Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบาดเจ็บจากการคลอด (Birth Injuries) - Coggle Diagram
การบาดเจ็บจากการคลอด (Birth Injuries)
1.ก้อนบวมโนที่ศีรษะ
(Caput succedaneum)
สาเหตุ
1.เกิดจากการคั่งของของเหลวระหว่างชั้นหนังศีรษะกับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกระโหลกศีรษะ
2.เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะของทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ
3.ทำให้มีของเหลวซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ จากการใชเครื่องสูญญากาศช่วยคลอด (V/E)
การวินิจฉัย
โดยการคลำศีรษะของทารกแรกเกิด พบก้อนบวมในลักษณะนุ่ม กดบุ๋ม กดไม่เจ็บ เคลื่อนไหวได้ ขอบเขตไม่ชัดเจน ข้ามแนวรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะ พบทันทีภายหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
-พบได้บริเวณด้านข้างของศีรษะ
-ก้อนบวมโนนี้ทำให้ศีรษะมีความยาวผิดปกติ
แนวทางการรักษา
-สามารถหายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องรักษา
-จะหายภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด ประมาณ 3 วันถึง 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนบวมในที่เกิดขึ้น
2.ก้อนโนเลือดที่ศีรษะ
(Cephalhematoma)
สาเหตุ
เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน
ศีรษะทารกถูกกดจากช่องคลอด
จากการใช้เครื่องสูญญากาศช่วยคลอด
เป็นผลให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะทารกฉีกขาด เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเนื้อเยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
-หากก้อนในเลือดมรขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะ Hyperbilirubinemia
-อาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือด
การวินิจฉัย
1.จากประวัติพบว่าระยะคลอดมารดาเบ่งคลอดนานหรือได้รับการช่วยคลอดด้วยเครื่องสูญญากาศ
2.จากการตรวจร่างกายพบบริเวณศีรษะทารกแรกเกิดมีก้อนบวมโนบนกระดูกกะโหลกศีรษะ ชั้นใดชั้นหนึ่งมีลักษณะแข็งและคลำขอบได้ชัดเจน
อาการและอาการแสดง
1.เห็นชัดเจนภายใน 24 ชม.
2.ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบนกระดุกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
3.รายที่มีอาการรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิด
4.พบก้อนโนเลือดมีสีดำหรือสีน้ำเงินคล้ำ
แนวทางการรักษา
1.ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเอง อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์
2.ในรายที่ก้อนเลือดมีขนาดใหญ่อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
3.เลือดออกใต้เยื่อบุนัยน์ตา
(Subconjunctival hemorrhage)
สาเหตุ
เกิดจากการที่มารดาคลอดยาก
ศีรษะทารกถูกกด
หลอดเลือดที่เยื่อบุนัยน์ตาแตก ทำให้มีเลือดซึมออกมา
การวินิจฉัย
ตรวจพบมีเลือดออกใต้เยื่อบุนัยน์ตาทารกภายหลังคลอด
แนวทางการรักษา
สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์
5.อัมพาตที่แขน
(Brachial plexus palsy)
สาเหตุ
การทำคลอดไหล่ที่รุนแรง
การทำคลอดท่าศีรษะผิดวิธี เช่นทำคลอดโดยการเหยียดศีรษะและคอของทารกอย่างรุนแรง
การทำคลอดแขนให้อยู่เหนือศีรษะในรายทารกใช้ก้นเป็นส่วนนำ
แบ่งเป็น 3 แบบ
1.Erb-Duchenne paralysis
เส้นประสาทคู่ที่ได้รับบาดเจ็บ คือเส้นประสาทคอคู่ที่ 5 และ 6 ได้รับบาดเจ็บ (Cervical nerve 5-6) กล้ามเนื้อที่ได้รับการกระทบกระเทอนคือกล้ามเนื้อต้นเเขน (deltoid) biceps และ Brachioradialis
อาการและอาการแสดง
-แขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บอ่อนแรงทั้งแขน
-ไม่สามารถขยับหรือยกแขนพ้นที่ที่นอน
-ต้นแขนอยู่ในท่าชิดลำตัว (adduction)บิดเข้าด้านใน ข้อศอกเหยียด แขนส่วนล่างอยู่ในท่าคว่ำ ข้อมืองอ
-ไม่มีอาการผวา (Moro reflex)เมื่อตกใจ ทารกสูญเสีย bicepsและ radial reflex
-ยังกำมือ (grasp reflex)ได้
2.Klumpke's paralysis
-เส้นประสาทคู่ที่ 7,8 และเส้นประสาทที่มาเลี้ยงทรงอกคู่ที่ 1 (C7,8-T1) ทำให้ทารกมีข้อมืองอ มือบิดเข้าใน
-Horner's syndrome : รูม่านตาหด (miosis),หนังตาตก(ptosis),ตาหว้าลึก(enophthalmos),ต่อมเหงื่อที่บริเวณใบหน้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี
อาการและอาการแสดง
-กล้ามเนื้อด้านใน (intrinsic muscles)ของมือข้างที่ประสาทได้รับบาดเจ็บอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถกำมือได้
-ยังมีอาการผวา Biceps และ radial
-มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (reflex)ได้
-ทารกอาจมี Horner's syndrome ถ้า sympathetic fiber ขิองเส้นประสาทคู่ที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหน้าอกคู่ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บด้วย
3.Combined หรือ Tatal brachial plexus injury
เส้นประสาทคอคู่ที่ 5 เส้นประสาทที่มาเลี้ยงทรวงอกคู่ที่ 1 (C5-T1)ได้รับบาดเจ็บ ถ้าเส้นประสาทคอคู่ที่ 3และ 4 (C3-C4 )ถูกทำลายร่วมด้วยทำให้มีอัมพาตกระบังลม (paralysis of diaphragm)
อาการและอาการแสดง
-กล้ามเนื้อลีบทั้งแขนและมือของทารกจะอ่อนแรง
-ไม่มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (reflex)ทั้งหมด
การรักษา
-ให้เริ่มทำ passive movement เมื่อเส้นประสาทยุบบวม โดยทั่วไปจะรอจนกว่าทารกอายุ 7-10 วัน
-ให้แขนอยู่นิ่ง (partial immobilization)
-ให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมโดยให้ยึดแขนไว้ในท่าหัวไหล่ทำมุม 90 องศากับลำตัว หมุนแขนออกด้านนอก แขนส่วนล่างอยู่มนท่าหงาย และฝ่ามือหันเข้าหาใบหน้า
-กรณีที่ทารกมีอัมพาตของแขนส่วนล่างหรือมือต้อวดามแขนส่วนนั้นในท่าปกติและให้กำผ้านุ่มๆไว้
-ถ้าเป็นอัมพาตทั้งแขนให้การรักษาเช่นเดียวกัน แต่ควรนวดเบาๆและให้ออกกำลังแขนแต่ไม่ควรทำด้วยความรุนแรง
4.เส้นประสาที่มาเลี้ยงใบหน้าบาดเจ็บ
(facial nerve palsy)
สาเหตุ
จากการที่มารดามีภาวะคลอดยากหรือคลอดยาวนานหรือทารกได้รับบาดเจ็บจากการคลอด ทำให้เนื้อเยื่อประสาทสมองคู่ที่ 7 ของใบหน้าทารกถูกทำลาย ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและดวงตาทำงานผิดปกติ
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรงไม่สามารถปิดตาได้ อาจทำให้ กระจกตาเป็นแผล (Coneal ulcer)ที่ตาของทารกข้างที่กล้ามเนื้อหน้าเป็นอัมพาต
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ มารดามีระยะที่2 ของการคลอดยาวนานหรือมารดาคลอดโดยใช้คีมช่วยคลอด
2.การตรวจร่างกาย พบอาการและอาการแสดงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ได้รับบาดเจ็บ
อาการและอาการแสดง
-กล้ามเนื้อใบหน้าข้างที่เส้นประสาทเป็นอัมพาตจะอ่อนแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวหน้าผากข้างที่เป็นอัมพาตให้ย่นได้
-ไม่สามารถปิดตาได้
-เมื่อร้องไห้มุมปากจะเบี้ยว ไม่สามารถเคลื่อนไหวปากข้างนั้นได้
-กล้ามเนื้อจมูกแบนราบ
-ใบหน้าสองข้างของทารกไม่สมมาตรกัน
แนวทางการรักษา
ไม่มีการรักษาเฉพาะ ส่วนใหญ่อาการจะหายไปได้เอง แต่ควรหยอดน้ำตาเทียมให้เพื่อป้องกันจอตาถูกทำลาย
6.กระดูกไหปลาร้าหัก
(Fracture clavicle)
แบ่งเป็น
1.กระดูกไหปลาร้าหัก(Fracture clavicle)
-มีอัมพาตเทียม (pseudoparalysis)
-ไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหัก(ไม่มี moro reflex)
-คลำบริเวณที่หักได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitus)และไม่เรียบ
-กล้ามเนื้ออก กล้ามเนื้อไหปลาร้าและกล้ามเนื้อกกหู (sternocleidomastoid muscle)
2.กระดูกแขนหัก
(Fracture arm)
-ได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทำคลอด
-บริเวณที่มีกระดูกหักมีสีผิวผิดปกติ
3.กระดูกขาหัก
(Fracture leg)
-ได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทำคลอด
-บริเวณที่มีกระดูกหักมีสีผิวผิดปกติ
4.กระดูกสะโพกเคลื่อน
(Hip dislocation)
-หัวกระดูกขาหลุดออกจากเบ้ากระดูกสะโพก
-เส้นเอ็นถูกยืดออกเป็นผลทำให้หัวกระดูกต้นขาถูกดึงรั้งสูงขึ้น
อาการและอาการแสดง
-มีอาการบวมเวลาทำ passive exercise ทารกจะร้องเนื่องจากเจ็บปวด
-กระดูกเดาะ (greenstick fracture)อาจไม่มีอาการใดๆประมาณ 7-10 วันหลังเกิดอาจจะคลำได้กระดูกที่หนาขึ้น (callus formation)
-ทารกที่มีการเคลื่อนของข้อสะโพกจะพบว่าทารกมีขาบวม ขายาวไม่เท่ากัน มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหรือมไม่มีการเคลื่อนไหวขาข้างที่มีการเคลื่อนของข้อสะโพก และเมื่อจับให้เคลื่อนไหวหรือหมุนทารกจะร้อง
การรักษา
-อยู่นิ่งอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
1.กระดูกไหปลาร้าหัก โดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหปลาร้าหักอยู่นิ่ง พยายามไม่ให้เคลื่อนไหว
2.กระดูกต้นแขนเดาะใช้ผ้าตรึงแขนติดลำตัว
-กรณีหักอย่างสมบูรณ์รักษาโดยใช้ผ้าพันรอบแขนและลำตัวหรือใส่เฝือกก่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
3.ถ้ากระดูกขาหัก ซึ่งส่วนมากพบว่าหักตรงลำกระดูก
-ถ้าหักไม่สมบูรณ์ (incomplete fracture)รักษาโดยการใส่เฝือกขา
-ถ้าหักแยกจากกัน (complete fracture)รักษาด้วยวิธีการใช้แรงดึงกระทำบนผิวหนังโดยตรง(skin fracture)โดยการดึงให้ขาเหยียดตรงห้อยขาให้สะโพกและก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง (Bryant's traction)นาน 2-3 wks.
4.การรักษาข้อสะโพกเคลื่อน
-จับให่ทารกนอนในท่างอข้อสะโพกและคางออก (human position)
-พยายามให้ทารกอยู่ในท่าดังกล่าวเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือนจนกว่าข้อสะโพกอยู่ในภาวะปกติโดยการถ่ายภาพรังสีหรือการตรวจด้วยคลื่นความถี่สูง (Ultrasound)