Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่มีอาการเขียว - Coggle Diagram
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดไม่มีอาการเขียว
1.ความผิดปกติของผนังกั้นหัวใจห้องบน ( Atrial Septal Defect : ASD
อาการและอาการแสดง
ส่วนใหญ่จะไม่ปรากฏ โดยเฉพาะในรายที่มีรูรั่วขนาดเล็ก เด็กจะเจริญเติบโตได้ปกติ แต่ถ้ารูรั่วมีขนาดใหญ่ จะมีอาการอ่อนเพลียเวลาออกกำลังกาย เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก เป็นหวัดหรือปอดบวมบ่อยๆ มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ การเจริญเติบโตมักจะเป็นปกติ ทราบว่าป่วยเป็นโรคหัวใจจากการตรวจร่างกายทั่วไปได้ยิน systolic murmur
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ : หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย อกบุ๋ม ไม่มีอาการเขียว ตัวเล็ก
การตรวจร่างกาย : ตรวจพบ ventricle ขวาโต เสียงที่หนึ่ง (S1) ต่ำกว่าปกติที่บริเวณลิ้นไตรคัสปิด
ภาพรังสีทรวงอก (chest x–ray) : พบหัวใจโตเล็กน้อย มี ventricle ขวาโต และอาจจะมี atrium ขวาโต มีหลอดเลือดที่ปอดเพิ่ม
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : อาจมี atrium ขวาโต พบว่า มี P wave สูงแหลม
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : ขนาดของ atrium ขวาและ ventricle ขวารวมทั้งหลอดเลือดแดง pulmonary มีขนาดใหญ่ขึ้น เห็นรูรั่วบริเวณผนังกั้นหัวใจห้องบนชัดเจน
พยาธิสภาพ
เลือดแดงในหัวใจห้องบนซ้ายมีความดันสูงกว่าด้านขวา จะไหลผ่านตรงทางรูรั่วที่ผิดปกติ เข้าหัวใจห้องบนขวาลงสู่ห้องล่างขวา เป็นผลให้เกิด Left to right shunt ทำให้หัวใจห้องบนขวาและห้องล่างขวาโตและขยายตัวขึ้น เนื่องจากต้องทำหน้าที่เพิ่มขึ้น
การรักษา
พบว่า ASD ปิดได้เองในช่วงอายุ 3 ปี ถ้ารูรั่วมีขนาดเล็กกว่า 5 มม.แต่ถ้ารูรั่วมีขนาดใหญ่โรคนี้อาจดำเนินต่อไป ส่วนใหญ่เด็กจะมีชีวิตอยู่ได้ใกล้เคียงกับคนปกติ โดยไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย
การรักษาทางยาเมื่อเกิดภาวะหัวใจวายหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ได้แก่ ยา digitalisยาขับปัสสาวะ ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
การผ่าตัด สามารถทำได้เมื่อวัยก่อนเข้าเรียนหรือทำก่อนถ้าเด็กมีอาการโดยการเย็บปิดผนังกั้นของ ASD หรือเย็บซ่อมลิ้นหัวใจ mitral
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะหัวใจวาย เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
การพยาบาล
1.จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 20-30 องศา หรือท่านั่งเพื่อลดการทำงานของหัวใจ และลดความดันที่กระบังลมให้ปอดขยายเต็มที่
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
3.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและนอนหลับ
อย่างเพียงพอเพื่อช่วยลดการทำ งานของหัวใจ
4.ดออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยาน
กระโดด วิ่งว่ายนํ้า เล่นบอล หรือยกของหนักเป็นเวลานาน
5.ปรับอุณหภูมิร่างกาย ไม่ให้สูงหรือตํ่า
ความผิดปกติของผนังกั้นหัวใจห้องล่าง (Ventricular Septal Defect: VSD)
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกาย : พบเสียง murmur
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบ left atrium และ ventricle ทั้งสองโต
การซักประวัติ : หายใจเร็วผิดปกติ เด็กตัวเล็ก โตช้า
ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray)
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : มองเห็นขนาดรูรั่วและห้องหัวใจที่โตขึ้น
การรักษา
การผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดเพื่อบรรเทาอาการโดยการรัด pulmonary artery ให้เล็กลงในกรณีไม่สามารถควบคุมภาวะหัวใจวายได้ การผ่าตัดเย็บปิดรูพิการหรือการผ่าตัดเปิดหัวใจเพื่อแก้ไขความผิดปกติของหัวใจ
กรณีมีภาวะหัวใจวาย ให้ยา digitalis ยาขับปัสสาวะ ยาขยายหลอดเลือด
1.การดูแลสุขภาพทั่วไป เป็นการรักษาภาวะติดเชื้อและภาวะไข้ รวมทั้งโรคแทรกซ้อนอื่นๆ การให้ยาเพื่อป้องกัน Infective endocarditis
อาการและการแสดง
VSD ขนาดปานกลาง ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่าย ตัวเล็กและมีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย พัฒนาการทางร่างกายช้า ดูดนมลำบากต้องพักเหนื่อยตรวจพบหัวใจโตเล็กน้อย
VSD ขนาดใหญ่ มักจะเริ่มมีอาการเหนื่อยง่ายเมื่อทารกอายุประมาณ 1 – 2 เดือน เลี้ยงไม่โต ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย ตัวเล็ก หายใจเหนื่อยหอบ มักจะไม่มีอาการเขียวขณะอยู่นิ่ง แต่อาจจะเขียวเล็กน้อยเวลาร้อง หรือออกแรงมากๆ
VSD ขนาดเล็ก ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ การเจริญเติบโตปกติ
ภาวะแทรกซ้อน
อาจเกิดภาวะหัวใจวาย ติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ Eisenmenger’s syndrome, Aortic insufficiency
พยาธิสภาพ
ความผิดปกติของระบบการไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นผลมาจาก VSD จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของรูรั่วระหว่าง ventricle โดยที่เลือดจะไหลลัดจาก ventricle ซ้ายไปขวา ไหลไปสู่ปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจน แล้วไหลสู่หัวใจห้องบนซ้ายลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย ซึ่งต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นบีบตัวให้เลือดส่วนหนึ่งออกไปสู่ระบบไหลเวียนโลหิตทั่วร่างกาย
กิจกรรมทางการพยาบาล
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและนอนหลับ
อย่างเพียงพอเพื่อช่วยลดการทำ งานของหัวใจ
1.เฝ้าระวังและประเมินความเสี่ยงในการเกิด
ภาวะช็อกอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง ได้แก่ บันทึกและ
สังเกตจำ นวนและสีปัสสาวะ ฟังเสียง bowel sounds การประเมินชีพจรปลายมือปลายเท้า การประเมินขาด
เลือดของอวัยวะส่วนปลาย
3.งดออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยาน
กระโดด วิ่งว่ายนํ้า เล่นบอล หรือยกของหนักเป็นเวลานาน
Patent Ductus Ateriosus: PDA
การประเมินสภาพ
ถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) : พบ ventricle ซ้ายโต หลอดเลือด pulmonary artery
มีขนาดใหญ่ขึ้น หลอดเลือดที่ปอดเพิ่มขึ้น
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : พบว่าหัวใจล่างซ้ายโต
การตรวจร่างกาย ได้ยิน murmur ที่ลิ้น pulmonic ชีพจรเต้นแรง (bounding pulse) pulse pressure กว้างกว่า ½ ของความดัน systolic
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : พบว่า มีหัวใจด้านซ้ายโต วัดขนาดของ ductus
arteriosus ได้
การซักประวัติ : จากอาการตัวเล็ก น้ำหนักน้อย หายใจเร็ว
การรักษา
ในรายที่ไม่มีอาการ ควรทำการผ่าตัดโดยผูกหรือตัด ductus arteriosus เมื่อผู้ป่วยอายุเกิน 1 ปีไปแล้ว เนื่องจากก่อนอายุ 1 ปี มีโอกาสที่ ductus arteriosus อาจจะปิดได้เอง ในผู้ป่วย PDA ทุกราย ควรได้รับการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ เกิด pulmonary hypertension เนื่องจากการผ่าตัดปิด PDA ได้ผลดีมาก
การรักษาทางยา ในทารกแรกคลอดหรือทารกที่คลอดก่อนกำหนดและมีอาการหัวใจวายให้ยา Indomethacin 0.2 mg/Kg. ทางปากหรือหลอดเลือดดำซ้ำ 3 ครั้ง ห่างกัน 8 –12 ชม. ในการให้ยา Digitalis ถ้า HR น้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที ให้งดยามื้อนั้น ส่วนยาขยายหลอดเลือด ถ้า systolic blood pressure น้อยกว่า 70 mmHg ให้งดยามื้อนั้น แต่ถ้าการใช้ยาไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดผูกหลอดเลือด ductus arteriosus ด้วยไหมขนาดใหญ่
อาการและอาการแสดง
PDA ขนาดปานกลาง : ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยง่ายเล็กน้อย มีการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ
หัวใจซีกซ้ายโต พัฒนาการไม่สมวัย
PDA ขนาดใหญ่ : ผู้ป่วยจะมีอาการมากตั้งแต่วัยทารก ในทารกคลอดก่อนกำหนดจะมีหัวใจวาย เหนื่อยหอบ น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ มีอาการเขียวปลายนิ้วเท้า หัวใจโต
PDA ขนาดเล็ก : ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ ตรวจร่างกายพบหัวใจไม่โต หรือโตเล็กน้อยได้ยินเสียง murmur
พยาธิสภาพ
ความดันของเลือดในหลอดเลือด aorta สูงกว่าในหลอดเลือดแดง pulmonary เป็นเหตุให้เลือดไหลจาก aorta กลับมายังที่หัวใจห้องบนซ้ายลงสู่ห้องล่างซ้ายออกทาง aorta ใหม่วนเวียนไปเรื่อยๆ เลือดที่มีออกซิเจนไหลเวียนผ่านปอดใหม่ทำให้หัวใจด้านซ้ายทำงานมากกว่าปกติและเกิดหัวใจโต เมื่อเลือดแดงไหลเวียนไปสู่ปอดมากขึ้น จะทำให้ความดันในปอดสูง เกิด right to left shunt เลือดดำจะผสมกับเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนล่างของร่างกาย ทำให้เกิดอาการเขียวที่ขาและเท้า แต่แขนและใบหน้าไม่มีอาการเขียว เรียกภาวะนี้ว่า differential cyanosis ซึ่งในระยะท้ายจะเกิดภาวะหัวใจวายได้
การพยาบาล
ดูแลให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มี
โปรตีนและแคลอรี่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต
ดูแลให้นํ้าในปริมาณที่จำกัด หรือจำกัดปริมาณนมต่อวันตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการคั่งของน้าในร่างกาย
3.ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ยาที่ได้รับจะเป็นกลุ่มยา lanoxin เพื่อเพิ่มแรงบีบของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้มีเลือดออกไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น
4.ดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ปอดโดยดูแล
เรื่องความสะอาดของช่องปาก
5.หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นหวัดไอเจ็บคอ หรือหลีกเลี่ยงการพาบุตรไปที่ชุมชน หรือถ้าบุตรเริ่มเป็นหวัดควรรีบรักษาให้หาย
โดยเร็ว
6.ส่งเสริมสนับสนุนให้บุตรได้ออกแรง หรือ
ออกกำลังกาย เช ่น การเล ่นที่เหมาะสม
7.การมาตรวจตามนัดเป็นสิ่งสำคัญมากการมาพบแพทย์แต่ละครั้งเด็กจะได้รับการประเมินปัญหา
Pulmonary Stenosis (PS)
อาการและอาการแสดง
ชนิดที่มีการตีบแคบปานกลาง : ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหรือมีอาการเหนื่อยง่ายเพียงเล็กน้อยเวลาออกแรง พบ systolic murmur
ชนิดที่มีการตีบแคบมาก : ผู้ป่วยจะมีอาการของภาวะหัวใจซีกขวาวายหรือมีอาการเขียวเล็กน้อยในเด็กเล็กส่วนในเด็กโตมักมีอาการเหนื่อยง่าย อาจมีอาการเขียว พบ systolic murmur บางรายอาจมีการเป็นลมหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายได้
ชนิดที่มีการตีบแคบน้อย : ผู้ป่วยจะไม่มีอาการ อาจพบ systolic murmur
การประเมินสภาพ
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : ventricle ขวาโต atrium ขวาโต
ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) : พบมีการโป่งพองของ pulmonary artery หัวใจห้องบนและล่างขวาโต หลอดเลือดที่ปอดมักจะน้อยลง
การตรวจร่างกาย : ฟังได้ systolic murmur บริเวณอกด้านซ้ายด้านบน คลำได้ ventricleขวาโต
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : พบ atrium ขวาโต ventricle ขวาหนาขึ้น ดูโป่งพอง และมีการตีบแคบของหลอดเลือด pulmonary
การซักประวัติ
พยาธิสภาพ
เกิดการอุดกั้นของทางออกของ ventricle ขวา ทำให้ ventricle ขวาต้องบีบตัวแรงขึ้น เพื่อให้มีปริมาณของเลือดไปปอดเพียงพอ กล้ามเนื้อของ ventricle ขวาจึงหนาตัวขึ้น ส่งผลให้เลือดจาก atrium ขวาไหลลง ventricle ขวาได้ไม่สะดวก atrium ขวา จึงมีขนาดใหญ่และผนังหนาขึ้นและอาจทำให้ความดันใน atrium ขวาสูงกว่า atrium ซ้าย เกิดเลือดไหลลัดวงจรจาก atrium ขวาไปซ้าย (right to left shunt ) ทำให้เกิดอาการเขียวได้
การรักษา
ในรายที่มีอาการมาก ทำผ่าตัด pulmonary valvotomy และ balloon valvuloplasty เพื่อขยายลิ้นpulmonary
ให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ
รายที่เป็น mild pulmonary stenosis ไม่ต้องผ่าตัด
การพยาบาล
3.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและนอนหลับ
อย่างเพียงพอเพื่อช่วยลดการทำ งานของหัวใจ
4.ดออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยาน
กระโดด วิ่งว่ายนํ้า เล่นบอล หรือยกของหนักเป็นเวลานาน
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
5.ปรับอุณหภูมิร่างกาย ไม่ให้สูงหรือตํ่า
1.จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 20-30 องศา หรือท่านั่งเพื่อลดการทำงานของหัวใจ และลดความดันที่กระบังลมให้ปอดขยายเต็มที่
หลอดเลือดเอออร์ตาตีบ (Coarctation of Aorta: COA)
อาการและอาการแสดง
ในทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มาด้วยอาการของหัวใจวาย ได้แก่ หายใจเหนื่อยหอบ เลี้ยงไม่โต ตรวจร่างกายจะพบว่ามีหายใจเร็ว ชีพจรที่แขนจะแรงกว่าที่ขาในเด็กโตส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ ถ้ามีอาการมักจะเป็นผลจากภาวะแทรกซ้อน เช่น
ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย และติดเชื้อที่เยื่อหุ้มหัวใจ
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกาย
ขาอาจจะเย็นกว่าแขน
การไหลเวียนสู่ส่วนล่างไม่ดีทำให้มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน เป็นลม
ชีพจรส่วนบนของร่างกายแรง แต่ชีพจรส่วนล่างของร่างกาย เช่น femoral
ความดันโลหิตมักจะสูง
Turner’ s syndrome คือ ตัวเตี้ย เต้านม 2 ข้างห่างกัน
ถ้าเด็กออกกำลังกาย อาจมีอาการปวดขาหรืออ่อนแรง
เกิดตะคริวเนื่องจากเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน
รูปร่างหน้าตาปกติ บางคนมีร่างกายส่วนบนใหญ่ (hypertrophy) แต่ท่อนล่างเล็กเรียกว่า pop-eye appearance
การตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) : หัวใจห้องล่างซ้ายโตในเด็กโต ส่วนเด็กเล็กจะพบ ventricle ขวาโต
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiogram) : พบ hypoplasia ของ aortic isthmus อาจมี poststenosis dilation
ภาพรังสีทรวงอก (chest x-ray) : หัวใจห้องล่างซ้ายโต aorta ส่วนหน้าของบริเวณตีบแคบจะขยายใหญ่ขึ้น
การซักประวัติ : อาการและอาการแสดง
พยาธิสภาพ
aorta ส่วนที่เป็น coarctation แคบลง ทำให้หัวใจห้อง ventricle ซ้ายทำงานหนักมาก และaortic blood flow ลดลง เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง และทำให้การทำงานของ ventricle ซ้ายเสียไป เป็นผลให้ความดันเลือดใน atrium ซ้ายสูงขึ้น มี left to right shunt ทำให้เกิดอาการหัวใจวายในเด็กโตจะมีอาการที่สำคัญ คือ ความดันโลหิตในส่วนของแขนสูงกว่าที่ขา pulse pressureจะกว้าง
การรักษา
Transluminal angioplasty with Balloon dilation หลัง dilate อาจเกิด aneurysm ได้
รักษาทางยา digitalis ในรายที่มีภาวะหัวใจวาย
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง แนะนำให้ทำผ่าตัดเมื่ออายุ 4–5 ปี โดยทำการ ตัดหลอดเลือดส่วนที่ตีบออก และต่อส่วนปลายทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน (end to end anastomosis) หรือการตัดหลอดเลือดส่วนที่ตีบออก ซึ่งหลังผ่าตัดอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย คือ ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดทะลุ หัวใจวาย หัวใจอักเสบ และมีอาการระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน
การพยาบาล
3.ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนและนอนหลับ
อย่างเพียงพอเพื่อช่วยลดการทำ งานของหัวใจ
4.ดออกกำลังกาย เช่น การถีบจักรยาน
กระโดด วิ่งว่ายนํ้า เล่นบอล หรือยกของหนักเป็นเวลานาน
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
5.ปรับอุณหภูมิร่างกาย ไม่ให้สูงหรือตํ่า
1.จัดท่านอนศีรษะสูงประมาณ 20-30 องศา หรือท่านั่งเพื่อลดการทำงานของหัวใจ และลดความดันที่กระบังลมให้ปอดขยายเต็มที่