บทที่ 12 บทบาทพยาบาลในการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
''ประเภทการบำบัดรักษาทางจิตเวช''
1.)การบำบัดรักษาทางกาย (Somatic therapy)

1.1 จิตเภสัชบำบัดและการใช้ยาอย่างสมเหตุผล

1.2 การรักษาด้วยไฟฟ้า

1.3 การผูกยึดและการจำกัดพฤติกรรม

1.1.1 ยารักษาโรคจิต (Antipsychotic drugs or Major transquilizer drugs)

1.1.2 ยารักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant drugs) บ่อยแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

1.1.3 ยาควบคุมอารมณ์ (Mood-stabilizing drug)

1.1.4 ยาคลายกังวล (Anxiolytic, Antianxiety drug or minor transquilizer drugs)

1.2.1 ข้อบ่งใช้ในการรักษา

1.2.2 ข้อห้ามใช้

1.2.3 เครื่องมือที่ใช้

1.2.4 ขนาดของไฟฟ้าที่ใช้

1.2.5 จำนวนครั้งที่ใช้

1.2.6 บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของพยาบาลในการรักษาด้วยไฟฟ้า

1.3.1 การผูกมัด (Physical restrain)

1.3.2 การใช้ยาและการจำกัดขอบเขต (Medical restrain and room seclusion)

ขั้นตอนในการทำโดยสรุป

การพยาบาล

การเตรียมผู้ป่วยก่อนทำ

การพยาบาลขณะทำ

ระดับความรุนแรงของการชัก

การพยาบาลหลังทำ ECT

ผลแทรกซ้อนของการทำ ECT

1) Phenothiazine derivatives

2) Thioxanthene derivatives

3) Butyrophenone derivatives

4) Dihydroindolone derivatives

5) Dibenzoxapine derivatives

1) Conventional antidepressant

2) Secondary generation antidepressants

(1) Monoamine Oxidase inhibitors (MAOI) มีฤทธิ์ไปยับยั้งการทำงานของ เอ็นไซม์ MAO ที่ทำให้ระดับของ Serotonin และ Catecholamine ในสมองสูงขึ้น ทำให้มีอารมณ์เป็นสุข

(2) Tricyclic antidepressants ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมาก มีผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ กลไกการออกฤทธิ์เชื่อว่าลดอาการซึมเศร้า

(1) Bicyclic antidepressants เช่น Zimelidine (Zelmid), Viloxazine (Vivalan) การออกฤทธิ์ยับยั้ง Nor-epinephrine reuptake และ Serotonin reuptake ใช้ในผู้ป่วยซึมเศร้าได้ผลพอๆ กับ amitriptyline และ Imipramine

(2) Tetracyclic antidepressants เช่น Maprotiline (Ludiomil), Mianserin (Talvon) ข้อบ่งใช้คล้ายๆ กับ amitriptyline และได้ผลพอๆ กันห้ามใช้กับผู้ที่เป็นโรคตับ ต่อมลูกหมากโต

(3) Serotonin Reuptake Inhibitors นำมาใช้รักษาอาการซึมเศร้า (Antidepressant) ออกฤทธิ์ยับยั้งเฉพาะ Reuptake ของ Serotonin เรียกชื่อย่อว่า SSRIs (Selective serotonin reuptake inhibitors) ยาในกลุ่มนี้ที่นำมาใช้ในปัจจุบันมี 4 ชนิด

การพยาบาล

(1) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับอารมณ์ซึมเศร้าของผู้ป่วยและความคิดฆ่าตัวตาย

(2) สังเกตและบันทึกอาการข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้น

(3) ตรวจสอบและติดตามการมีปฏิกิริยาร่วมกับยาตัวอื่น ๆ ของยาในกลุ่มนี้

(4) ยาในกลุ่ม TCAs สังเกตผลของการรักษาเมื่อผู้ป่วยได้รับยาไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ ควรได้รับการตรวจหาระดับยาในกระแสเลือด สำหรับยากลุ่ม MAOIs เพื่อให้ประสิทธิภาพการรักษาสูงสุดต้องใช้ยานาน 2-6 สัปดาห์

(5) ให้คำแนะนำผู้ป่วยในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งไม่ควรปรับขนาด หรือหยุดยาเอง
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างรุนแรงในสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยเฉพาะผู้ที่รักษาด้วยยากลุ่ม MAOIs
  • หลีกเลี่ยงยาหรือสารต่าง ๆ ทีมาเสริมฤทธิ์ของยา เช่น ยาแก้หวัด หรือยาที่แพทย์ไม่ได้สั่ง

1) ลิเทียมคาร์บอเนต (Lithium Carbonate) เป็นยาหลักที่ใช้รักษา

ข้อควรระวัง

ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีปัญหาทางหัวใจ ผู้ป่วยที่มีภาวะสมองถูกทำลาย และผู้ที่ขาดน้ำอย่างรุนแรงผู้ที่อยู่ในระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก และมารดาที่ให้นมบุตร

ข้อบ่งใช้

  • รักษา Mania
  • ป้องกันการเป็นซ้ำของโรค Bipolar disorder ทั้งระยะแมเนียและระยะซึมเศร้า

อาการข้างเคียง

การพยาบาล

ผู้ป่วยคอพอกที่รักษาด้วย Tyroxin อาการจะรุนแรงมากขึ้น

คลื่นไส้ เบื่ออาหาร

สับสน มึนงง สั่นอย่างแรง เดินเซ

(1) ควรให้ผู้ป่วยรับประทานยาระหว่างมื้ออาหาร หรือหลังอาหารทันทีเนื่องจากยาทำให้ระคายเคืองต่อต่อระบบทางเดินอาหาร

(2) ในระยะแรกของการได้รับยาต้องตรวจหาระดับของลิเธียมในกระแสเลือด สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนกว่าจะมีระดับคงที่หรือควบคุมอาการแมเนียได้ โดยการเจาะเลือดควรทำเมื่อได้รับยามื้อสุดท้ายก่อนเจาะ 12 ชั่วโมง และระดับยาในกระแสเลือดที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 0.6-1.3 mEq/L

(3) การออกฤทธิ์ของยาในการควบคุมอาการแมเนียอาจต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนจึงจะออกฤทธิ์เต็มที่ ดังนั้นในระยะแรกของการได้รับยาจึงต้องใช้ยากลุ่มรักษาอาการทางจิตควบคุมอาการไปก่อน และต้องสังเกตประเมินลักษณะอารมณ์ของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

(4) ติดตามและประเมินอาการข้างเคียง

(5) แนะนำผู้ป่วยและญาติในการปฏิบัติตัว

  • รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ปรับหรือหยุดยาเอง โดยต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
  • ดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 3 ลิตร อย่างสม่ำเสมอ
  • ห้ามออกกำลังกายในสภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือทำงานที่ต้องเกิดการสูญเสียเหงื่อมาก เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียโซเดียมมีซึ่งผลต่อการขับออกของลิเธียม

อาการข้างเคียง

ข้อบ่งใช้

โรคประสาทกลัวที่มีอาการ Panic บ่อย ๆ นอนไม่หลับ

อาการซึมเศร้าที่พบร่วมกับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น จิตเภท โรคกังวล

อาการซึมเศร้าที่เกิดจากยา โรคทางกายและโรคของสมอง รักษาอาการซึมเศร้าในวัยต่อ ซึมเศร้าหลังคลอด

ง่วงนอน คอแห้ง ท้องผูก

ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย นั่งไม่ติด ให้ระมัดระวังอุบัติเหตุ หกล้ม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด อาการสำคัญ คือ มีความดันโลหิตต่ำ

การพยาบาล

ข้อควรระวัง

ข้อบ่งใช้

มีประโยชน์ในการรักษาโรคประสาท (Neurosis) ทุกชนิดเพราะมีคุณสมบัติลดความวิตกกังวลและความกดดัน โดยไม่ทำให้เกิดการง่วงมากเหมือนยานอนหลับ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ป้องกันอาการชัก นอนหลับได้

ยาที่สำคัญในกลุ่มนี้ คือ Benzodiazepines มีฤทธิ์ Anti anxiety, Anti aggression, Muscle relaxant, Anti convulsant และ Sedative ออกฤทธิ์โดยเพิ่ม GABA ergic neurotransmission (GABA – aminobutyric acid เป็น Inhibitory neurotransmitter ที่สำคัญของสมอง) มีฤทธิ์คลายกังวลดีที่สุด

โรคทางจิตเวชที่มีอาการกังวล เช่น ตื่นเต้นง่าย พลุ่งพล่าน กระวนกระวาย หอบ (Hyperventilation)

ใช้เป็นยานอนหลับ

ใช้รักษา Delirium tremens

อาการข้างเคียง

ง่วงนอน ความคิดช้า

ตื่นเต้น วุ่นวาย ศีรษะหมุน

ผื่นตามผิวหนัง และคลื่นไส้ อาเจียน

ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาของระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคไต โรคตับ ผู้ที่มีอาการซึมเศร้ามาก ๆ อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย หรือผู้ที่เสพสารเสพติด ผู้ที่ตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้

1) ควรให้ยาเฉพาะก่อนนอน เพื่อไม่ให้ฤทธิ์ยารบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในเวลากลางวัน

2) ในกรณีฉีดยาเข้ากล้ามให้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อมัดใหญ่ และฉีดลึกให้เพียงพอเนื่องจากยาทำให้ปวดเเละระคายเคือง

3) สังเกตอาการข้างเคียง และติดตามผลการรักษา

4) ยา Lorazepam (Ativan) ใช้อมใต้ลิ้นจะดูดซึมเร็วกว่าการกลืนทางปาก

5) ให้คำแนะนำเรื่องต่างๆกับผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยไม่ควรปรับเปลี่ยนขนาดยา รวมทั้งซื้อยามารับประทานเอง
  • ระหว่างรับประทานยากลุ่มนี้ห้ามขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรเพราะอาจเกิดอันตรายได้
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นต่าง ๆ หรือมีคาเฟอีนในปริมาณมาก เพราะจะไปลดฤทธิ์ของยา

การพยาบาล

นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ Phenothiazine derivatives และ Butyrophenone derivatives

-Phenothiazine derivatives ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาทั่วๆ ไป มีดังนี้ ง่วง (Sedation) ระงับอาการอาเจียน (Antiemetic) ปากแห้งคอแห้ง (Anticholinergic)ความคิดเชื่องช้า (Antiadrenaline) และ antihistamine มีผลต่อการรักษาผู้ป่วยจิตเภทเป็นส่วนใหญ่และยังใช้รักษา ผู้ป่วยคลั่งเศร้า (Mania) ลุกลี้ลุกลน (Agitated depression) และพฤติกรรมหลงผิด ซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติของสมอง

-Butyrophenone derivatives ที่สำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ Haloperidol (Haldol) มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคล้ายฟีโนไทอะซีน แต่เมื่อเทียบกับ Chlopromazine แล้ว Haloperidol แรงกว่าประมาณ 50 เท่า ใช้ได้ผลดีในการควบคุมอาการตื่นเต้น ก้าวร้าว ประสาทหลอน หลงผิด หวาดระแวง

(1) ผู้ที่ได้รับการรักษาโดยยาในกลุ่มนี้ควรดูแลให้ได้รับตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจการทำงานของตับ ปริมาณเม็ดเลือด (CBC) และตรวจวัดสายตาก่อนได้รับยาและหลังได้รับยาเป็นระยะ ๆ

(2) การเตรียมยาฉีดควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับยาโดยตรงเพราะระคายเคืองต่อผิวหนัง การฉีดต้องแดเข้ากล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างช้า ๆ และเปลี่ยนบริเวณฉีดทุกครั้ง

(3) ยากลุ่มออกฤทธิ์ระยะสั้น (Short-acting) ยาจะออกฤทธิ์ในเวลา 15 – 30 นาที หลังจากฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จึงควรให้ผู้ป่วยนอนพัก พร้อมกับวัดความดันโลหิตเพราะยามีผลทำให้ความดันโลหิตลดลง

(4) ยากลุ่มออกฤทธิ์ระยะยาว (Long-acting) ใช้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาความร่วมมือในการรับประทานยา ซึ่งยาจะออกฤทธิ์ช้า ๆ ในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์

(5) พยาบาลควรสังเกตใน

  • ผลของการรักษาของยา
  • อาการข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้น
  • อาการแสดงของการติดเชื้อ เนื่องจากภาวะ Agranulocytosis เช่นเจ็บคอ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว

(6) ให้ความรู้กับผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตัว

  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้สุราและยานอนหลับเพราะจะไปเสริมฤทธิ์กัน
  • ระมัดระวังในการเปลี่ยนอิริยาบถ โดยเฉพาะตอนตื่นนอน เพราะอาจเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ
  • ไม่เพิ่มหรือลด หรือหยุดยาเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนการหยุดยากะทันหันทำให้ชักได้

อาการข้างเคียง

ปากแห้ง ตาพร่า

เนื้อตึงตัว แข็งเกร็ง

ผู้ป่วยที่อาการเศร้าทุกชนิด และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย

ผู้ป่วยโรคจิตเภทชนิดที่คลั่งหรือซึมเฉย (Catatonic Schizophrenia)

โรคจิตในวัยเสื่อมในระยะเศร้า

Brain tumor (เพราะการทำให้ช็อคจะทำให้ความดันในสมองเพิ่มขึ้นทำให้เกิด Tentorial herniation และเสียชีวิตได้), โรคของระบบประสาท

ผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูงที่ไม่ใช่สาเหตุจากอารมณ์ หอบ กล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดที่ยังมีอาการ เพราะขณะชักอาจเกิด Arrhythmias ได้

วัณโรคระยะรุนแรง

สมัยก่อนนิยมใช้เครื่อง ECT ที่ให้คลื่นไฟฟ้าในลักษณะ Sine wave ซึ่งจะให้พลังงานมากกว่า แต่ทำให้เกิดผลข้างเคียงด้านประสาทวิทยาและความทรงจำมากกว่า

Electrodes 2 อัน ทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าใช้วางบริเวณศีรษะซึ่งปัจจุบันมีการวาง 2 แบบ

Oxygen

ผ้ายาง, ผ้าขนหนูผืนเล็กแช่น้ำเย็น

ประมาณ 70-130 โวลท์ ในเวลา 0.1-0.5 วินาที (เครื่อง Sine wave) สำหรับเครื่อง B.P.S. ใช้ไฟฟ้า 150 Milliculombs ใช้เวลากระตุ้น 2-4 วินาที พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในผู้ป่วยแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุ ปริมาณของ Subcutanious fat(คนอ้วนใช้พลังงานมากกว่าตนผอม) จำนวนครั้งที่ทำการชักที่ได้ผลควรชักไม่น้อยกว่า 25 วินาที/ครั้งและไม่ควรเกิน 60 วินาที จะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนทางสมองได้

โดยทั่วไปแพทย์อาจจะสั่งทำตั้งแต่ 3-10 ครั้ง โดยทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง วันเว้นวัน

วิธีการทำ ECT ทำได้ 2 วิธี

1) Modified Method หมายถึง การทำให้ผู้ป่วยหมดความรู้สึก โดยการฉีดยาให้หลับ และตามด้วยการฉีดยาให้กล้ามเนื้อคลายตัวก่อนปล่อยกระแสไฟฟ้า ต้องเตรียมผู้ป่วย

2) Unmodified Method หมายถึง การทำ ECT โดยผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ส่วนใหญ่ในประเทศไทยทำวิธีนี้ เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่า ใช้บุคลากรในการดูแลผู้ป่วยไม่มากนักและถือว่าเป็นวิธีมาตรฐาน

1) ให้ญาติเซ็นใบยินยอม

2) เตรียมทางด้านจิตใจ โดยบอกให้ผู้ป่วยทราบทางตรงและทางอ้อม โดยพยายามอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ และยอมรับการรักษา หากผู้ป่วยกลัว ปลอบใจให้กำลังใจ และให้ความมั่นใจว่ามีพยาบาลคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ

3) เตรียมด้านร่างกาย

  • ดูแลความสะอาดทั่วไป
  • งดอาหารและน้ำทางปากก่อนไปอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ตรวจวัดสัญญาณชีพ

ผลแทรกซ้อนของการทำ ECT

ระดับ 1 การชักที่หน้า คอ หรือปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ที่ไม่ถึงข้อมือหรือข้อเท้า

ระดับ 2 การชักที่มากขึ้น ถึงข้อมือหรือข้อเท้าแต่ไม่ถึงข้อศอกหรือเข่า

ระดับ 3 การชักที่มากขึ้นจนเห็นชัดเจนที่ศอกหรือเข่า

ระดับ 4 การชักที่ชัดเจนทั่วร่ากาย หลัง สะโพก ไหล่ ยกลอยจากพื้นเตียง

1) ความจำเสื่อมชั่วระยะหนึ่ง (Impair of memory) อาจมีได้ทั้ง Retrograde และ Anterograde amnesia พบได้ในระหว่างทำการรักษา มักจะเกิดเมื่อภายหลังการทำครั้งที่ 4 ไปแล้ว

2) กระดูกหักและมีการเคลื่อนของข้อต่อต่างๆ (Fracture and dislocation) พบได้บ่อยเนื่องจากกระตุกแรงมาก พบมากโดยเฉพาะ T4-T8

3) หยุดหายใจนาน (Apnea) พบได้เฉพาะบางราย

4) อาการปวดศีรษะปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ในระยะ 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์

5) กล้ามเนื้อรอบกล่องเสียงหดเกร็ง (Laryngeal spasm) เป็นผลมาจากปฏิกิริยาตอบสนองประสาท Parasympathetic

1) จัดท่านอนหงายราบ เอียงศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง ให้การพยาบาลเหมือนการพยาบาลผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว

2) สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดระวังการหยุดหายใจคอยดูแลผู้ป่วยที่มีความสับสน ให้นอนพัก เช็ดหน้าด้วยผ้าเย็น ทดสอบความรู้สึกก่อนส่งไปพักผ่อนที่หอผู้ป่วย อาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง

3) ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการงุนงงหลงลืมให้ได้รับความสะดวกเกี่ยวกับการหาข้าวของ เครื่องใช้ส่วนตัว ปลอบใจ ให้กำลังใจและความมั่นใจกับผู้ป่วยว่าความจำต่างๆ

4) ให้ผู้ป่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รับประทานอาหาร หลังจากนั้นให้ทำกิจกรรมตามตารางได้ตามปกติ ถ้ายังอ่อนเพลียมากก็ให้นอนพัก

5) ถ้าผู้ป่วยปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อนอาการปวดจะทุเลาลงได้ แพทย์อาจสั่งให้ยาแก้ปวด (Analgesic) ไว้ให้เมื่อจำเป็น

6) ลงบันทึกเกี่ยวกับอาการก่อนทำ ขณะทำและหลังทำ ระยะเวลาชัก อย่างละเอียด

โดยใช้เจ้าหน้าที่ประมาณ 3-5 คน วิธีการนี้เจ้าหน้าที่ทุกคนจะต้องรู้ขั้นตอนในการดำเนินงาน ทำอย่างรวดเร็ว มั่นใจ ไม่กลัว ก่อนทำพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องพยายามพูดให้ผู้ป่วยสนใจ เพลิดเพลิน เมื่อผู้ป่วยเผลอ เจ้าหน้าที่ 2 คน จะจับแขนผู้ป่วยไว้คนละข้าง แล้วนำผู้ป่วยไปไว้ในห้องพักที่เตรียมไว้ กรณีที่ผู้ป่วยไม่ยอม ต้องให้เจ้าหน้าที่อีก 2 คนยกตัวผู้ป่วยขึ้นให้เท้าลอยจากพื้นแล้วผูกยึดตัวผู้ป่วย

สำหรับรายฉุกเฉิน แพทย์อาจให้ฉีดยาเพื่อให้ผู้ป่วยสงบก่อนนำผู้ป่วยเข้าห้อง หรือให้ยา)หลังจากนำผู้ป่วยเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันการใช้ห้องแยก (Room seclusion) ยังมีประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการรุนแรง การพิจารณาใช้อย่างเหมาะสมร่วมกับการปฏิบัติกับผู้ป่วยอย่างถูกต้องจะได้ผลดี โดยเฉพาะผู้ป่วย ที่ควบคุมตนเองไม่ได้ (Uncontrolled) มีพฤติกรรมในรูปของการทำลาย (Destructive) และผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมรุนแรง

1) วางแผนให้รอบคอบว่าจะหยุดพฤติกรรมผู้ป่วยแบบใด ใครมีหน้าที่ช่วยเหลือในครั้งนี้บ้าง ต้องใช้ความพร้อมเพรียงและความรวดเร็ว

2) บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าจะช่วยเหลือเขาโดยการจำกัดสถานที่

3) จับผู้ป่วยด้วยความนิ่มนวล พร้อมเพรียง และรวดเร็ว

4) อยู่เป็นเพื่อนระยะหนึ่งเพื่อให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้ว่าไม่ใช่การทำโทษ แต่เป็นการช่วยเหลืออย่างหนึ่ง ให้สัญญาว่าจะมาเยี่ยมอีก

5) เยี่ยมผู้ป่วยเป็นระยะ เพื่อประเมินดูว่าเขาสามารถควบคุมตนเองได้แล้วหรือยัง

6) กรณีผู้ป่วยหลังให้ยาต้องทดสอบอาการรู้สึกตัวก่อนจึงจะแก้มัดได้

1) ทีมผู้รักษาจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ป่วยมีความสม่ำเสมอทั้งคำพูด และท่าทาง

2) ให้ความนับถือผู้ป่วยในฐานะบุคคล ๆ หนึ่ง ควรบอกผู้ป่วยทุกครั้งที่จะจำกัดพฤติกรรม ระยะเวลา และพฤติกรรมที่จะจำกัด

3) การจำกัดพฤติกรรมควรใช้คำพูดก่อน ถ้าไม่ได้ผลจึงจะใช้วิธีผูกมัด และจำกัดบริเวณ

4) ขณะที่ควบคุมผู้ป่วย พยาบาลต้องไม่พูดหรือแสดงกิริยาดูถูกว่าผู้ป่วยพูดไม่รู้เรื่อง แต่ต้องอธิบายให้เข้าใจว่าการที่เราทำเช่นนี้ไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นการช่วยผู้ป่วยในการควบคุมพฤติกรรมไม่ให้เป็นอันตรายแก่ตนเองและผู้อื่น

5) ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ไม่ทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าถูกลงโทษ และต้องตรวจดูการไหลเวียนเป็นระยะ ๆ อาจเปลี่ยนท่าให้ผู้ป่วยทุกครึ่งชั่วโมง

เป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยและผู้อื่น มีดังนี้

1) พฤติกรรมในรูปของการทำลาย (Destructive behavior) เป็นอันตรายต่อตนเอง และ ผู้อื่น

5) พฤติกรรมที่ต้องยึดผู้อื่นเป็นที่พึ่งพิง (Dependent behavior) เช่น พวกติดยาเสพติด

2) พฤติกรรมสับสนวุ่นวาย พฤติกรรมแปลกๆ อาจเป็นพฤติกรรมถดถอย (Disorganized behavior) เช่น ด่าเกรี้ยวกราดต่อเจ้าหน้าที่

3) มีพฤติกรรมที่แสดงออกมาจากผลของความขัดแย้งในใจ หรือบางทีเรียกว่า Acting out เช่น การเปลือยกาย การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองให้ผู้อื่นดู

4) พฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่สบายต่าง ๆ (Dysphoric behavior) เช่น พวกที่ไม่อยู่ในโลกของความเป็นจริง ซึมเศร้า