Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรภาพระบบทางเดินปัสสาวะ - Coggle Diagram
พยาธิสรีรภาพระบบทางเดินปัสสาวะ
ปัสสาวะมาก ( Polyuria )
ปัสสาวะมากผิดปกติ ค่าเฉลี่ยของปริมาณปัสสาวะในแต่ละวันจะไม่เกิน 3 ลิตรในวัยผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 2 ลิตรในวัยเด็ก ไม่เกี่ยวว่าจํานวนครั้งที่ปัสสาวะต่อวันจะมากหรือน้อย วัดเฉพาะปริมาณเท่านั้น จึงจําเป็นต้องตรวจวัดด้วยการเก็บปัสสาวะตลอดทั้งวัน 24ชั่วโมง เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วปริมาณปัสสาวะมีเท่าไร หากเกินข้อกําหนดที่กล่าวไว้ข้างต้น ค่อยเข้ารับการตรวจรักษาต่อไป
ปัสสาวะมากเกิดจาก
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ
มีภาวะโรคเบาจืด
เป็นโรคเกี่ยวกับการเสียสมดุลของนํ้าในร่างกาย ซึ่งมีอัตราการเกิดน้อยมาก นานๆครั้งจึงจะพบผู้ป่ วยที่เป็นโรคเบาจืดสักทีหนึ่ง ส่วนมากเป็นเพราะความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก
มีภาวะ Psychogenic polydipsia
เป็นความผิดปกติในด้านพฤติกรรม คือ ติดนิสัยการทานนํ้าปริมาณมาก เป็นพฤติกรรมที่บางครั้งเชื่อมโยงกับระบบประสาท แต่บางครั้งก็ไม่
มีโรคเบาหวาน
สิ่งที่แทรกซ้อนเข้ามาต่างหากที่อันตราย อาการปัสสาวะมากก็เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนเหล่านั้น ผู้ป่วยเบาหวานจะรู้สึกกระหายนํ้าบ่อยกว่าปกติ และทานอาหารมาก แต่นํ้าหนักตัวกลับลดลง แน่นอนว่าต้องปัสสาวะมากตลอดทั้งวัน แม้ในยามหลับ หากเป็นขั้นรุนแรงก็อาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนได้
โรคเกียวกับไต
ทําให้ไตไม่สามารถเก็บนํ้าเอาไว้ได้ เมื่อเก็บไม่ได้ก็ต้องปล่อยออกเท่านั้นเอง
ประเภทของอาการปัสสาวะมาก
กลุ่ม Solute diuresis
เป็นภาวะปัสสาวะมากที่มีต้นตอมาจาก เกิดปริมาณสารบางอย่างที่ดึงนํ้าออกจากร่างกาย แล้วกลายเป็นปัสสาวะ โดยที่จะเป็นสาร electrolyte หรือ nonelectrolyte ก็ได้
กลุ่ม Water diuresis
เป็นภาวะที่ปัสสาวะถูกขับออกมาเร็วกว่าปกติ ลักษณะจะเป็นของเหลวที่เจือจางมาก หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ นํ้าผ่านกระบวนการดูดซึมน้อยเกินไปนั่นเอง ซึ่งจะต้องวินิจฉัยด้วยค่าurine osmolality < 250 mosm/kg
ADH หรือ Antidiuretic hormone
เป็นฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ เป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัส แล้วส่งต่อไปยังคลัง เก็บที่สมองส่วนหลัง เพื่อรอดึงออกมาใช้งาน
หน้าที่หลักของ ADH กคือควบคุมการทํางานของไต กลไกการดูดซึมและกรองสารพิษต่างๆ รักษาสมดุลน้ำในร่างกาย ADH กยังดูแลเรื่องความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายอีกด้วย
การตรวจวินิจฉัยอาการปัสสาวะมาก
อาการปัสสาวะมากนี้จะไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงในระยะสั้น แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อรู้สึกว่ามีปริมาณปัสสาวะมากกว่าปกติจนผิดสังเกต ก็ให้เก็บข้อมูลด้วยตัวเองเบื้องต้นก่อนเข้าพบแพทย์ดังนี้
บันทึกความถี่ในการปัสสาวะ และสิ่งที่ทําให้คิดว่าปริมาณปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
สังเกตสีและลักษณะอื่นๆ ของปัสสาวะ
สังเกตอาการปวดปัสสาวะช่วงเข้านอน ว่าต้องตื่นและลุกมาเข้าห้องนํ้ากลางดึกหรือไม่ บ่อยแค่ไหน
ตรวจปัสสาวะ
ทีมแพทย์จะทําการตรวจวัดปริมาณปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ซึ่งตรงนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยด้วยเช่นกัน เมื่อเก็บตัวอย่างครบก็จะตรวจลงลึกในรายละเอียดต่อไปนี้
Urine specific gravity
Urine osmolality
Urine glucose
การซักประวัติผู้ป่วย
ตรวจเลือด
Serum sodium : เป็นการตรวจวัดค่าโซเดียมที่อยู่ในนํ้าเลือด ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงสมดุลของนํ้าในร่างกาย และค่า ADH ค่าที่วัดได้สามารถใช้เพื่อแยกแยะสาเหตุได้ 2 อย่าง
Blood suger : เป็นการตรวจวัดระดับนํ้าตาลในเลือด เน้นหนักในผู้ป่ วยโรคเบาหวานเป็นพิเศษ
Serum potassium : เป็นการตรวจวัดค่าโปแตสเซียมว่าอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม่ เพราะมีผลโดยตรงต่อความเข้มข้นของปัสสาวะ
Serum calcium : เป็นการตรวจวัดค่าแคลเซียมในเลือด ซึ่งอาจมีผลต่อการทํางานที่ผิดปกติของไตได้
กระบวนการ Water deprivation test
ให้ผู้ป่วยอดนํ้า พร้อมกับวัดปริมาณปัสสาวะ ทุก 1 ชั่วโมง ขณะเดียวกันนี้ก็วัดค่า urine osmolality ไปด้วย จากนั้นก็ตรวจ serum sodium และ plasma osmolality เพิ่มอีกทุก 2 ชม.
แนวทางการรักษาภาวะปัสสาวะมาก
กรณีผู้ป่วยมีภาวะ Center DI หรือมีภาวะเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ADH ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับการเสียสมดุลของนํ้าในร่างกาย ใจความสําคัญในการรักษาก็จะเป็นการลดปริมาณปัสสาวะด้วย 3 แนวทาง
Low solute diet
Desmopressin
ใช้ยาอื่นๆ ที่สามารถลดปริมาณปัสสาวะได้
กรณีผู้ป่วยที่มีภาวะ Nephrogenic DI หรือภาวะเบาจืดจากความผิดปกติของหน่วยไต
กรณีที่ผู้ป่วยเป็น Primary polydipsia ก็สามารถรักษาเบื้องต้นได้ง่ายๆ ด้วยการจํากัดนํ้า และอาจใช้การรักษาในทางจิตเวชร่วม
ปัสสาวะออกน้อย ( Oliguria and Anuria )
มีเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 400 มิลลิลิตรต่อ 24ชั่วโมงในวัยผู้ใหญ่ และ100 มิลลิลิตรต่อ 24 ชั่วโมงในวัยเด็ก หากปัสสาวะมีปริมาณน้อยกว่านี้ก็จะถือว่าเข้าสู่ภาวะปัสสาวะน้อยแล้ว
อันตรายจากภาวะปัสสาวะออกน้อยนี้ จะทําให้เกิดนํ้าคั่งภายในร่างกายมากเกินไป ค่าโซเดียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่ควรขับออกก็ไม่ได้ถูกขับออก ร่างกายจึงบวมนํ้า ความดันโลหิตสูง กลายเป็นว่าคอยสะสมของเสียต่างๆ อยู่ตลอดเวลาสมดุลร่างกายก็เสียไป ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไร ก็ยิ่งแพร่กระจายความเสียหายของระบบสมดุลมากขึ้นเท่านั้น
AKI หรือ Acute kidney injury
เป็ นภาวะไตวายเฉียบพลัน อวัยวะส่วนไตเกิดการเสียสมดุลไปจนถึงเสียประสิทธิภาพในการทํางานไปอยางรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การภาวะไตวายเฉียบพลันก็มีได้หลากหลาย
สาเหตุที่พบได้บ่อยๆ
Pre-renal AKI : เป็นภาวะที่ effective arterial blood volume ลดลงอยางรวดเร็ว
Intrinsic AKI : นี่คือการเกิดพยาธิสภาพบริเวณ renal parenchymal โดยจะเกิดขึ้นที่ส่วนไหนกให้ผลลัพธ์เหมือนกันหมด
Post-renal AKI : มักเป็ นอาการอุดตันบริเวณ bladder outlet และการอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะข้างเดียวหรือสองข้าง
Sepsis-associated AKI : นี่คือการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งมีผลทําให้เกิดความเสี่ยงต่อ AKI มากถึง 50เปอร์เซ็นต์
Postoperative AKI : ส่วนใหญ่แล้ว Postoperative AKI เป็นภาวะที่เกิดมาจากการผาตัด
Burn and acute pancreatitis :กรณีนี้้จะเป็นการสูญเสียนํ้าปริมาณมากอย่างฉับพลัน
Nephrotoxic drug associated AKI
Endogenous toxin :อาจเรียกได้วาเป็นอาการติดพิษจากสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง
Tumor lysis syndrome : ส่วนใหญ่เป็ นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากการบําบัดด้วยเคมี
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนจากภาวะปัสสาวะน้อย
มีอาการบวมของร่างกาย
ระดับฮอร์โมนอดรีนัลเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ
มีการหลัง่ สารเรนินจากเซลล์ผนังหลอดเลือดในส่วนของไตมากขึ้น ทําให้ไตดูดกลับโซเดียมมากขึ้น
เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะตามมา
การตรวจร่างกายและวินิจฉัยโรคปัสสาวะน้อย
ประวัติการสูญเสียนํ้าออกจากราออกจากร่างกายในช่วงระยะที่ผิดปกติเป็นอยางไร
ประวัติการใช้ยา
ความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและติดเชื้อ
ประวัติเกี่ยวกับไต
ลักษณะของปัสสาวะ
ประวัติโรคมะเร็ง
อาการข้างเคียงอื่นๆ
การรักษา
ทานน้ำให้มากขึ้น ค่อยๆเพิ่มทีละนิด
ป้องกนและลดอัตราการสูญเสียน้ำของร่างกาย
ดูแลเรื่องสารอาหารให้สมดุล
ฝึกวินัยในการปัสสาวะ
การใช้ยาและการบําบัดเชิงเทคนิคในทางการแพทย์ที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง
โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
อยู่และกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกัน ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยมาก ทั้งกลางวัน กลางคืน ปวดกลั้นมากขณะที่จะไปเข้าห้องน้ำ หรือกลั้นไม่อยู่
สาเหต
สาเหตุหลักที่สําคัญและเกี่ยวข้องโดยตรงในสตรีเพศเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนลง
มีความกังวลกับการปัสสาวะ
มีปัญหากับการนอนหลับ
จำกัดการดื่มน้ำ
ประเภทโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่ที่เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital)
ปัสสาวะรดที่นอน (Bed Wetting Enuresis)
ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่จากระบบประสาท (Neurogenic)
ปัสสาวะเล็ดเมื่อออกแรงเบ่ง (Stress Urinary Incontinence)
ปัสสาวะราดกลั้นไม่ได้ (Urge Incontinence)
ปัสสาวะเล็ดและราดร่วมกัน (Mixed Incontinence)
ปัสสาวะล้นซึม (Over Flow Incontinence)
ปัสสาวะบ่อยมากในช่วงกลางวัน (Urinary Freguency Daytime)
ปัสสาวะบ่อยในช่วงเวลากลางคืน (Nocturia Night Time)
ปัสสาวะปวดกลั้น (Urgency)
กระเพาะ, ปัสสาวะไวเกิน (Over Active Bladder)
ความชุกของโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์
ตรวจปัสสาวะเพื่อตัดปัญหาการอักเสบ
ตรวจสอบความแรงของสายปัสสาวะ (Uroflowmetry, Residual Urine)
ตรวจระบบประสาททางเดินปัสสาวะ ถ้าจำเป็น (Urodynamic)
ตรวจส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ ถ้าจำเป็น
รักษาโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การบริหารฝึกฝนกล้ามเนื้ออุ้งกราน Kegel Exercise
การบริหารทานยา
การผ่าตัดรักษาผ่านบริเวณช่องคลอด
ปัสสาวะคั่งค้าง(Urinary Retention)
เป็น ภาวะที่ไม่สามารถขับปัสสาวะได้ตามปกติแม้ว่ารู้สึกปวดปัสสาวะมากหรืออาจต้องใช้เวลาเบ่งปัสสาวะนานกว่าจะออก ในรายที่เป็นไม่รุนแรงยังถ่ายปัสสาวะได้ตามปกติ แต่มักถ่ายได้ไม่สุด ทําให้นํ้าปัสสาวะบางส่วนค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
อาการ
ปัสสาวะไม่ออกเฉียบพลัน (Acute Urinary Retention)
ปวดปัสสาวะ แต่ปัสสาวะไม่ออก ปวดแน่นท้อง รู้สึกไม่สบายบริเวณท้องช่วงล่าง
ปัสสาวะไม่ออกเรื้อรัง (Chronic Urinary Retension)
ปัสสาวะบ่อยมากกว่า 8 ครั้งขึ้นไป/วัน ถ่ายปัวสสาวะไม่สุด มีการแสบขัดขณะปัสสาวะ
สาเหต
ท่อปัสสาวะอุดตัน
เป็นสาเหตุหลักของอาการฉี่ไม่ออก อาจเกิดได้จากโรคหรือความผิดปกติบางสภาวะจนค่อย ๆ เกิดการสะสมและอุดตันจึงทําให้ร่างกายไม่สามารถระบายนําปัสสาวะออกจากร่างกายได้ตามปกติ
ระบบประสาท
เกิดจากระบบประสาทที่ควบคุมการทํางานของกระเพาะปัสสาวะและหูรูดปัสสาวะเกิดความผิดปกติ จึงไม่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัวและหูรูดปัสสาวะคลายตัวเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะจึงทําให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออก อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
การใช้ยา
การรับประทานหรือใช้ยาบางชนิดอาจรบกวนการทํางานของเส้นประสาทที่เป็นตัวส่งสัญญาณไปยังกระเพาะปัสสาวะและต่อต่อมลูกหมาก
กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรง
อายุที่เพิ่มมากขึ้นทําให้กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเสื่อมไปตามเวลาจึงไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่หรือนานพอให้นํ้าปัสสาวะไหลลงไปยังท่อปัสสาวะ เพื่อขับออกสู่่ร่างกาย ซึ่งมักพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ
การวินิจฉัย
การวัดปริมาณปัสสาวะที่ตกค้าง (Post-Voiding Residual Volume)
การส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ (Cystoscopy)
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (CT-scan)
การตรวจเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
การตรวจพลศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urodynamic Study)
การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อหรืออีเอ็มจี (Electromyography)
การตรวจอื่น ๆเช่น การตรวจเลือด ดูการทํางานของไตหรือการติดเชื้อ
การรักษา
การระบายนํ้าปัสสาวะ (Bladder Drainage)ใช้สําหรับผู้ป่ วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะออกได้เลย
การใช้ยา มักใช้รักษาอาการฉี่ไม่ออกที่มีสาเหตุมาจากโรคต่อมลูกหมากโต
การผ่าตัด หากการรักษาในข้างต้นไม่ช่วยให้อาการให้ดีขึ้นหรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนําเข้ารับการผ่าตัดในหลายกรณี
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะเสียหายหรือทํางานผิดปกติ
ไตทํางานผิดปกติ
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
ภาวะโปรตีนในปัสสาวะ
ภาวะโปรตีนในปัสสาวะหมายถึงการตรวจพบ proteine หรือ albumin ในปัสสาวะซึ่งมักจะมีสาเหตุจากโรคไต การรับประทานยาบางชนิด Protein ในเลือดส่วนใหญ่เป็น Albumin ซึ่งจะเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
คนปกติจะมีโปรตีนในปัสสาวะหรือไม่ ปกติปัสสาวะของคนจะตรวจไม่พบโปรตีน Protein โปรตีนส๋วนใหญ่เป็น Albumin หากตรวจพบ Protein ก็หมายถึงตรวจพบ Albumin
ภาวะโปรตีนในปัสสาวะ
วิธีการตรวจโปรตีนในปัสสาวะ
การใช้แทบตรวจปัสสาวะจุ่มในปัสสาวะแล้วเทียบสี จะตรวจพบโปรตีนเมื่อมีปริมาณโปรตีน 300-500 มก ข้อเสียคือไม่สามารถวัดปริมาณโปรตีน
วัดปริมาณ Protein ที่ขับออกมาตลอด 24 ชั่วโมงโดยการเก็บปัสสาวะตลอดทั้งวันและส่งตรวจหาโปรตีน และค่า Creatinin
การตรวจปัสสาวะหาค่า Protein Creatinine
ค่าอัตราส่วน Protein/ Creatinine ค่าปกติจะน้อยกว่า 0.2
ค่าอัตราส่วน Albumin/ Creatinineค่าปกติจะน้อยกว่า 30 mg/g creatinineหาค่าดังกล่าวอยู่ระหว่าง 30-300 แสดงว่ามีโปรตีนออกมาในปริมาณไม่มาก หากมากกว่า 300 mg/g แสดงว่าโปรตีนออกมาก
ผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโปรตีนในปัสสาวะ
ผู้ป่วยโรคเบาหวานทั้งชนิดที่ 1และชนิดที่ 2 การตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะจะเป็นสัญญาณของการเป็นโรคไต
ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยโรคไตอักเสบ
ปัจจัยที่มีผลต่อโปรตีนในปัสสาวะ
หากตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะก็ไม่ได้หมายความถึงจะเป็นโรคไตเพราะมีหลายภาวะที่ทำให้ตรวจปัสสาวะแล้วพบโปรตีน ปัจจัยดังกล่าวได้แก่
การออกกำลังกาย ภาวะหัวใจวาย การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีไข้ การใช้ยา NSAID,aceI,ARB คนอ้วน
โปรตีนในปัสสาวะหายเองได้หรือไม่
ปรตีนในปัสสาวะที่หายเองได้ Transient proteinuria มักจะพบในคนที่มีไข้ หรือออกกำลังกาย อยู่ในที่หนาว หรือมีความเครียดโปรตีนนี้หายได้เองเมื่อภาวะที่กระตุนดังกล่าวหายไปแล้ว ภาวะนี้จะไม่กลายเป็นไตวายปริมาณโปรตีนมักจะน้อยกว่า 1 กรัมต่อวัน
โปรตีนในปัสสาวะเมื่ออยู่ในท่ายืน Orthostatic (postural) proteinuria โปรตีนมักจะน้อยกว่า 1 กรัมต่อวันจะตรวจพบเมื่ออยู่ในท่ายืน เมื่อนอนโปรตีนก็จะหายไป
เมื่อตรวจปัสสาวะ 2-3 ครั้งยังพบโปรตีนทุกครั้งที่ตรวจเราเรียกว่า Persistent proteinuria ซึ่งจะบ่งว่ามีโรคที่ไต ปริมาณโปรตีนก็สามารถบอกตำแหน่งของโรคไตได้
เมื่อแพทย์ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะแพทย์จะตรวจอะไรต่อ
เมื่อเราตรวจสุขภาพ ตรวจปัสสาวะพบโปรตีนในปัสสาวะอย่างน้อยสามครั้ง จึงจะบอกว่ามีโปรตีนในปัสสาวะซึ่งผลการตรวจโดยแทบตรวจปัสสาวะจะได้ผลดังนี้
Trace = 5-20 mg/dL.
1+ = 30 mg/dL.
2+ = 100 mg/dL.
3+ = 300 mg/dL.
4+ = greater than 2,000 mg/dL.
ความสำคัญของการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
ปริมาณโปรตีนในปัสสาวะจะเป็นตัวที่กำหนดว่าว่าผู้ใดจะกลายเป็นโรคไตวาย ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะน้อยโอกาศเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคไตวายจะต่ำ ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะสูงมีโอกาศจะกลายเป็นโรคไตวายสูง นอกจากนั้นปริมาณโปรตีนในปัสสาวะยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ อัตราการเสียชีวิต
ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะจะมีอาการอะไรบ้าง
ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะจะไม่มีอาการอะไร หากมีปริมาณโปรตีนในปัสสาวะปริมาณมากเวลาปัสสาวะลงในโถส้วมจะเป็นฟอง หากร่างกายสูญเสียโปรตีนไปมากจะทำให้เกิดอาการบวมบริเวนเท้า หนังตา