Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะการหายใจล้มเหลว (Respiratory failure), 996, 877, 88 - Coggle Diagram
ภาวะการหายใจล้มเหลว (Respiratory failure)
เป็นภาวะที่ระบบหายใจไม่สามารถทำหน้าที่ระบายอากาศและแลกเปลี่ยนก๊าซได้เพียงพอกับความต้อง
การของร่างกายจะมีระดับออกซิเจนในเลือดแดง (PaO2) ต่ำกว่าปกติ และคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด (PaCO2) สูงกว่าปกติและร่างกายมีความเป็นกรดมากขึ้น
ชนิดของภาวะการหายใจล้มเหลว
แบ่งตามระยะเวลาการเริ่มต้นการเกิดสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
การหายใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน (Acute respiratory failure)
คือ ภาวะที่มีการบกพร่องของออกซิเจนในหลอดเลือดแดงโดยมี pao2 ต่ำกว่า 50 มิลลิเมตรปรอทหรือคาร์บอนไดออกไซด์ข้าง โดยมี paco2 สูงกว่า 50 มิลลิเมตรปรอท เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
การหายใจล้มเหลวอย่างเรื้อรัง (Chronic respirstory failure)
คือ ภาวะที่มีการป้องกันของออกซิเจนในเลือดแดงและคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยเกิดหลัง 48 -72 ชั่วโมงร่างกายสามารถปรับชดเชยโดยการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นและไตชดเชยภาวะการเป็นกรดด่างของร่างกายโดยการเก็บคาร์บอเนตไว้เพิ่มขึ้นและมีผลให้ HCO3ในเลือดสูง
แบ่งตามกลไกการเกิดและค่าของก๊าซในเลือดแดงสามารถแบ่งได้ 2 ชนิด
1.การถ่ายทอดออกซิเจนล้มเหลว
คือ ภาวะหายใจล้มเหลวที่เกิดจากความผิดปกติของการแลกเปลี่ยนก๊าซเนื่องจากความผิดปกติของเนื้อปอดและหลอดเลือดปอด
ซึ่งมีผลให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดน้อยลงแต่ไม่มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์เนื่องจากร่างกายปรับสภาพโดยการเพิ่มการระบายอากาศในถุงลมส่วนอื่นที่ปกติ
2.การระบายอากาศล้มเหลว
เกิดจากการระบายอากาศน้อยกว่าปกติอากาศไม่สามารถกระจายไปยังถุงลมอย่างสม่ำเสมอการระบายอากาศ
จึงไม่เพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนก๊าซ มีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเกิดการพร่องออกซิเจน
เมื่อได้รับออกซิเจนน้อยและถูกเจือจางโดยคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีจำนวนมาก
มีสาเหตุจากความผิดปกติของสูญหายใจโรคกล้ามเนื้อและระบบประสาท ความผิดปกติของทรวงอกเป็นผลให้การระบายถุงลมลดลง
สาเหตุของภาวะการหายใจล้มเหลว
1.ความผิดปกติที่ปอด
Odstructive pulmonary function
เช่น ผู้ป่วยที่มี asthma อย่างรุนแรง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นหลอดลม
Respiratory pulmonary function
เช่น ปอดอักเสบ(pneumonia) น้ำท่วมปอด(pulmonary edema) ปอดแฟบ(atelectasis)
ความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปอด
เช่น มี pulmonary embolism
2.ความผิดปกติที่ช่องทรวงอกและเยื่อหุ้มปอด
เช่น chest injury การได้รับการผ่าตัดช่องทรวงอก
3.ความผิดปกติที่ระบบประสาทส่วนกลาง
เช่น ศูนย์ควบคุมการหายใจถูกกดสมองได้รับบาดเจ็บ สมองขาดเลือดไปเลี้ยง สมองอักเสบ
4.ความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
เช่น บาดทะยัก โปลิโอ การบาดเจ็บของไขสันหลัง Myasthenia Gravis, Guillain Barre Syndrome
5.ความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด
เช่น shock,left side heart failure
อาการและอาการแสดง
เมื่อมีภาวะการหายใจล้มเหลวอาการและอาการแสดงที่จะพบเป็นการปรับตัวชดเชยของอวัยวะต่างๆต่อภาวะ hypoxemia คือ
1.respiratory system
หายใจเร็ว หายใจลำบาก ระยะท้ายจะมีอาการหายใจเบาตื้นช้าลง จนกระทั่งหยุดหายใจและมีอาการเขียว
2.cardiovascular system
ชีพจรเต้นเร็วความดันโลหิตสูงอาจมีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะและระยะท้ายมี hypotension
3.central nervous system
ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนไปสับสนไม่มีสมาธิกระสับกระส่าย
ถ้ามีภาวะ hypoxemia รุนแรงมากขึ้นผู้ป่วยจะซึมลงและไม่รู้สึกตัว
และมีอาการแสดงของ hypercapnai คือปวดศีรษะ ผิวหนังอุ่นแดงซึมลง ชัก และไม่รู้สึกตัวได้
4.hematologic effect
เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มออกซิเจนในเลือดซึ่งต่อมาเลือดจะเกิดขึ้น
5.Acid-base balance
เมื่อมีภาวะ hypoxemia รุนแรงมากขึ้นเรียกมีภาวะเป็นกรดมากขึ้นจะกระตุ้นการหายใจเร็วขึ้นเป็นการชดเชยลดความเป็นกรด
การรักษามีหลักการดังนี้
1.ให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยมีวิธีคือ
ให้ออกซิเจนเพื่อแก้ไขภาวะHypoxemia
การให้ออกซิเจนเพื่อป้องกันหรือสดภาวะ Hypoxia การให้ออกซิเจนเป็นการเพิ่มแรงดันออกซิเจนในอากาศที่หายใจเข้าไป
แก้ไขภาวะอุดกั้นในหลอดลม
การแก่ไขหรือลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ เช่นระบายเสมหะ ระบายน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด ให้ยาขยายหลอดลมยาลดอาการบวมของทางเดินหายใจ การสอนการไอที่มีประสิทธิภาพ
แก้ไขภาวะ Alveolarhypoventilation
2.การรักษาโรคหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการหายใจล้มเหลว
รักษาตามสาเหตุ เช่น บรรเทาการตินดันของหลอดลมโดยให้ยาขยายหลอดลมูเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดออกหามีน้ำมาก
รักษาปอดอักเสบโดยให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อ ให้ออกซิเจน ซึ่งปกติให้ในความเข้มข้นสูง ยกเว้นในรายที่มีการอดกั้นของหลอดลมเรื้อรัง
โรคหลอดลมอักเสบเรื่อรังและโรคถงลมโป่งพอง จะให้ออกซีเจนประมาณ 25-35% เพื่อป้องกันการเกิด CO2 narcosis ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
การรักษาตามอาการ
เช่น การให้อาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
ภาวะหายใจล้มเหลว แบ่งออกได้เป็น
ภาวะหายใจล้มเหลวที่มีระดับก๊าซออกซิเจนในเลือดแดงต่ำกว่าปกติ
คือมีความดันก๊าซน้อยกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท จะเรียกว่า Hypoxemic respiratory failure
ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดแดงเป็นปกติ หรือต่ำกว่าปกติเล็กน้อย
สาเหตุเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างอากาศ และเลือดที่ไหลเวียนเข้าสู่ปอดเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซ โดยอาจเกิดจาก
มีอากาศไหลเวียนเข้าสู่ถุงลมเพียงพอ แต่มีเลือดไหลมาแลกเปลี่ยนก๊าซไม่เพียงพอ (เรียกว่าเกิด V/Q mismatch)
เกิดจากไม่มีอากาศไหลเวียนเข้าสู่ถุงลม แต่มีเลือดไหลมาที่ถุงลม ซึ่งทำให้เลือดไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดขึ้น (เรียกว่าเกิด Shunt)
ผลที่ตามมาคือทำให้มีระดับก๊าซออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งโรคและภาวะที่ทำเกิด V/Q mismatch และ Shunt เกิดขึ้น ได้แก่
โรคปอดบวมจากการติดเชื้อ โดยอาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย, โรคติดเชื้อไวรัส, หรือ โรคติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว
โรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคซีโอพีดี (COPD,Chronic obstructive pulmonary disease) โรคปอดเรื้อรังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากหลอดลมติดเชื้อเรื้อรังร่วมกับโรคถุงลมโป่งพอง
โรคปอดอักเสบเรื้อรังที่มีพังผืดเกิดขึ้นในปอด (Pulmonary fibrosis)
การเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดในปอด
ภาวะปอดแฟบ
อากาศไม่สามารถเข้าไปในถุงลมได้ เนื้อเยื่อปอด/ถุงลมจึงแฟบลง
ภาวะน้ำท่วมปอด
มีน้ำซึมจากหลอดเลือด เข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อปอด
ภาวะหายใจล้มเหลว/ ระบบหายใจล้มเหลวที่มีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงกว่าปกติ
คือมีความดันก๊าซมากกว่า 50 มิลลิเมตรปรอท จะเรียกว่า ‘Hypercapnic respiratory failure
สาเหตุเกิดจากการหายใจเข้าลดลง อาจเป็นจำนวนครั้งของการหายใจเข้าที่ลดลง หรือหายใจเข้าตื้นกว่าปกติ
โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากโรคของระบบประสาท และของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ควบคุมหายใจเข้าออกของปอด
ภาวะหายใจล้มเหลวมีผลข้างเคียง
เกิดจากการที่อวัยวะต่างๆในร่างกายได้รับออกซิเจนจากเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ร่วมกับภาวะที่เลือดเป็นกรดจากการมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานผิดปกติไป ได้แก่
ระบบไหลเวียนโลหิต
ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตต่ำ มีหัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ระบบทางเดินอาหาร
ลำไส้หยุดการเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยปวดท้อง, ท้องอืด, อาเจียน ,ไม่ถ่ายอุจจาระ
เกิดแผลในกระเพาะอาหาร, อาจมีเลือดออกในทางเดินอาหาร
เกิดไตวายเฉียบพลัน
ทำให้ระบบสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และสมดุลของกรด-ด่าง(ความเป็นกรดด่าง)ในร่างกายเสียไป
เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ
ปอดบวม, โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นผลมาจากการให้ออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจ
การตั้งค่าความดันอากาศของเครื่องช่วยหายใจมากเกินไป
อาจทำให้ปอดแตก/ภาวะโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศได้
การให้ก๊าซหายใจที่มีเปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนสูงเป็นเวลานานเกินไป
อาจทำให้เกิดปอดแฟบในผู้ใหญ่, หรือเกิดพังผืดในปอดร่วมกับตาบอดได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด
พยาธิสรีรภาพ
Hypoxemia
กระตุ้นซิมพาเทติกทำให้มีชีพจรเร็วความดันเลือดสูงเหงื่อออก กระสับกระส่าย อาจมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ
กระตุ้นศูนย์ควบคุมการหายใจทำให้มีอาการหายใจเร็วและลึกกล้ามเนื้อหายใจทำงานมากขึ้นทำให้เหนื่อยง่าย
เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายลดลง ทำให้ระดับความรู้สึกตัวลดลง มีอาการชัก หายใจผิดปกติและหยุดหายใจในที่สุด หัวใจบีบตัวลดลงหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันเลือดต่ำ
hypercapnia
กระตุ้นซึมพาเทติกทำให้มีชีพจรเร็ว ความดันเลือดสูง ในระยะแรกเป็นศูนย์ควบคุมการหายใจ ทำให้มีอาการหายใจเร็วและลึก
หลอดเลือดทั่วร่างกายขยายตัว ทำให้ความดันโลหิตต่ำในระยะแรก ผิวหนังแดงอุ่น และมีหลอดเลือด ในสมองขยายตัวทำให้มีอาการปวดศีรษะ
กดการทำงานของสมองทำให้มีอาการสับสน ซึม ง่วงนอน หมดสติและกล้ามเนื้อกระตุก
กดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจทำให้หัวใจบีบตัวลดลงและหัวใจเต้นผิดจังหวะ