Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคหัวใจในหญิงตั้งครรภ์ (Heart disease) - Coggle Diagram
โรคหัวใจในหญิงตั้งครรภ์
(Heart disease)
อาการและอาการแสดง
มีอาการหอบเหนื่อย (dyspnea)
หายใจลําบากในตอนกลางคืน (paroxysmal nocturnal dyspnea)
นอนราบไม่ได้ (progressive orthopneo)
ไอเป็นเลือด (hemoptusis)
เจ็บหน้าอก (Chest pain) ฟังหัวใจได้ยินเสียง murmur
หัวใจโต (cardiomegaly)
อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติอย่างรุนแรง (severe arrhythmia)
และคลําบริเวณทรวงอกพบว่ามีการสั่นสะเทือน (thrill)
มีอาการเขียว (cyanosis) และนิ้วปุ้ม (clubbingof fingers)
หมายถึง สตรีมีครรภ์ที่เป็นโรคหัวใจ อาจเป็นมาก่อนตัังครรภ์หรอืภายหลังตั้งครรภ์ พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของสตรีมีครรภ์ทัังหมดโรคหวัใจที่พบมากที่สุด คือ โรคลิ้นหัวใจและหัวใจพิการตั้งแต่กําเนิด
พยาธิสภาพ
ในขณะที่ตั้งครรภ์ปริมาตรเลือด (blood volume) จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งคงที่ เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สามในช่วงอายุครรภ์30-32 สัปดาห์ ปริมาตรเลือดที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดประมาณร้อยละ 45-50 ส่วนปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจใน 1 นาที (cardiac output) เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 ในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ cardiac output ก็จะยังคงสูงอยู่เช่นเดิม เมื่อเข้าสู่ระยะคลอดการหดรัดตัวของมดลูกส่งผลให้ cardiac output เพิ่มขึ้น
โรคหวัใจที่พบบ่อย
โรคลิ้นหัวใจ (valvular heart disease)
มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ streptococcus ทําให้มีพยาธิสภาพเกิดขึ้นที่ลิ้นหัวใจ ซึ่งนําไปสู่ลิ้นหัวใจรั่ว(regurgitation lesion) หรือลิ้นหัวใจตีบ (stenotic lesion)
โรคหัวใจพิการแต่กําเนิด (congenital heart disease)
เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ความผิดปกติของโครโมโซมหรือการติดเชื้อหัดเยอรมันในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
การจําแนกความรุนแรงของโรคหัวใจ
Class I Uncompromised :
ทํางานได้ตามปกติโดยไม่รู้สึกเหนื่อย
Class II Slightly compromised :
สบายดีขณะพักแต่ถ้าทํางานตามปกติจะรู้สึกเหนื่อย
Class III Markedly compromised :
สบายดีขณะพักแต่ถ้าทํางานเล็กน้อยก็จะรู้สึกเหนื่อย
Class IV Severely compromised :
มีอาการของโรคหวัใจคือหอบเหนื่อยแม้ขณะพัก
การพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหัวใจ
ระยะหลังคลอด
ควรป้องกันการเกิดภาวะช็อกและภาวะหัวใจล้มเหลวจากการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็วในปริาณมาก โดยการใช้มือค่อยๆกดบนหน้าท้องส่วนบนเหนือสะดือเพื่อเพิ่มความดันในช่องท้องชะลอการไหลกลับของเลือดเข้าสู่หัวใจ
ดูแลให้พักผ่อนและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอโดยแพทย์อาจพิจารณาให้ยานอนหลับและให้ออกซิเจน ควรจัดให้นอนในท่าศีรษะสูงเล็กน้อย (semifowler 's position)
ประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที 4 ครั้งและทุก 30 นาที 2 ครั้งหลังจากนั้นประเมินทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าอาการจะคงที่แล้วจึงเปลี่ยนเป็นประเมินทุก 2 ชั่วโมง
เฝ้าระวังและประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวถ้าพบรีบรายงานแพทย์
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและดูแลให้ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดหลีกเลี่ยงการใช้ยา merthergin เพราะยามีผลให้มดลูกหดรัดตัวอย่างรุนแรง
ประเมินปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอดและแผลฝีเย็บตามหลัก REEDA เพื่อป้องกันการตกเลือดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีหรือตกเลือดจากเลือดคั่งที่แผลฝีเย็บ
แนวทางการรกัษาสตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคหัวใจ
ระยะหลังคลอด
ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวจากการมีเลือดไหลกลับเข้าสู่ระบบหัวใจในปริมาณมากเพราะ inferiar vena cava ไม่ถูกกดทับจากตัวมดลูก
ให้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดต่อเนื่องอีก 6 สัปดาห์เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด
เฝ้าระวังภาวะติดเชื้อโดยให้ยาปฏิชวีนะต่อ ซึ่งอาจใช้ยาในกลุ่ม penicillin หรือ broad spectrum
การคุมกําเนิด ไม่แนะนําให้ใช้ยาเม็ดคุมกําเนิดในกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดแนะนําให้ใช้ยาฝังคุมกําเนิดเพราะมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง
การประเมินและการวินิจฉัย
การซักประวัติเกี่ยวกับการเจ็บป่วยอาการและอาการแสดงของโรคหัวใจ เชัน อาการใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจเหนื่อย ไอเป็นเลือด เป็นลมหมดสติเมื่อออกแรง เป็นต้น
การตรวจร่างกายประเมินสัญญาณชีพ อาจพบชีพจรเบาเร็วไม่สม่ำเสมอมีภาวะ tachycardia (> 100 ครั้ง / นาที) หรือ bradycardia (<60 คร้ง / นาที) ตรวจพบอาการและอาการแสดงของโรคหัวใจ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ ตรวจค่า arterial blood gas เพื่อประเมินปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดหรือภาวะกรด-ด่างในร่างกาย
การตรวจพิเศษ ได้แก่ การตรวจ electrocardiography เพื่อตรวจอัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจขนาดของหัวใจและภาวะหัวใจขาดเลือด
ผลของการตั้งครรภ์ต่อโรคหัวใจ
ผลต่อทารก
1. แท้ง
2. คลอดก่อนกําหนด
3. ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
4. ทารกมีน้ำหนักน้อย
5. ทารกตายในครรภ์
เนื่องจากภาวะโรคหัวใจของมารดาทําให้การไหลเวียนเลือดไปสู่มดลูกและรกไม่ดี (uteroplacental insufficiency)
6. ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นโรคหัวใจที่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจแต่กําเนิดสูง
ผลต่อมารดา
ภาวะปอดบวมน้ำ
ภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์
ตกเลือดหลังคลอด , ซีด
การติดเชื้อ
thromboembolism ในมารดาที่เคยตัดลิ้นหัวใจอาจทําให้เกิดการอุดตันที่ลิ้นหัวใจเทียม