Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักการพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น - Coggle Diagram
หลักการพยาบาลผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น
การดูแลเด็กโดยให้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง คือ คือ การดูแลเด็กโดยให้ ครอบครัวเป็นศูนย์กลางมีผู้ให้ความหมายไว้ต่างๆ กันแต่ทุกๆความหมายจะมีมโนมติหลัก (core concept) ที่ร่วมกันอยู่
ข้อมูลที่ได้จากการซื่อสาร แลกเปลี่ยน อย่างตรงไปตรงมา
ทางเลือกในเรื่องของการรักษาพยาบาลหรือการดูแล เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวมี บทบาทในการตัดสินใจร่วมกับบุคลากรสุขภาพ
การสร้างพลังใจ หรือพลังอำนาจให้กับครอบครัว
การประสานความร่วมมือ
ความเข้มแข็งของครอบครัว
ความยืดหยุ่นในเรื่องของการให้บริการ
ความเคารพต่อบทบาทสำคัญของครอบครัว
การสนับสนุนให้ครอบครัวมีบทบาทในการดูแลเด็ก
องค์ประกอบหลัก
มีการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ตระหนักว่า ครอบครัวสำคัญที่สุด
มีการเอื้ออำนวยให้เกิดบรรยากาศของความร่วมมือกันระหว่างครอบครัวกับบุคลากรทีมสุขภาพ
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอยู่ตลอดเวลา
มีการกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ตระหนักและเคารพถึงความแตกต่างภายในครอบครัว
ตระหนักและยอมรับความแตกต่างของแต่ละครอบครัว
สนับสนุนและเอื้ออำนวยให้เกิดเครือข่ายของกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
สร้างความมั่นใจว่าระบบบริการสุขภาพและการสนับสนุนช่วยเหลือระหว่างโรงพยาบาล บ้าน และ ชุมชน
ให้คุณค่าของครอบครัวในความเป็นครอบครัว
เด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นภาวะวิกฤต (Crisis) ในชีวิตสำหรับเด็ก เช่น มีไข้ ไอ หรือมีอาการรุนแรง เช่นการได้รับอุบัติเหตุ
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดเกิด
การเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
เด็กมีความจำกัดในเรื่องกลไกในการปรับตัวต่อความเครียด ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายประการของผู้ป่วยเด็กและครอบครัว
ประเภทของความเจ็บป่วย
ความเจ็บป่วยเฉียบพลัน ่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เฉียบพลัน และระยะเวลาของ การเจ็บป่วยค่อนข้างสั้น
ความเจ็บป่วยเรื้อรัง ่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ระยะเวลาของการเจ็บป่วยนาน อย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของเด็กต่อการเจ็บป่วยและการอยู่โรงพยาบาลของเด็ก
ลักษณะการเลี้ยงดูก่อนเจ็บป่วย
ประสบการณ์การเจ็บป่วย และการรักษาพยาบาลที่ได้รับในอดีต
ชนิดและความรุนแรงของความเจ็บป่วย
สัมพันธภาพระหว่างบิดามารดา/ผู้ดูแล และบุคคลในครอบครัว
ระดับอายุและพัฒนาการของเด็กแต่ละด้าน
ความเชื่อเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาลของเด็กและบิดามารดา/ผู้ดูแล
การรับรู้ความเจ็บป่วยของเด็ก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ อายุ ความสามารถของสติปัญญา และประสบการณ์
อายุ 7 - 12 ปี เด็กรับรู้ว่าคน วัตถุ หรือกิริยาภายนอกตัวเด็กที่ “ไม่ดี” หรือ “เป็นอันตราย”
อายุมากกว่า 13 ปี รับรู้ว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการทำหน้าที่ของอวัยวะผิดปกติหรือไม่มีการทำงานของ อวัยวะ
อายุ 2 – 7 ปี เด็กรับรู้ว่าสิ่งภายนอกทำให้เกิดการเจ็บป่วย เช่น เจ็บป่วยเนื่องจากรู้สึกไม่สบาย
ผลกระทบของความเจ็บป่วยและการอยู่โรงพยาบาล
ผลกระทบต่อครอบครัว
ด้านร่างกายเด็กมักเกิดความเจ็บป่วยภายหลัง เนื่องจากขาดการพักผ่อน รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
ด้านจิตใจและอารมณ์ เกิดความกังวล เครียด ไม่แน่ใจ เกี่ยวกับการเจ็บป่วยของเด็ก
ด้านความสัมพันธ์และการดำเนินชีวิตในครอบครัว เกิดการกล่าวโทษระหว่างผู้ดูแลเด็ก ความสัมพันธ์สามีและภรรยาและบุตรคนอื่นเสียไป
ด้านพี่น้องคนอื่นๆ อาจเกิดความ รู้สึก ขาดความปลอดภัย ไม่พึงพอใจ สับสน วิตกกังวล เรียกร้องความสนใจ
ด้านเศรษฐกิจของครอบครัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มขึ้น เช่นค่าเดินทาง ค่ารักษา พยาบาล
ผลกระทบต่อสังคม ครอบครัวและเด็ก
หากความเจ็บป่วยจากโรคระบาดจะทำให้คนในชุมชนเกิดความเจ็บป่วยไป ด้วย ทำให้ชุมชนไม่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาสังคมไม่เกิดขึ้น
ผลกระทบต่อตัวเด็ก
ด้านร่างกาย ร่างกายมีการใช้พลังงานมากเมื่อเกิดความเจ็บป่วย จะส่งผลให้เกิดการขาดอาหาร เจริญเติบโตช้า
ด้านจิตใจ และอารมณ์ เด็กมักเกิดความกลัว เครียด เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง สูญเสียภาพลักษณ์
ด้านพัฒนาการ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการล่าช้าทั้งทางตรงและทางอ้อม
ด้านสังคม เด็กไม่มีสัมพันธภาพกับครอบครัว เพื่อน และชุมชน หรืออาจถูกล้อเลียน ทำให้เกิดการแยกตัว
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก
เด็กวัยทารก หากไม่สามารถ พัฒนาความไว้วางใจได้ จะเกิดความไม่ไว้วางใจขึ้นมาแทน
เด็กวัยเตาะแตะ/เด็กวัยหัดเดิน ถ้าพัฒนาการทั้งสองด้านไม่ได้รับการตอบสนอง เด็กจะเกิดความละอายและความ สงสัย
เด็กวัยก่อนเรียน หากการพัฒนาขั้นนี้ไม่เกิดขึ้นเด็กจะเกิดความรู้สึกผิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อการแยกจาก ค่อนข้างรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กวัยหัดเดินมักจะแสดงพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดเจน
เด็กวัยเรียนและเด็กวัยรุ่น ด็กมีความกลัวต่อการแยกจากครอบครัว ในขณะเดียวกันเด็กต้องการความเป็นตัวของตัวเอง
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการแยกจาก
ระยะต่อต้าน
ทารกจะร้องไห้มองหาบิดามารดา ไม่ยอมให้คนแปลกหน้าแตะต้องเด็กแสดง ปฏิกิริยาก้าวร้าวต่อการแยกจากผู้ดูแล โดยการร้องไห้
ระยะหมดหวัง
เด็กไม่แสดงอาการร้องไห้ แต่มีอาการซึมเศร้า ความตื่นตัวต่อสิ่งต่างๆลดลง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม การรับประทานอาหาร แยกตัวจากผู้อื่น
ระยะปฏิเสธ
เด็กแสดงทีท่าคล้ายกับปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ และมี ท่าทีเป็นมิตรกับผู้อื่น
การสูญเสียความสามารถในการควบคุม
วัยทารก เกิดจากต้องเข้ามาอยู่ในการปฏิบัติงานของหอผู้ป่วย การดูแลจาก บุคคลที่ไม่คุ้นเคยหลายๆคน
วัยหัดเดิน เด็กตอบสนองด้วยการมีพฤติกรรมถดถอย เช่น เด็กรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนที่บ้าน เด็กอาจมีปฏิกิริยาปฏิเสธอาหาร
วัยก่อนเรียน เกิดจากการจำกัดทางร่างกาย กิจวัตรประจำวัน เปลี่ยนแปลง และอยู่ในภาวะพึ่งพา
วัยเรียน การที่ต้องเข้ามาอยู่ในกฎระเบียบของโรงพยาบาล จะทำให้เด็กรู้สึกว่าความมั่นคง ของตนเองถูกคุกคาม เกิดความเบื่อหน่าย
วัยรุ่น การถูกจำกัดต่างๆทำให้เด็ก สูญเสียการสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง เด็กตอบสนองด้วยการปฏิเสธ ไม่ให้ความร่วมมือ
การพยาบาลผู้ป่วยเด็กในระยะสุดท้าย
ภาวะใกล้ตาย คือภาวะที่บุคคลต้องเผชิญความตายของตนเองและบุคคลมีความเชื่อว่าตนเอง กำลังจะตาย
ความตาย คือ การสิ้นสุดชีวิตอย่างถาวรเป็นการยุติสภาพการทำงานโดยสิ้นเชิงทั้งทางด้าน ร่างกายและจิตใจ
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ให้การดูแลที่ครอบคลุมปัญหาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ โดยมีเป้าหมายการดูแลที่เน้นให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
แนวคิดเกี่ยวกับความตายในเด็ก
วัยทารก เด็กวัยทารกจะยังไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับความตาย และยังไม่สามารถรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของการตาย
วัยหัดเดิน ยังไม่เข้าใจเรื่องการตาย เด็กจะพูดถึงคนที่ตายไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วัยก่อนเรียน เด็กจะเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปของความตายและเริ่มตระหนักว่าความตายเป็นลักษณะที่แตกต่างไปจากการมีชีวิต
วัยเรียน เข้าใจเกี่ยวกับความตายได้มาก ขึ้นแต่ยังไม่สมบูรณ์ เป็นเรื่องของการแยกจากจนเมื่ออายุ 9-12 ปี จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับความตายมากขึ้น
วัยรุ่น มีความเข้าใจเกี่ยวกับความตายได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ว่าความตายเป็นการสิ้นสุดของชีวิตเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาต
การพยาบาลเด็กระยะสุดท้าย
ด้านร่างกาย
บรรเทาความทุกข์ทรมาน จากอาการต่างๆที่เกิดขึ้นในวาระสุดท้ายของชีวิต
การดูแลความสะอาดของร่างกาย ให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ กับความต้องการ
ด้านจิตใจ มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความสุขทางใจ ลดความเครียด ความวิตกกังวลทั้งของเด็กและ ครอบครัว
ด้านสังคม ควรให้เด็กได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่นแวดล้อมด้วยคนใกล้ชิด ถ้าเป็นไปได้ ทีมการดูแล รักษาควรเป็นทีมเดิม เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่คุ้นเคย
ด้านจิตวิญญาณ ควร เปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ ให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เด็กมั่นใจว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง
การปฏิบัติในวันสุดท้ายของชีวิต
ประเมินสัญญาณอาการของผู้ป่วยที่แสดงว่ากำลังจะตาย เช่นการหายใจ ชีพจร
ดูแลด้านร่างกายอย่างใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายลดการปวดและอาการความไม่สุขสบายอื่นๆ
ให้ความยืดหยุ่นในกฎระเบียบ โดยเปิดโอกาสให้บิดามารดาเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
สังเกตอาการการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
ประคับประคองด้านจิตใจ
รับฟังความคิดเห็น เป็นผู้ฟังที่ดี หลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้ง