Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคจิตสรีระแปรปรวน (Psychosomatic Disorders), ความผิดปกติทางกายเนื่องจากสา…
โรคจิตสรีระแปรปรวน (Psychosomatic Disorders)
ความหมาย
ภาวะที่มีความผิดปกติของร่างกาย หรือโรคทางกายเกิดขึ้นโดยปัจจัยทางจิตใจ มีบทบาทในการกระตุ้นให้เกิดโรค หรือทำให้ความผิดปกตินั้น ๆ มีอาการรุนแรงขึ้น
อาการ
1. ระบบทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารเกิดการหลั่งกรดมากผิดปกติ ทำให้เป็นแผล
2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เต้นผิดจังหวะหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบลง มีไขมันมาเกาะ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง
3. ระบบกล้ามเนื้อ
มีการหดตัว เกร็งแข็ง เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ ทั่วตัว
4. ประสาทอัตโนมัติ
เป็นระบบที่ทำงานโดยไม่สามารถบังคับหรือสั่งการได้ หล่อเลี้ยงอวัยวะภายในทั้งหมด ประสาทอัตโนมัติมีความเกี่ยวข้องกับสมอง และไขสันหลังเป็นอย่างยิ่ง ความเครียดจะกระตุ้นอารมณ์ในสมอง ซึ่งจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้ทำงานผ่านแนวเชื่อมโยงกับไขสันหลัง
การวินิจฉัย
อาการทางกายเกิดขึ้นสัมพันธ์กับความเครียด แต่ปัญหาใหญ่มักอยู่ที่ตัวเราเองไม่ค่อยยอมรับว่าเครียด มีคนไข้โรคเครียดหลายรายที่ปฏิเสธอย่างแข็งขันในตอนแรกว่าไม่เครียด แต่เมื่อได้สัมภาษณ์ลงลึกก็มักจะพบว่ามีความเครียดจำนวนมากแฝงอยู่
การรักษา
การรักษาโรคทางกายให้สงบตามอาการที่เกิด
การรักษาทางจิตใจ การผ่อนคลายความเครียด และทำใจให้สงบ การแก้ไขปัญหาชีวิตให้สำเร็จ มีการปรับตัวกับบุคคลอื่นได้ดี
การออกกำลังกายให้แข็งแรง จิตใจเผชิญความเครียดได้ดี มีการผ่อนคลาย งานอดิเรก พักผ่อนหย่อนใจ
การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมสถานที่ทำงาน ที่อยู่อาศัย ไม่เครียด การทำงานพอเหมาะ ไม่
หนักมากเกินไปมีเวลาพักผ่อน
ความผิดปกติทางกายเนื่องจากสาเหตุทางจิตใจ (Somatic Symptom and Related Disorders)
Somatic Symptom Disorder หรือ Somatization Disorder
อาการตาม DSM-5
:
1.
อาการทางกายตั้งแต่ 1 อาการขึ้นไป ซึ่งทำให้ไม่มีความสุข และจะไปรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน ,
2.
มีพฤติกรรม ความรู้สึก ความกังวลที่มากเกินไปกับอาการทางกาย หรือความกังวลด้านสุขภาพ ซึ่งแสดงอย่างน้อย 1 ข้อ
(1)ความคิดที่ต่อเนื่องเกี่ยวกับอาการของตนเองอย่างจริงจัง (2)มีความวิตกกังวลในระดับสูง เกี่ยวกับสุขภาพ หรืออาการ (3)ใช้เวลาอย่างมากและจดจ่อกับอาการ หรือความกังวลด้านสุขภาพ
,
3.
ถึงแม้ว่าอาการทางกายจะไม่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยยังรู้สึกว่าอาการยังคงอยู่ ปกติพบมากกว่า 6 เดือน
การรักษา
:
1.
จิตบำบัด ชนิด Cognitive behavior therapy (CBT) ควรมุ่งความสนใจให้ผู้ป่วยได้แสดงความรู้สึก และพูดปัญหาในชีวิต ,
2.
ยารักษาอาการวิตกกังวล และอาการซึมเศร้า แต่ปกติผู้ป่วยมักไม่ให้ความร่วมมือในการรับประทานยา ดังนั้น จึงต้องดูแลเรื่องการรับประทานยา
ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองมีอาการผิดปกติทางกายหลายรูปแบบ และเกิดกับอวัยวะหลายระบบ จึงต้องมาพบแพทย์เป็นประจำ อาการเป็นมากขึ้นเมื่อมีปัญหาชีวิตหรือความเครียด ผู้ป่วยจะกังวลกับอาการที่เกิดขึ้นมาก แต่ไม่สนใจว่าตนเองป่วยด้วยโรคอะไร
Conversion Disorder
เดิมจัดอยู่ในกลุ่มโรคประสาท (Neurosis) เรียกว่า โรคฮีสทีเรีย (Hysterical neurosis)
เป็นกลุ่มโรคจิตเวชที่มีความผิดปกติทางกาย
: 1. อาการด้านประสาทสัมผัส (Sensory symptoms) แสดงออกโดยมีอาการชา ,2. อาการด้านการเคลื่อนไหว (Motor symptoms) แสดงออกโดยมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ,3. อาการชัก (Seizure symptoms) ผู้ป่วยมีอาการชักแบบดิ้นสะเปะสะปะ และมักรู้สึกตัวดีระหว่างการชัก ,4. อาการผิดปกติของการรับสัมผัสพิเศษ (Special sense) เช่น ตามองไม่เห็น (Blindness) หูไม่ได้ยินเสียง (Deafness) พูดไม่มีเสียง (Aphonia) จมูกไม่ได้กลิ่น (Anosmia) การตรวจจะไม่พบความผิดปกติของอวัยวะดังกล่าว
อาการตาม DSM-5
: 1. มีอาการตั้งแต่ 1 อาการขึ้นไป เป็นการเจ็บป่วยทางกายที่เกิดขึ้นในระบบการเคลื่อนไหวหรือการสัมผัส ,2. อาการทางคลินิกพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างอาการทางระบบประสาท กับอาการเจ็บป่วยทางกาย แต่จะสัมพันธ์กับปัญหาด้านจิตใจ ,3. ไม่สามารถหาคำอธิบายที่ดีกว่า ,4. สาเหตุของอาการมาจากสภาวะทางสังคม
การรักษา
: 1. จิตบำบัดแบบประคับประคอง หรือจิตบำบัดระยะสั้น ,2. การทำพฤติกรรมบาบัด และปรับสิ่งแวดล้อม
Illness Anxiety Disorder หรือ Hypochondriasis
อาการ
: 1. ผู้ป่วยหมกมุ่นครุ่นคิดว่าตนเองเป็นโรคที่ร้ายแรง ,2. ไม่พบอาการทางกาย หรือถ้ามีอาการ ก็มีอาการเพียงเล็กน้อย ,3. มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับสุขภาพ และผู้ป่วยไวต่อสัญญาณเตือนเกี่ยวกับภาวะสุขภาพของตนเอง ,4. ผู้ป่วยปฏิบัติต่อพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากเกินไป ,5. การหมกมุ่นเกี่ยวกับการเจ็บป่วย จะแสดงให้เห็นอย่างน้อย 6 เดือน
การรักษา
: 1. ใช้จิตบำบัดกลุ่ม จะช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้ากับโรคได้ดี และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ,2. ควรนัดผู้ป่วยมาตรวจอย่างสม่ำเสมอ ไม่นัดห่างมาก เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง และควรหลีกเลี่ยงการตรวจพิเศษที่ไม่จำเป็น
ผู้ป่วยจะหมกมุ่น และกลัวว่าตนเองจะป่วยเป็นโรคร้ายแรง เนื่องจากรู้สึกว่าอวัยวะภายในร่างกายทำงานผิดปกติไปจากเดิม ผู้ป่วยจะมีประวัติไปรับการรักษากับแพทย์หลายคน (Doctor shopping) และมักบอกว่าไม่เคยได้รับการรักษาที่เหมาะสม