hyperosmolarity ด้วย ส่วนใหญ่ของภาวะ hypernatremia เกิดจากการลดลงของปริมาณน้ำในร่างกาย ซึ่งมักมีสาเหตุจากความผิดปกติในระบบกระหายน้ำ (thirst) หรือไม่สามารถดื่มน้ำได้
ภาวะนี้ โดยทั่วไปแล้วพบน้อยมาก hypernatremia มักพบในผู้ป่วยที่ซึม ไม่รู้สติ ไม่สามารถดื่มน้ำเองได้, ผู้ที่ขาดความรู้สึกกระหายน้ำ หรือเด็กเล็กๆ ที่ไม่สามารถหาน้ำดื่มได้เอง
อาการและอาการแสดง
อาการทางระบบประสาท ซึม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร กระหายน้ำ ชัก อาการมาก น้อย ขึ้นกับระดับของ hypernatremia และอัตราการเพิ่มของระดับโซเดียม
อาการทางระบบไหลเวียนโลหิต น้ำจะถูกดึงมาสู่ ECF ทำให้อาการของการขาดน้ำมีน้อย ไม่สมดุลย์กับประวัติของการขาดน้ำ ส่วนในกรณีที่ได้รับโซเดียมเกิน จะทำให้มีการดึงน้ำไว้ในระบบไหลเวียนมาก บางครั้งอาจทำให้มีอาการของหัวใจวาย, polmonary edema หรือความดันโลหิตสูงได้
อาการอื่นๆ เช่น DI จะมีอาการดื่มน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย
Hypokalemia คือ ภาวะที่มีโพแทสเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ อาจทำให้ผู้ป่วยท้องผูก อ่อนล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อกระตุก ภาวะนี้อาจเกิดจากการอาเจียนอย่างหนัก ท้องเสียหลายครั้ง ใช้ยาขับปัสสาวะหรือยาระบายมากเกินไป ทำให้ไตขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายมากเกินไป
สาเหตุ
สาเหตุหลักของ Hypokalemia คือ การใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งมักใช้ในผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคหัวใจ จนอาจทำให้ร่างกายสูญเสียโพแทสเซียมปริมาณมากนอกจากนี้ Hypokalemia อาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น
อาเจียนหรือท้องเสียอย่างหนัก
ใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิด
ใช้ยาระบายมากเกินไป หรือติดต่อกันนานเกินไป
ใช้ยาหอบหืดบางชนิด
เหงื่อออกมากเกินไป
ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ
ระดับแมกนีเซียมต่ำ
อาการ
ลักษณะและความรุนแรงของอาการ Hypokalemia ขึ้นอยู่กับระดับของโพแทสเซียมในเลือด หากโพแทสเซียมลดลงเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจยังไม่ปรากฏอาการใด ๆ หรืออาจมีอาการไม่รุนแรงนัก เช่น
ท้องผูก
อ่อนล้า
กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือปวดเกร็ง
เป็นเหน็บชา
Hyperkalemia หรือโพแทสเซียมในเลือดสูง คือภาวะที่มีปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน สาเหตุมักเกิดจากความผิดปกติของไต เช่น ไตวายเฉียบพลัน โรคไตเรื้อรัง
ส่งผลให้ไตมีความสามารถในการกำจัดโพแทสเซียมที่ร่างกายไม่ต้องการลดลง ซึ่งหากมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงมากอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สาเหตุ
ภาวะ Hyperkalemia มักเกิดจากความผิดปกติของไต เช่น โรคไตเรื้อรัง หรือไตวายเฉียบพลัน ทว่าอาจมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากสาเหตุข้างต้นได้เช่นกัน
การวินิจฉัย
การตรวจเลือด หากผลการตรวจเลือดในครั้งแรกชี้ว่าผู้ป่วยมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติ แพทย์อาจแนะนำให้เก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง เนื่องจากค่าระดับโพแทสเซียมในเลือดที่สูงนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทำให้มีโอกาสที่ผลการตรวจจะผิดพลาดได้
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG) เป็นการตรวจดูจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่อาจบ่งบอกถึงการมีภาวะ Hyperkalemia ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหากมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ภาวะ Hyperkalemia ได้เช่นกัน
การรักษา
รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ ควรจำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่ได้รับไม่เกิน 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน
งดใช้ยาที่ส่งผลให้ปริมาณโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้น
ฉีดกลูโคสและฮอร์โมนอินซูลินเข้าเส้นเลือดเพื่อช่วยพาโพแทสเซียมจากภายนอกเซลล์กลับเข้าสู่ภายในเซลล์
POCALCEMIA)
Hypocalcemia (ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ) คือ ภาวะที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อาจเกิดขึ้นได้หากร่างกายสูญเสียแคลเซียมปริมาณมาก หรือร่างกายไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมจากอาหารได้อย่างเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ตามมา
อาการ
เวียนศีรษะ
เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อกระตุก
มีอาการชา เสียวหรือปวดคล้ายถูกเข็มแทงตามใบหน้า ปาก มือ หรือเท้า
สั่น หรือทรงตัวลำบาก
หัวใจเต้นช้า
สาเหตุ
Hypocalcemia นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบได้บ่อย คือ ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ เพราะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (Parathyroid Hormone) จะทำหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด ซึ่งภาวะดังกล่าวอาจเกิดจากพันธุกรรม เป็นผลมาจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือการป่วยเป็นมะเร็งบริเวณศีรษะและคอ
Hypercalcemia หรือภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เป็นภาวะที่อาจทำให้กระดูกของผู้ป่วยอ่อนแอลง ทำให้เกิดนิ่วในไต และส่งผลต่อการทำงานของสมองและหัวใจได้ เนื่องจากมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงกว่าปกติ โดยภาวะนี้มักเกิดจากต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การใช้ยาบางชนิด การบริโภคแคลเซียมหรือวิตามินดีเสริมมากเกินไป โรคมะเร็งหรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ เป็นต้น
สาเหตุ
ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด อาจเกิดจากการมีเนื้องอก หรือต่อมพาราไทรอยด์ขยายใหญ่ขึ้น โดยเพศหญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปจะเสี่ยงเกิดภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินได้มากกว่าคนทั่วไป
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง หากมีของเหลวในกระแสเลือดน้อยอาจทำให้ระดับแคลเซียมเพิ่มสูงขึ้นได้ โดยเป็นสาเหตุของภาวะ Hypercalcemia ที่ไม่รุนแรงหรือเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด
การเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ หากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งหรือนอนบนเตียง เมื่อกระดูกไม่ได้ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักเป็นเวลานาน อาจทำให้กระดูกสลายแคลเซียมสู่กระแสเลือดได้