Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สรุปองค์ความรู้ หน่วยที่ 1-6 - Coggle Diagram
สรุปองค์ความรู้
หน่วยที่ 1-6
หน่วยที่ 1 แนวคิด หลักการ และแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
1.ความหมายของการวัดผล การทดสอบและการประเมินผล
การวัดผล
เป็นการหาปริมาณหรือจำนวนของสิ่งต่าง ๆ โดยมีการใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งมาวัด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลต่าง ๆ
การวัดทางตรงหรือการวัดที่เป็นวิทยาศาสตร์จะเป็นตัวเลข เช่น น้ำหนัก/ส่วนสูง
การวัดทางอ้อมหรือการวัดที่เป็นสังคมศาสตร์จะเป็นพฤติกรรม เช่น ดี/ไม่ดี
การวัดผลทางการศึกษา
เป็นการวัดความรู้ ความสามารถ คุณลักษณะ ทักษะปฏิบัติต่าง ๆ ของผู้เรียน โดยมีการใช้เครื่องมือการวัดที่เหมาะสมกับผู้เรียน
การทดสอบ
เป็นการวัดผลทางการศึกษาประเภทหนึ่ง โดยมีการใช้ "แบบทดสอบ" มาเป็นเครื่องมือในการวัด
การประเมินผล
หมายถึง กระบวนการในการตัดสินคุณค่าของสิ่งที่ทำการวัดว่ามีผลอย่างไรโดยนำมาเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้
องค์ประกอบของการวัดและประเมินผล
องค์ประกอบของการวัด
1.ปัญหาหรือสิ่งที่จะวัด
ข้อมูลที่ได้จากการวัด
เครื่องมือวัดหรือเทคนิค (มีความสำคัญมากที่สุดเพราะหากเครื่องมือที่ใช้วัดผิดก็จะทำให้ข้อมูลที่ได้ผิดด้วย)
องค์ประกอบของการประเมิน
ข้อมูลที่ได้จากการวัด
เกณฑ์ (ส่วนนี้สำคัญที่สุด)
การตัดสินคุณค่า/การตัดสินใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างการวัดและประเมินผลกับกระบวนการเรียนการสอน
มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
จุดประสงค์การเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนการสอน
การวัดและประเมินผล
การประเมินแบบ Assessment
เป็นการประเมินโดยพิจารณาพัฒนาการของผู้เรียน เน้นสภาพจริง
การประเมินแบบ Evaluation
เป็นการประเมินตัดสินผู้เรียน โดยนำไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ ว่าผู้เรียนนั้นอยู่ในระดับใด
จุดมุ่งหมายของการวัดผลการศึกษา
ค้นหาและพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน
เพื่อพิจารณาว่านักเรียนไม่เข้าใจเรื่องใด มีความรู้มากน้อยแค่ไหน แล้วพยายามอบรมสั่งสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
การวินิจฉัย
เพื่อค้นหาจุดบกพร่องของนักเรียน เพื่อหาทางช่วยเหลือและสอนซ่อมเสริม
จัดอันดับหรือตำแหน่ง
เพื่อจัดอันดับความสามารถของผู้เรียนในกลุ่มเดียวกันว่าใครเด่งใครอ่อน ผ่าน-ไม่ผ่าน
เปรียบเทียบหรือทำให้ทราบพัฒนาการของผู้เรียน
เพื่อให้ทราบความสามารถของตัวนักเรียนเอง (ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น) เช่น การทดสอบก่อน/หลังเรียน
พยากรณ์
เพื่อนำผลไปคาดคะเนหรือทำนายอนาคตของผู้เรียน เช่นแบบทดสอบความถนัด/วัดเชาว์ปัญญา
ประเมิน
สรุปคุณภาพของการจัดการศึกษาว่าควรปรับปรุงหรือไม่
ครู เข้าใจสภาพการเรียนรู้ของนักเรียน
นักเรียน รู้ตัว เข้าใจตัว
เพื่อที่ทั้งครูและนักเรียนจะได้นำไปพัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง
ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา
การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์
คือ ไม่สามารถวัดได้ละเอียดครบถ้วน เช่น ในรายวิชาที่ครูสอนนั้นมีเนื้อหาหลายบท ดังนั้นการออกข้อสอบของครูจึงไม่สามารถที่จะออกให้ครบหมดทุกบทได้
การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม (วัดแบบสังคมศาสตร์)
เนื่องจากไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถวัดความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคลได้จริง เครื่องมือวัดที่เป็นข้อสอบ แบบสังเกตพฤติกรรม เพื่อที่จะศึกษาความรู้ความสามารู้ความสามารถของผู้เรียน จึงเป็นการวัดทางอ้อม
การวัดผลการศึกษามีความคลาดเคลื่อน
เช่น นักเรียนอาจป่วยในวันที่รับการทดสอบึงทำให้นักเรียนอาจทำได้ไม่เต็มที่ หรือ ข้อสอบมีการผิดผลาด โจทย์ไม่ชัดเจน
การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดในเชิงสัมพันธ์
นำผลที่ได้จากการวัดไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์จึงจะแปลความหมายได้
การวัดผลการศึกษาเป็นกาวัดที่ไม่มีศูนย์แท้หรือศูนย์สมบูรณ์
คะแนนหรือผลการวัด = 0 ไม่ได้แปลว่าผู้เรียนไม่มีความรู้ ข้อสอบอาจไม่ครอบคลุมเนื้อหาที่ผู้เรียนควรทราบ
มาตราการวัด
มาตรานามบัญญัติ
เป็นการวัดระดับต่ำสุด ใช้จำแนกความแตกต่าง เช่น เพศ สถานภาพ
มาตราเรียงอันดับ
เป็นระดับที่สูงกว่านามบัญญัติ เป็นตัวเลขที่บอกความหมายในลักษณะ มาก-น้อย สูง-ต่ำ
มาตราอัตรภาค
เป็นระดับที่สูงที่สูงกว่าสองมาตราที่กล่าวมา *มีศูนย์สมมติ มีหน่วยการวัดที่เท่ากัน
มาตราอัตราส่วน
เป็นระดับสูงที่สุด มีความสมบูรณ์มาก *มีศูนย์แท้ เป็นการวัดทางวิทยาศาสตร์ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง
ขอบข่ายในการวัดผลการเรีนรู้ของผู้เรียน
หลักการวัดผลการศึกษา
1.กำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจน
เลือกใช้วิธีการวัดให้เหมาะสม
เลือกใช้วิธีการวัด/เครื่องมือที่หลากหลาย
เลือกตัวแทนสิ่งที่จะวัดให้เหมาสม
ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า
มีความยุติธรรม
ดำเนินการสอบที่มีคุุณภาพ
กระบวนการวัดและประผลการศึกษา
กำหนดจุดประสงค์ (หลักสูตร)
กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (สอน)
สร้างเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
ทดสอบและเก็บรวบรวมข้อมูล
จัดกระทำกับข้อมูล
ตัดสินผลการเรียน (เกณฑ์)
ประเภทของการประเมิน
1.การประเมินผลก่อนเรียน
การประเมินผลระหว่างเรียน
3.การประเมินสรุป
การประเมินแบบอิงกลุ่ม
การประเมินแบบอิงเกณฑ์
หน่วยที่ 2. พฤติกรรมทางการศึกษา
พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย (สมอง)
ความเข้าใจ
เช่น สามารถเข้าใจแผน อธิบายแผนการสอนได้
ความรู้
เช่น รู้ส่วนประกอบกอบแผนการสอนว่ามีอะไรบ้าง
การนำไปใช้
เช่น สามารถเขียนแผนการสอนได้
การวิเคราะห์
เช่น สามารถวิเคราะห์ แยกแยะรายละเอียดนื้อหา ส่วนประกอบ สาระสำคัญของแผนการสอน
การสังเคราะห์
เช่น สามารถสังเคราะห์แนวคิดของแผนการสอนได้
การประเมินค่า
เช่น ประเมินค่าของแผนการสอนว่ามีคุณภาพดีหรือไม่เหมาะสมแก่การนำไปใช้สอนหรือไม่
พฤติกรรมด้านจิตพิสัย (จิตใจ)
ขั้นรับรู้
เป็นการรับรู้สิ่งเร้า เช่น นักเรียนได้รู้จักหรือเห็นหน้าครูผู้สอนเป็นครั้งแรก
ขั้นตอบสนอง
เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าในลักษณะที่ เต็มใจ พอใจ ไม่พอใจ เช่น นักเรียนพอใจในครูผู้สอน
ขั้นเห็นคุณค่า
คือ เกิดความรู้สึกในคุณค่าของสิ่งนั้น เช่น นักเรียนมีการยกครูผู้สอนให้เป็นต้นแบบของตนเอง
ขั้นจัดระบบค่านิยม
เกิดการจัดระบบค่านิยม เช่น นักเรียนเห็นว่าครูผู้สอนมีบุคลิกภาพที่ดี พูดจาไพเราะ
ขั้นสร้างลักษณะนิสัยจากค่านิยม
เช่นการที่นักเรียนอยากพัฒนาตนให้เป็นเหมือนครูผู้สอนที่ตนชื่นชอบ
พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย (ร่างกาย/กล้ามเนื้อ)
การรับรู้
เช่น ในคาบวิชาพละนักเรียนได้รับรู้ว่าจะเรียนเรื่องการแตะฟุตบอล
การเตรียมความพร้อม
เช่น เมื่อนักเรียนรับรู้แล้วว่าจะได้เตะฟุตบอลนักเรียนก็จะมีการเตรียมตัว โดยใส่กางเกง และเตรียมร้องเท้ามา
การตอบสนองตามแนวชี้แนะ
คือ การให้นักเรียนปฏิบัติ โดยการให้เตะฟุตบอลจริง ๆ
การปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
เมื่อนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติแล้ว ก็จะทำให้นักเรียนเกิดทักษะและสามารถเตะฟุตบอลได้
การตอบสนองที่ซับซ้อน
คือ นักเรียนจะสามารถพัฒนาเทคนิคในการเตะฟุตบอล เช่น มีทักษะในการหลบหลีกคู่แข่งได้
การดัดแปลง
เช่น นักเรียนมีการพัฒนาท่าในการเตะฟุตบอล เช่น สามารถตีลังกาเตะฟุตบอลได้
การริเริ่ม
เป็นขั้นสูงสุดของการพัฒนาทักษะ เช่น นักเรียนสามารถคิดวิธีในการเตะฟุตบอลใหม่ ๆ ได้
ประเทศไทยจะใช้เป็น KPA
K (Knowledge) คือ พฤติกรรมด้านความรู้ หรือด้านพุทธิพิสัย
เช่น รู้เรื่องราว คำศัพท์ เหตุการณ์ เนื้อหา วิธีการ ขั้นตอน ฯลฯ
P (Process) คือ พฤติกรรมด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้ หรือด้านทักษะพิสัย
เช่น ทักษะการคิดคำนวณ ทักษะด้านการอ่าน กรเขียน การแต่งกลอน
A (Attitude) คือ พฤติกรรมด้านเจตคติ หรือด้านจิตพิสัย
เช่น ความรู้สึก ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หน่วยที่ 3 การประเมินตามสภาพจริง
การจัดการเรียนการสอนแบบเดิม
ผู้สอนเป็นศูนย์กลาง การจัดการสอนคือการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียน ผู้เรียนมีหน้าที่รับฟัง และจดจำเท่านั้น
การจัดการเรียนการสอนแบบใหม่
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
มีคุณลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการคิด
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
ตัวบ่งชี้ลักษณะการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ของผู้เรียน
ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงสัมพันธ์กับ
สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ
ผู้เรียนฝึกปฏิบัติจนค้นพบความถนัด
และวิธีการของตนเอง
ผู้เรียนทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
จากกลุ่ม
ของครู
ผู้สอนเตรียมการสอนทั้งเนื้อหาและ
วิธีการ
ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศที่
ปลุกเร้า จูงใจและเสริมแรงให้ผู้เรียน
ผู้สอนเอาใจใส่ผู้เรียนเป็นรายบุคคลและแสดงความเมตตาต่อผู้เรียนอย่างทั่วถึง
กิจกรรมการเรียนการสอน
ครูผู้สอนควรเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ
พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
จิตพิสัย (Affective Domain)
ทักษะพิสัย (Paychomotor Domain)
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง
ควรวัดให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย
แต่ระบบการศึกษาของไทยมักใช้ ข้อสอบ หรือ แบบทดสอบ เป็นเครื่องมือวัด จึงทำให้วัดผู้เรียนได้แค่ด้านเดียว คือ ด้านพุทธิพิสัย
คุณลักษณะของการประเมินตามสภาพจริง
การวัดทั่วไป
เน้นที่พฤติกรรมเดี่ยว
หยุดการเรียนการสอนใน
ขณะประเมิน
แคบ
ใช้ตัวเลข
ครูอยู่นอกระบบประเมิน
1 more item...
การวัดตามภาพจริง
เน้นการใช้ความคิด ยุทธศาสตร์ใน
การเรียนรู้ที่ซับซ้อนหลายเชิง
การเรียนการสอนดำเนินไปตาม
ปกติ
กว้าง
ใช้ข้อความ
1 more item...
ประโยชน์ของการประเมินผลตามสภาพจริง
เน้นการใช้ทักษะ ความรู้ความเข้าใจที่สามารถประยุกต์ข้ามวิชาได้
ส่งเสริมให้มีการใช้วิธีการประเมินผลที่หลากหลาย
ใช้งานที่มีลักษณะปลายเปิดและสะท้อนกิจกรรมการเรียนการสอนที่แท้จริง
สามารถใช้ได้ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม
ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล
เครื่องมือในการประเมินตามสภาพจริง
การสังเกต ประกอบด้วย
แบบสำรวจรายการ
ระเบียนพฤติกรรม
แบบมาตราส่วนประมาณค่า
การสัมภาษณ์ ได้แก่
แบบบันทึกการสัมภาษณ์
การสอบถาม ได้แก่
แบบสอบถาม
แบบทดสอบ ประกอบด้วย
แบบเขียนตอบ
แบบทดสอบปฏิบัติจริง
แฟ้มสะสมผลงาน
หน่วยที่ 4 เครื่องมือที่ใช้ในการวัด
พฤติกรรมและลักษณะการแสดงออก
ครูจะต้องพยายามใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีคุณภาพมาวัดพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้เกิดความใจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการศึกษาให้ชัดเจน
เครื่องมือในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษา
แบบมาตราส่วนประมาณค่า
เนื่องจากสามารถวัดความถี่ มาก-น้อย ของพฤติกรรมผู้เรียนได้ ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือประเภทนี้ในการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย และทักษะพิสัย แบ่งเป็นหลายลักษณะดังนี้
มาตราส่วนประมาณค่าแบบบรรยาย
มาตราส่วนประมาณค่าแบบตัวเลข
แบบใช้สัญลักษณ์หรือภาพประกอบ
การจัดอันดับ
แบบวัดเชิงสถานการณ์
เป็นการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ขึ้นแล้วให้บุคคลแสดงความรู้สึก หรือพฤติกรรมด้านสติปัญญาที่ตนมีต่อสถานการณ์นั้น ๆ
การสังเกต
เป็นการพิจารณาปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อค้นหาความจริงบางประการ แบ่งเป็น
การสังเกตโดยผู้สังเกตเข้าไปร่วมในเหตุการณ์
2.การสังเกตโดยผู้สังเกตไม่ได้เข้าไปร่วมในเหตุการณ์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ การสังเกตแบบมีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
การสัมภาษณ์
เครื่องมือชนิดนี้จะใช้ในการวัดพฤติกรรมทางการศึกษาทั้ง 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย
แบบสอบถาม
นิยมใช้วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย โดยจะมีแบบสอบถามปลายเปิดและปลายปิด
แบบวัดทักษะการปฏิบัติ
เป็นการวัดผลงานที่ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ เหมาะกับการวัดด้านทักษะพิสัยและด้านพุทธิพิสัย
แบบตรวจสอบรายการ
ส่วนใหญ่คำถามจะเป็นคำว่า ใช่/ไม่ใช่ มี/ไม่มี
หน่วยที่ 5 เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลในศตวรรษที่ 21
แนวคิดหลักของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
เน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะที่เกิดกับตัวผู้เรียน
การจัดกระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 องค์ประกอบ ได้แก่
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
กรอบแนวคิดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การนำทักษะในศตวรรษที่ 21 ทุกทักษะไปใช้นักเรียนทุกคนจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้มี
ความรู้ความเข้าใจเนื้อหาหลักด้านวิชาการ
นักเรียนสามารถคิดอย่างมีวิจารณญาน
นักเรียนสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องอาศัยการบูรณาการของพื้นฐานความรู้ภายใต้บริบทการสอนความรู้วิชาหลัก
นักเรียนต้องเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในโลก
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 มีดังนี้
สาระวิชาหลัก
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม
ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ
คนทุกคนต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัยและตลอดชีวิต คือ 3R x 7C
3R ได้แก่
อ่านออก (Reading)
เขียนได้(Riting)
คิดเลขเป็น Rithmetics
7C ได้แก่
ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา
( Critical thinking &problem solving)
ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & innovation)
ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์(Cross-cultural understanding)
ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ
(Collaboration, teamwork & leadership)
ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications, information & media literacy)
ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing & ICT literacy)
ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning skills)
แนวทางการวัดและประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
คือ การวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียน และการเรียนรู้ของผู้เรียน ในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
คือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เมื่อเรียนจบหน่วยการเรียน จบรายวิชาเพื่อตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ความรู้ ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านรายวิชาหรือไม่
จุดเน้นของการวัดและประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
(1) สร้างความสมดุลในการประเมินผลเชิงคุณภาพ
(2) เน้นการนำประโยชน์ของผลสะท้อนจากการปฏิบัติของผู้เรียนมาปรับปรุงแก้ไขงาน
(3) ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทดสอบวัดและประเมินผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
(4) สร้างและพัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (Portfolios) ของผู้เรียนให้เป็นมาตรฐานและมีคุณภาพ
วิธีการวัดและประเมินทักษะทักษะในศตวรรษที่ 21
การประเมินด้วยการสื่อสารส่วนบุคคล
การถามตอบระหว่างทำกิจกรรมการเรียน
การพบปะสนทนาพูดคุยกับผู้เรียน
การตรวจแบบฝึกหัดและการบ้านพร้อมให้ข้อมูลป้อนกลับ
การประเมินจากการปฏิบัติ ผู้สอนต้องเตรียมการในสิ่งสำคัญ 2 ประการ คือ
ภาระงานหรือกิจกรรมที่จะให้ผู้เรียนปฏิบัติ
เกณฑ์การให้คะแนน
การประเมินตามสภาพจริง
กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้โดยพิจารณามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน นำมาเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์
กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนและออกแบบ/สร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลการศึกษา
เก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนของผู้เรียน
การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน
ลักษณะของแฟ้มสะสมงาน
ประเภทของแฟ้มสะสมงาน
ส่วนประกอบของแฟ้มสะสมงาน
สิ่งที่เก็บในแฟ้มสะสมงาน
หน่วยที่ 6 แนวทางการวัดและประเมินสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา
ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
กลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องทางการ ศึกษาทั้ง 9 ประเภท
กลุ่มเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
กลุ่มเด็กด้อยโอกาส
ความสำคัญของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 ได้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาเกี่ยวกับคนพิการไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอภาคกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ขยายการจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษเพิ่มขึ้น
เนื่องจากแนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานไม่เหมาะกับนักเรียนที่เรียนรวมอยู่ด้วย จึงมีกฎหมาย ประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 ดังนี้
พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ที่กำหนดให้มีการวางระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่งแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการปรับใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
จุดมุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
เพื่อประเมินความรู้ความสามารถพื้นฐานและความต้องการจำเป็นพิเศษเพื่อวางแผนการจัดการเรียนรู้
เพื่อประเมินพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักเรียนระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อตัดสินผลการเรียน เมื่อจบหน่วยการเรียนรู้หรือจบรายวิชาตามมาตรฐานและตัวชี้วัดในหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP)
จะต้องอาศัยการประเมินระดับความรู้ความสามารถและความต้องการจำเป็นพิเศษของนักเรียนเป็นรายบุคคล
จุดเด่น คือ ความสามารถหรือศักยภาพในปัจจุบันที่นักเรียน สามารถทำได้ในสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้
จุดด้อย คือ สิ่งที่นักเรียนไม่สามารถทำได้ในสาระการเรียนรู้ ทักษะการเรียนรู้
แนวทางการวัดและประเมิน
การประเมินพัฒนาการและผลการเรียนรู้ของนักเรียน (Formative Evaluation)
การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน (Summative Assessment)
หลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
สถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบการวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความต้องการ จำเป็น พิเศษทางการศึกษา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม
มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินระดับความสามารถและความต้องการจำเป็นพิเศษ ปรับปรุงพัฒนานักเรียน และตัดสิน ผลการเรียน
ควรอยู่บน พื้นฐานที่สอดคล้องและตอบสนองกับความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษาของนักเรียน โดยใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ เชื่อมโยงกับมาตรฐานและตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
ต้องดำเนินการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับสภาพปัญหาความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษาและศักยภาพของนักเรียน
แนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยใช้วิธีที่หลากหลาย จากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ควรคำนึงถึงสิ่งที่เป็นข้อจำกัดที่เกี่ยวข้อง และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้สถานศึกษาดำเนิดการโดยการปรับกระบวนการ วิธีการประเมินและเครื่องมือที่ใช้ให้เหมาะกับสภาพความพิการ และความบกพร่องแต่ละบุคคล
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยปรับวิธีการประเมินผลให้สอดคล้องกับศักยภาพ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของนักเรียน
เกณฑ์ในการวัดและประเมิน
การตัดสินผลการเรียน
เวลาเรียน
คุณภาพนักเรียน
มิติของการประเมิน
การให้ระดับผลการเรียน
การให้ระดับผลการเรียน อาจเป็นระบบ ตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ
การประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน
การเลื่อนชั้น
การเรียนซ้ำชั้น
มีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80
นักเรียนมีผลการประเมินผ่านมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดไม่ถึงเกณฑ์ตามที่
สถานศึกษากำหนด
การสอนซ่อมเสริม
เกณฑ์การจบการศึกษา
การรายงานผลการเรียน
แนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษแต่ละ
ประเภท
การประเมินระดับความรู้ความสามารถพื้นฐานและความต้องการจำป็นพิเศษ
การวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)
การกำหนดเกณฑ์และแนวทางการวัดและประเมินผล
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและประเมินผล ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)
การประเมินทบทวนและปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล(IEP)
การรายงานผลการจัดการศึกษาตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)
จัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง
โดยสรุปแล้วในฐานะครูผู้สอนควรให้โอกาสกับผู้เรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันในการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง “ผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา” ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการวัดและประเมิน
รายบุคคลเพื่อนำไปจัดทำเป็นแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)