Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงในระยะตั้งครรภ์ปกติ, นางสาวอัฐชฎารัตน์ ศรีอาวุธ เลขที่130…
การเปลี่ยนแปลงในระยะตั้งครรภ์ปกติ
ความหมาย
หมายถึง ลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่เกิดการปฏิสนธิ(fertilization) ระหว่างตัวอสุจิกับไข่ การฝังตัว(Implantation) การเจริญเติบโตของตัวอ่อน (embryonic growth) การเจริญเติบโตของทารก (fetal growth) และสิ้นสุดเมื่อทารกนั้นคลอด
ไตรมาสที่ 2 (second trimester) คือระยะเวลาของการ
ตั้งครรภ์ตั้งแต่เดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 6 (13-28 สัปดาห์)
3.ไตรมาสที่3 อายุครรภ์ระยะสัปดาห์ที่ 28-40 ทุกอวัยวะและระบบในร่างกายของทารกพัฒนาเต็มที่
ไตรมาสที่ 1 (first trimester) คือระยะเวลาของการตั้ง
ครรภ์ ตั้งแต่เดือนที่ 1 ถึงเดือนที่ 3 (1-12 สัปดาห์) :
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านภาพลักษณ์ (Body image) การเปลี่ยนแปลงในบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว สิ่งที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความเครียดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ พื้นฐานทางวัฒนธรรมและสังคมของหญิงตั้งครรภ์และครอบครัว การยอมรับหรือปฏิเสธการดั่งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ส่วนมากจะแสดงการตอบสนองทางอารมณ์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น แสดงความรู้สึกลังเล(Ambivalence) ความกลัว และความวิตกกังวล การยอมรับตนเอง การคิดถึงแต่ตนเอง (Introversion) ความรู้สึกต้องการพึ่งพาผู้อื่น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางภาพลักษณ์และความรู้สึก
ด้านเพศสัมพันธ์
การปรับตัวเข้าสู่บทบาทการเป็นมารดา
พัฒนกิจขั้นที่ 1 สร้างความมั่นใจและการยอมรับการตั้งครรภ์ (Pregnancy validation)
พัฒนกิจขั้นที่ 2 การมีตัวตนของบุตร รับรู้ว่าบุตรเป็นส่วน
นึงของตน
พัฒนกิจขั้นที่ 3 การยอมรับว่าทารกเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากตน
พัฒนกิจขั้นที่ 4 การเปลี่ยนบทบาทการเป็นมารดา Role
transition
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของหญิงตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
(Musculoskeletal system adaptations)
การเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และการเพิ่มของน้ำหนักในระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้ท่าทาง (posture) เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หญิงตั้งครรภ์จะเดินหลังแอนมากขึ้น ตามอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมดลูกโตขึ้นทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเคลื่อนมาข้างหน้า และเป็นการถ่วงน้ำหนักของมดลูกที่ค่อนไปข้างหน้า ร่างกายจึงพยายามแอ่นหลัง เพื่อรักษาความสมดุล จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง ซึ่งพบได้
บ่อยมากอาการหนึ่งในระหว่างการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ
(Renal system adaptations)
ในระหว่างการตั้งครรภ์ ระบบขับถ่ายปัสสาวะจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและ สรีรภาพ เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรนและการถูกกดจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น รวมทั้งการเพิ่มของปริมาณโลหิตในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine Adaptations)
เกิดขึ้นอย่างมากของระบบต่อมไร้ท่อเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้ และช่วยให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นไปได้อย่างปกติ รวมทั้งช่วยในการฟื้นฟูสภาพในระยะหลังคลอด ต่อมไร้ท่อเพิ่มการ
ผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ในระหว่างการตั้งครรภ์ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อและช่วยในการรักษาภาวะสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์ได้แก่ ต่อมพิตอิตารี่ รังไข่ รก ตับอ่อน ไทรอยด์ และพาราไทรอยด์
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
(Cardiovascular Adaptations)
การปรับตัวของสตรีในะระยะตั้งงครรภ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบหัวใจ และการไหลเวียนโลหิตมากมาย ทั้งด้านกายภาพและสรีรภาพ เพื่อป้องกันให้การทำหน้าที่ทางด้านสรีรวิทยาในหญิงตั้งครรภ์เป็นไปได้อย่าง
ปกติ และช่วยให้กระบวนการเผาผลาญสารอาหารของร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถปรับตัวตอบสนองต่อความต้องการของทารกที่กำลังเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจากผล
ของฮอร์โมนในการตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
(Reproductive Adaptations)
เต้านม (Breasts)จะขยายใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะในระยะสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์ หลังขาดประจำเดือนจะรู้สึกว่าเต้านมหนักขึ้น ไวต่อความรู้สึกปวดเสียวร่วมกับผิวหนังบริเวณรอบหัวนม และลานนม (areolar) จะมี สีเข้มขึ้น มีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นบริเวณลานนม เนื่องจากการขยายของต่อมไขมัน (sebaceous gland) เรียกว่าMontgomery's tubercle ซึ่งอาจทำให้มีน้ำนมเหลือง(colostum) เมื่อตั้งครรภ์ได้ 2 - 3 เดือน
เอ็นยึดข้อต่อของกระดูกและอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
(Ligaments and Joints of pelvic organs)เอ็นยึดและ
ข้อต่อต่าง ๆ จะยืดขยายและนุ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้ยืดขยายใหญ่ในขณะคลอด ซึ่งอาจมีผลทำให้หญิงตั้ง
ครรภ์รู้สึกปวดเมื่อยและเดินไม่ถนัด
5.รังไข่และท่อนำไข่ (Ovaries and Fallopian tubes)ไม่เกิด
การตกไข่ (ovulation) และไม่มีประจำเดือน (amenorrhea)
เนื่องจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจส
เตอโรนจากรกบริเวณท่อนำไข่จะมีการขยายใหญ่และยาวขึ้น
ทำให้ท่อมดลูกเกือบตั้งฉากกับด้านข้างของมดลูก กล้ามเนื้อ
ของท่อมดลูกไม่เพิ่มขนาดขึ้น แต่มีโลหิตเพิ่มมากขึ้น หลอดโลหิตที่มาเลี้ยงบริเวณรังไข่และท่อนำไข่จะขยายใหญ่ขึ้น
มากกว่าก่อนการตั้งครรภ์ถึง 3 เท่า
4.มดลูก (Uterus)เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยามากในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาด รูปร่าง น้ำหนัก และความจุ ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogen ,Progesterone และแรงดันจากผลผลิตของการตั้งครรภ์ (conceptive products) ซึ่งขยายอย่างรวดเร็วมดลูกจะมีความจุเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1,000 เท่า และมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ 30 เท่าเมื่อครรภ์ครบกำหนด
3.ปากมดลูก (Cervix)ปากมดลูกจะนุ่มและเปลี่ยนเป็นสี
คล้ำ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า Goodell's Sign ซึ่งจะพบเมื่อ
ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 1 เดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ถือว่าเป็นอาการแสดงแรกสุดของการตั้งครรภ์ ปากมดลูกนุ่ม
และสีคล้ำเกิดจากการบวมน้ำและการมีโลหิตมาเลี้ยง
เพิ่มขึ้น
ช่องคลอด มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและเกิดการคั่งของเลือดในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น มีผลให้ผิวของเยื่อบุผนังช่องคลอดเปลี่ยนสีจากสีชมพูเป็นสีม่วง เรียกว่าChadwick's sign การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ผนังช่องคลอดจะขยายใหญ่ขึ้นและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connectiveTissue) บริเวณนี้จะอ่อนนุ่มลงเพื่อเป็นการเตรียมช่องคลอด ให้ขยายได้มากขึ้นในระหว่างการคลอด
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ผิวหนังและกล้ามเนื้อฝีเย็บจะขยายใหญ่ขึ้น เนื่องจากการกระตุ้นของฮอร์โมน ทำให้มีเลือดมาหล่อเลี้ยงและเกิดการคั่งของเลือดในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น ร่วมกับการคลายตัวของผนังหลอดเลือดและ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของมดลูก
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์
1 . ระยะก่อนตัวอ่อน (Pre-embryonic period) เป็นระยะเริ่มต้นของชีวิต เป็นระยะที่มีการรวมตัวของเซลล์ไข่กับสเปิร์ม (sperm แล้วต่อมาเชลล์ไข่ที่ถูกผสแล้ว(fertilized ovum หรือ zygote) เริ่มมีการแบ่งตัว ไปจนเป็นตัวอ่อน ฝั่งตัวเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูกของมารดาใช้เวลประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากการปฏิสนธิ
ระยะตัวอ่อน (Embryo period) นับจากสัปดาห์ที่ 2 - 8เป็นระยะที่มีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงของอวัยวะทุกอย่าง แต่รูปร่างยังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ระยะนี้สำคัญมากเพราะ ความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิดจะเกิดขึ้นในระยะนี้ได้ง่าย
ระยะทารก (Fetal period) เริ่มตั้งแต่สัปดาห์ที่ 9 หลังจากปฏิสนธิไปจนถึงเมื่อทารกคลอด ตัวอ่อนในระยะนี้เรียกว่า ในระยะนี้ ร่างกายของทารกจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการแยกความแตกต่างในหน้าที่ของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายแต่ละระบบ
การเกิดรกและเยื่อหุ้มทารก (Placental and Fetal membrane development)
สายสะดือ (Umbilical cord)
สายสะดือเจริญมาจาก mesoderm ที่อยู่นอกร่างกายทารก เป็นเส้นทางติดต่อระหว่างทารกในครรภ์กับรก โดยที่ปลายข้างหนึ่งติดอยู่กับรก และปลายอีกด้านหนึ่งติดอยู่กับทารกในครรภ์ ภายในสายสะดือมีเส้นเลือด 3 เส้น คือ เส้นเลือดแดง (umbilical arteries) 2 เส้น จะนำเลือดที่ถูกใช้แล้วจากทารกในครรภ์ไปสู่รก และเส้นเลือดดำ (umbilical vein) 1 ส้น จะนำเลือดดีจากรกไปสู่ทารกในครรภ์
ภายหลังไข่ถูกผสมกับ Sperm แล้ว จะมีฝังตัวในเยื่อบุมดลูก
ประมาณวันที่ 7 rophoblast จะเป็นแผ่นแยกออกเป็น 2 ชั้น
ชั้นในเรียกว่า Cytotrophoblast ส่วนชั้นนอกเรียกว่าSyncytiotrop hoblast เป็นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวตลอดเวลา มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นเข้าไปในเยื่อบุโพรงมดลูก
หน้าที่ของรก
นำอาหารมาให้ทารกระหว่างตั้งครรภ์
แลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างเลือดแม่กับเลือด
ลูก
การขับถ่าย
ความต้านทานหรือภูมิคุ้มกันโรค
สร้างฮอร์โมน เช่น H.C.G.
เยื่อหุ้มเด็ก (Fetal membrane)
เยื่อหุ้ม้ด็กประกอบด้วย2ชั้น
Amnion เป็นเยื่อหุ้มชั้นในที่ห่อหุ้มตัวเด็ก มีลักษณะบาง
ใส ไม่มีเลือด เกิดจากTrophoblast ขณะที่ Inner cell
mass แยกออกไป ทำให้เกิดช่องว่างภายใน ช่องว่างนี้
มีของเหลวขังอยู่เรียกว่า น้ำคร่ำ หรือ น้ำหล่อเด็ก(Amniotic fluid)
Chorion เป็นเยื่อหุ้มชั้นนอก ซึ่งคือ Trophoblast ที่แผ่ออกไป เป็นเยื่อหุ้มที่ติดต่อเป็นผืนเดียวจากขอบรก มีความหนา ขุ่น ขรุขระ แต่ไม่เหนียว ฉีกขาดง่าย และเป็นส่วนที่อาจค้างอยู่ในโพรงมดลูกได้ง่าย
น้ำหล่อเด็กหรือน้ำคร่ำ (Amniotic น้ำคร่ำเป็นของเหลวที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเด็กชั้นใน (Amnion) ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ มาจาก serum ของมารดา หลังจากอายุครรภ์ 16สัปดาห์ ปัสสาวะของทารกในครรภ์จะเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำคร่ำ สารคัดหลั่งจากปอด fluid)
พัฒนาการของระบบต่างๆในร่างกายทารกในครรภ์
1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด
เป็นระบบแรกที่เริ่มทำงานประมาณสัปดาห์ที่ 3 หัวใจเริ่มมีการเจริญเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตั้งแต่สัปดาห์ที่ 4 จะมีผนังกั้นแบ่งหัวใจเป็นห้องๆ ประมาณสัปดาห์ที่ 6-7 และเริ่มมีลิ้นหัวใจประมาณสัปดาห์ที่ 7 ซึ่งต่อมาเลือดจะเริ่มไหลเวียนในตัวอ่อนอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อนและช่วยให้ตัวอ่อนเจริญเติบ โต โดยนำลือดที่มีออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงตัวอ่อน
2.ระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินหายใจเริ่มมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการขึ้นหลังการฝังตัวที่ผนังมดลูกประมาณ สัปดาห์ที่ 4 มีการสร้างท่อทางเดินหายใจแรกเริ่มที่พัฒนามาจากการแตกแขนงของเยื่อบุทางเดินอาหารชั้นใน ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หลังจากการฝังตัวที่ผนังมดลูก ประมาณ 16-28 สัปดาห์ ทางเดินหายใจตอนต้นส่วนใหญ่พัฒนาเสร็จสมบูรณ์แล้วปอด เมื่ออายุครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยปอดจะสมบูรณ์เต็มที่เมื่ออายุครรภ์ได้ 35 สัปดาห์เป็นต้นไป
3.ระบบทางเดินอาหาร
ทางเดินอาหารจะแยกจากทางเดินหายใจ ประมาณสัปดาห์ที่ 4ของการตั้งครรภ์ อมาสัปดาห์ที่ 11 ของการตั้งครรภ์ ลำไส้เล็กมี Peristalsis และสามารถดูดซึม Glucose ได้ดี การกลืนน้ำคร่ำ, ดูดซึมน้ำและขับกาก สัปดาห์ที่ 16 ระบบย่อยอาหารเริ่มทำงานเมื่อสัปดาห์ที่ 24 ทารกในครรภ์จะดูดและสามารถกลืนน้ำคร่ำได้ประมาณ 5 cc/ชม. ในระยะแรกทารกในครรภ์กลืนน้ำคร่ำได้น้อย จึงไม่มีผลต่อการควบคุมปริมาณน้ำคร่ำ แต่ต่อ
มาระยะหลังทารกกลืมน้ำคร่ำได้มากขึ้น
4.ระบบขบถ่ายปัสสาวะ
มีพัฒนาการด้วยกันกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ จากเยื่อบุผิว
ชั้น mesoderm ของช่องท้อง และ ectoderm ของ urogenital sinus ไต มีความสำคัญในการควบคุมส่วนประกอบและปริมาณน้ำคร่ำ น้ำคร่ำจึงประกอบด้วยปัสสาวะของทารกในครรภ์เป็นส่วนใหญ่ ประมาณ
สัปดาห์ที่ 12 ทารกในครรภ์เริ่มมีการสร้างน้ำปัสสาวะและสัปดาห์ที่ 16 เริ่มถ่ายปัสสววะได้
5.ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
อวัยวะสืบพันธุ์จะมีพัฒนาการพร้อมกับระบบขับถ่าย
ปัสสาวะ เพศของทารกสามารถกำหนดได้ตั้งแน่มีการ
ปฏิสนธิ ขึ้นอยู่กับอสุจิมี chromosome X หรือ Y ประมาณ
สัปดาห์ที่ 7 เริ่มแยกเพศได้
6.ระบบประสาท
สมองและไขสันหลังเป็นหนึ่งในระบบแรกๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้น
อย่างรวดเร็ว โดยเจริญมาจากectoderm ที่อยู่ด้านหน้า
7.ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
ระบบนี้มีพัฒนาการมาจาก mesoderm จะเจริญเป็น mesenchyme ต่อไปจะเจริญกลายเป็นกล้ามเนื้อ
(myoblasts) กลายเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (fibroblast) กลาย
เป็นกระดูกอ่อน (chondroblast) และกลายเป็นกระดูก
(osteoblast)
นางสาวอัฐชฎารัตน์ ศรีอาวุธ เลขที่130 รหัสนักศึกษา 62114301135