Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

สมดุลน้ำ อิเล็คโตรไลท์ กรดด่างในร่างกาย, นางสาววรรณภา แหลมกีก่ำ …

- - - - o โดยศูนย์ควบคุมการหายใจที่สมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา
      - o ซึ่งการหายใจจะช่วยแก้ปัญหาความเป็น กรด เบส ในเลือดได้ 50-70 %
- - - - เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ buffering system ในเลือด carbonic anhydrase (CA) ในเม็ดเลือดแดงจะเปลี่ยน CO2 และ HCO-3 ไปเป็น carbonic acid และเปลี่ยนเป็น H+ และ HCO-3
      - จะแพร่ออกจากเซลล์ เพื่อแลกกับ chloride เพื่อรักษาสมดุลย์ของประจุภายในเซลล์
      - ค่าปกติของ plasma CO2 22-29 mmol/L
    - - พบทั้งภายในเซลล์และนอกเซลล์ แต่ส่วนใหญ่พบในเซลล์มีประจุลบ จึงเป็นbufferที่สำคัญในเซลล์
    - - เป็นbuffer ที่สำคัญในเซลล์มากกว่าเม็ดเลือดแดงเนื่องจากมีอยู่เซลลืเม็ดเลือดแดง
    - - เป็น buffer ที่สำคัญมากในเซลล์
- - - - ช่วยในการย่อย การดูดซึม และการนำพาสารอาหารต่างๆ ไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย
        
        ช่วยในการไหลเวียนของสารต่างๆ ภายในร่างกาย
        
        ช่วยให้ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ในเมแทบอลิซึม
        
        ช่วยหล่อลื่นในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
  - - - น้ำที่อยู่ภายในเซลล์เมมเบรน มีประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวหรือ 67 เปอร์เซ็นต์ของน้ำทั้งหมดในร่างกาย หรือประมาณ 28 ลิตร เป็นของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกาย
        
        น้ำที่อยู่ภายนอกเซลล์
        
        ส่วนของน้ำที่อยู่ภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์ เช่นน้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์ และน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือด และน้ำเหลือง เป็นต้น โดยน้ำที่อยู่นอกเซลล์จะทำหน้าที่รักษาสภาพแวดล้อมภายนอกเซลล์ให้คงที่ แบ่งออกได้ 3 ส่วน คือ
        
        น้ำเลือด (plasma) คือ น้ำที่อยู่ในระบบไหลเวียนของเลือด มีประมาณ 4-5 % ของน้ำหนักตัว
        
        น้ำเหลือง (lymph) คือ น้ำที่อยู่ภายในท่อน้ำเหลือง ซึ่งจะไหลเวียนเข้าเส้นเลือดดำแล้วกลับสู่ระบบไหลเวียนของเลือดเข้าหัวใจ มีประมาณ 2-3%
        
        น้ำที่อยู่ระหว่างเซลล์ (intercellular fluid) เป็นน้ำที่อยู่รอบๆ เซลล์ หรือน้ำตามช่องว่างระหว่างเซลล์ มีหน้าที่ช่วยทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อช่วยในการนำสารอาหาร หรือโภชนะต่าง ๆเข้าสู่เซลล์และนำของเสียออกจากเซลล์ มีประมาณ 16-20%
  - - - ได้รับจากปฎิกิริยาเคมีในร่างกาายเกิดการเผาผลาญพลังงาน 200 cc/day
        
        ได้จากอาหารที่บริโภค เช่น ผัก ผลไม้
  - - - ทางผิวหนัง 300 ml. ปอด 300-500 ml. ขึ้นออยู่กับ
        
        -อุณหภูมิร่างกาย
        -ความชื้น
        -กิจกรรมที่ทำ
        -อารมณ์
        -อัตราเมตาบอลิซึม
    - - ทางเดินอาหาร ออกไปกับอุจจาระ 100-200 ml.
        
        ผิวหนัง โดยออกทางเหงื่อ 0-10 ml.
        
        ระบบขับถ่ายปัสสาวะ 500-600 ml.
  - - - ร่างกายส่งสัญญาณว่าต้องการน้ำเพิ่มเติม จากร่างกาย/เลือดมีปริมาณน้ำลดลง หรือมีปริมาณเกลือแร่ในร่างกาย/ในเลือดข้นกว่าปกติ
    - - กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ควบคุมความดันเลือดและปริมาตรเลือดในกาย ควบคุมระดับอิเล็กโทรไลต์และเมแทบอไลต์ และควบคุมค่าความเป็นกรดเบสของเลือด
  - - - 2.เมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำ สมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งมีศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำ จะสั่งการให้เกิดการดื่มน้ำทดแทน โดยจะรู้สึกกระหายน้ำ และเมื่อมีการกลืนน้ำเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาความกระหายได้อย่างรวดเร็ว
        
        3.ถ้าร่างกายขาดน้ำประมาณ 3 วัน ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับภาวะขาดน้ำเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ
  - - - การกรองที่ไต
      - aldosterone
      - ADH
  - - - ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป ในผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน ท้องเสีย ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและแร่ธาตุเป็นจำนวนมาก
      - ปัสสาวะมากผิดปกติ ในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ ยาความดันโลหิต หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
      - เหงื่อออกมากผิดปกติ จากการออกกำลังกายเป็นเวลานาน ผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีอากาศร้อนชื้น หรือในผู้ที่มีไข้สูง
      - ดื่มน้ำน้อยเกินไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการโคม่า ผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงผู้ที่มีอาการป่วย เป็นหวัด หรือเจ็บคอ ทำให้รู้สึกเบื่ออาหารและดื่มน้ำน้อยลง
    - - กระหายน้ำ
      - ง่วงซึม อ่อนเพลีย
      - ผิวแห้ง ตาแห้ง ปากแห้ง
      - ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
    - - การเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์
      - การตอบสนองของร่างกาย
  - - - การคั่งน้ำของทั้งเกลือและน้ำ
      - การคั่งของน้ำอย่างเดียว
      - การคั่งของน้ำมากกว่าเกลือ
    - - ไตพิการ
      - เลือดไปเลี้ยงไตลดลง
      - มีการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ
      - ไตปกติแต่มีการหลั่ง ADH มากขึ้น
    - - การเปลี่ยนแปลงที่ระดับเซลล์
      - การตอบสนองของร่างกาย
    - - แบบเฉียบพลัน
        
        -ปวดศีรษะ
        
        -คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
        
        -ม่านตาขยายไม่เท่ากัน
      - แบบเรื้อรัง
        
        -อ่ออนเพลีย
        
        ไม่มีแรง ซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เลอะเลือน
- - - - INTRACELLULAR
        Electrolytes
        
        POTASSIUM
        
        MAGNESIUM
        
        PHOSPHOROUS
      - EXTRACELLULAR
        Electrolytes
        
        SODIUM
        
        CHLORIDE
        
        BICARBONATE
  - - - เกิดจากความสามารถในการขับสารน้ำ (free water) ของไตนั้นผิดปกติ
        ไปหรือทำได้ไม่พอเพียง จะส่งผลกระทบต่อกระบวนการกรองที่หน่วย
        ไต (glomerular filtration rate, GFR) ทำให้ท่อไตส่วนต้น (proximal
      - เกิดจากการสูญเสียโซเดียม เช่น สูญเสีย โซเดียมทางปัสสาวะจำนวนมากนภาวะ diuretic phase ของ acute tubular necrosis หรือ cerebral salt
        wasting (CSW)
    - - สมองบวมน้ำ (hyponatremic encephalopathy) เช่น ปวดศีรษะ,คลื่นไส้อาเจียน, ซึมลง, หมดสติ,ตรวจพบความไวของ deep tendonreflexes ลดลง, ชัก, เสียชีวิตได้จากภาวะ brain herniation หรือมีอาการทางกล้ามเนื้อ เช่น ตะคริว ตรวจร่างกายพบความไวของ deep
        tendon reflexes ลดลง
  - - - สมองบวมน้ำ (hyponatremic encephalopathy) เช่น ปวดศีรษะคลื่นไส้อาเจียน, ซึมลง, หมดสติ,ตรวจพบความไวของ deep tendon reflexes ลดลง, ชัก, เสียชีวิตได้จากภาวะ brain herniation หรือมีอาการทางกล้ามเนื้อ เช่น ตะคริว ตรวจร่างกายพบความไวของ deep tendon reflexes ลดลง
    - - การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง
      - การดื่มน้ำในปริมาณน้อยจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
      - การมีอายุเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ความอยากอาหารและการดื่มน้ำลดลง
  - - - การได้รับโพแทสเชียมไม่พอเพียง, การสูญเสียไปทางปัสสาวะหรือทางระบบ
        ทางเดินอาหาร และ การที่โพแทสเซียมย้ายเข้าสู่เซลล์
    - - มักเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูกและอาจทำให้เกิดภาวะ rhabdomyolysis ได้ ภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญ คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความดัน เลือดสูง หัวใจล้มเหลว หรือมีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่เดิม
  - - - มักเกิดจากความผิดปกติของไต เช่น โรคไตเรื้อรัง หรือไตวายเฉียบพลัน ทว่าอาจมีปัจจัยอื่นนอกเหนือจากสาเหตุข้างต้นได้
    - - ขึ้นอยู่กับปริมาณโพแทสเซียมในเลือด หากมีระดับไม่สูงมากอาจไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติหรือมีอาการไม่รุนแรง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นเหน็บชาตามร่างกาย เป็นต้น
    - - การรักษาภาวะโพแทสเชียมในเลือดสูงขึ้นกับความรุนแรงและผลกระทบ
        ต่อการทำงานของหัวใจ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  - - - ที่พบได้บ่อยได้แก่ผู้ป่วยอุบัติเหตุ ภาวะไตล้มเหลวทั้งเฉียบพลันและเรื้อรั้ง การติด
        เชื้อในกระแสเลือดซึ่งเชื่อว่าอาจจะเป็นกลไกของร่างกายที่จะปกป้องการบาดเจ็บของเซลล์ในภาวะที่มีการอักเสบ
    - - กรณีที่มีแคลเชียมในเลือดต่ำอย่างรุนแรง ได้แก่ tetany และ ซัก ในส่วนของภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำเรื้อรังนั้นอาจมีอาการผิดปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจได้ ผู้ป่วยอาจมี basal ganglia calcification ที่แสดงอาการทางด้านxtrapyramidal อาการแสดงทางผิวหนังได้แก่ ผื่นผิวหนังอักเสบ eczema หรือ
        อาจมี ผมร่วง ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะพบ prolonged QT interval
  - - - การละลายแคลเซียมจากกระดูกเพิ่มขึ้น พบใน
        
        Hyperparathyroidism
        
        Hyperthyroidism
      - การรับประทานหรือมีการดูดซึมแคลเชียมมากเกินไป พบใน
        
        กลุ่มอาการ milk alkali
        
        พิษจากวิตามินดี
        
        Sarcoidosis
      - ภาวะไต
        
        ระยะปัสสาวะมากในภาวะไตวายเฉียบพลัน
        
        ภาวะไตวายเรื้อรังซึ่งได้รับยา อะลูมิเนียม ฮัยดรอกไซด์
        
        ได้รับการเปลี่ยนไต
  - - - ภาวะไตวายเฉียบพลัน - ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุมีrhabdomyolysis หรือในผู้ติดเฮโรอีน
      - ภาวะไตวายเรื้อรัง - ระดับฟอสฟอรัสสูงในเลือด เมื่ออัตราการกรองผ่าน โกลเมอรูลัสลดลงเหลือน้อยกว่า 25 มก./นาที
      - Hypoparathyroidism
      - Pseudohypoparathyroidism
    - - มีอาการที่หลากหลายออกไป เนื่องจากฟอสเฟตเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างพลังงานในเซลล์ ผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเช สับสนชัก ซึม การหายใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ จนถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ตลอดจนการทำงานของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดผิดปกติได้
  - - - มักมาจากการสูญเสียแมกนีเชียมไปในระบบทางเดินอาหาร หรือทางปัสสาวะสาเหตุอื่นๆได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด, การได้เลือดที่มี citrate, การติด
        สุราเรื้อรัง, ภาวะทุโภชนาการ รวมถึงยาหลายๆตัว