การพัฒนางานหัวหน้าพยาบาล

การจัดสรรบุคลากร

ความหมาย


การจัดสรรบุคลากร หมายถึง กระบวนการของการวิเคราะห์ความต้องต้องการกำลังคนอย่างเพียงพอ โดยคนมีคุณภาพมีความรู้ความสามารถที่ปฏิบัติงานเพื่อให้ผู้รับบริการหรือผู้ป่วยปลอดภัยโดยได้รับบริการพยาบาลมีคุณภาพการจัดอัตรกกำลังทางการพยาบาลเป็นขั้นตอนที่สำคัญยิ่งในกระบวนการบริหารการพยาบาลเพราะบุคลากรเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่อการบริหารองค์กรการจัดการด้านบุคลากรที่ดีจะต้องมีบุคลากรที่เพียงพอทั้งด้านปริมาณและคุณภาพสามารถใช้คนได้เต็มกำลังความสามารถ

ความสำคัญ

  • ทำให้เกิดการป้องกันและแก้ไขพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนของบุคลากร
  • ทำให้มีการบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการแก่บุคลากรอย่างเหมาะสม
  • ทำให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทำให้ได้คนดีและมีความสามารถเข้ามาทำงานในองค์กร
  • ทำให้มีบุคลากรทำงานที่เพียงพอและต่อเนื่อง

วัตถุประสงค์

  • เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
  • เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
  • เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนาน ๆ (Maintenance)
  • เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)

กระบวนการ

  1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์มี 4 ขั้นตอนดังนี้
  • ขั้นตอนเตรียมการ ผู้ดำเนินการวางแผนจะต้องศึกษาวัตถุประสงค์ขององค์กร
  • ขั้นตอนการสร้างแผน ผู้ดำเนินการวางแผนจะทำการกำหนดรายละเอียดของกิจ
  • ขั้นตอนการปฏิบัติตามแผนการนำแผนไปปฏิบัติโดยการกำหนด์ผู้รับผิดชอบและทำความเข้าใจร่วมกัน
  • ขั้นตอนประเมินผล เพื่อให้การวางแผนทรัพยากรมนุษย์มีประสิทธิภาพมากที่สุด
  1. การสรรหาการจัดสรรกำลังคนเข้าไปทำงานตามโครงสร้างขององค์กร
  2. การคัดเลือกการคัดเลือกบุคคลมากปฏิบัติงานจะต้องใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ
  3. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เทคโนโลยี สภาพแวดล้อมและความซับซ้อนขององค์กรทำให้ทุกองค์กรต่างมีการแข่งขันเพื่อให้ดำรงอยู่ได้
  4. การบริหารค่าตอบแทนเป็นปัจจัยที่จงใจและส่งเสริมความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน
  5. สวัสดิการเป็นการสร้างความมั่นคงและแบ่งเบาภาระบางส่วนของบุคคลากร
    7.การประเมินผลการปฏิบัติงานทำให้งานมีประสิทธิภาพและได้มาตราฐาน

การวางแผนอัตรากำลัง
เป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับประเภท คุณภาพ คุณสมบัติของบุคลากร เพื่อตอบสนองเป้า
หมายขององค์กร แบ่งเป็น
1) แผนระยะสั้น เป็นการวางแผนกำหนดอัตรากำลังให้มีเพียงพอที่จะให้บริการในแต่ละวัน ตลอดทั้งปี
2)แผนระยะยาวเป็นการวางแผนอัตรากำลังในอีก 3, 5 และ 10 ปี

การจัดการงบประมาณ (Budget)

ความหมาย
แนวทางการพิจารณาและช่วงเวลาของงบประมาณแสดง ให้ทราบถึงรูปแบบความรับผิดชอบที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอํานาจทางเมือง หรือ หมายถึง แผน เบ็ดเสร็จซึ่งแสดงออกมาในรูปของตัวเงิน แสดงโครงการดําเนินงานทั้งหมดในระยะเวลาหนึ่ง แผนนี้รวมถึงการ กะประมาณบริการ กิจกรรม โครงการและการใช้จ่ายตลอดจนทรัพยากรที่จําเป็นในการสนับสนุนการ ดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผน

ชนิดของงบประมาณ

  1. งบบุคลากร
  • เงือนเดือน
  • ค้าจ้างประจำ
  • ค้าจ้างชั่วคราว
  1. งบดําเนินการ
  • ค่าตอบแทน
  • ค่าใช้สอย
  • ค่าวัสดุ
  • ค่าสาธารณูปโภค
  1. งบลงทุน
  2. งบเงินอุดหนุน
  3. งบเงินสด
  4. งบแผนงาน

ขั้นเตรียมงบประมาณ (Budget preparation)

  1. การกําหนดวัตถุประสงค์ หรือจัดทําแผน โครงการต่างๆ ประมาณการรายจ่าย
  2. การรวบรวมปัญหาวิเคราะห์การใช้จ่ายในแต่ละโครงการของแต่ละงาน
  3. แก้ไขปรับปรุงยอดรายจ่าย ซึ่งอาจมีการพิจารณาตัดทอน หรือเพิ่มเติม
  4. เสนอแผนงบประมาณต่อฝ่ายบริหาร

ความสำคัญและประโยชน์
1.ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารองค์กรตามแผนงานและกำลังเงินที่มีอยู่โดยให้มีการปฏิบัติงานสอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้เพื่อลดการปฎิบัติงานที่ไม่จำเป็นต่อองค์กร
2.ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงานถ้าหน่วยงานจัดงบประมาณการใช้จ่ายอย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพโดยองค์กรต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลไปสู่โครงการที่จำเป็นเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้า
3.เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพเนื่องจากทรัพยากรหรืองบประมาณของหน่วยงานมีอยู่จำกัดดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรและมีการวางแผนการปฎิบัติงานการใช้จ่ายทรัพยากรนั้นนั้นเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

วัตถุประสงค์ของงบประมาณ

  1. องค์กรมีการวางแผนในการจัดสรรงบประมาณ
  2. ให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ ซึ่งงบประมาณจะเปลี่ยนแผนต่างๆให้อยู่ในรูปตัวเลขทำให้เห็นภาพชัดเจน
  3. ทำให้เกิดการระมัดระวังในการใช้จ่ายการจัดทำงบประมาณจะทราบถึงขอบเขตการใช้จ่ายในหน่วยงาน
  4. ทำให้มีผลการดำเนินงานและฐานะการเงินตามเป้าหมาย

การจัดสรรงบประมาณทางด้านสุขภาพ

  • แบบงบยอดรวม(Global budget/Block grant)
  • แบบเหมาจ่ายรายหัวประชากร (Capitation)
  • แบบรายกิจกรรม มีหรือไม่มีราคากลาง (Fee-for-service and price schedule)
  • แบบตามรายโรคที่ป่วย ดูตาม DRGs(Cases-based budget)
  • แบบอัตราคงที่
    -แบบรายวัน

การบริหารการเปลี่ยนแปลง

ความหมาย
การจัดการกับเหตุการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเหมาะสม และทําให้เกิดการพัฒนาองค์กรทั้งเชิง ประสิทธิภาพและประสิทธิผล

รูปแบบของการเปลี่ยนแปลง

  • การเปลี่ยนแปลงเชิงรุก (Proactive) เป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลง
    จากผู้อื่นซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์สถานการณ์ และแนวโน้มสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเตรียมการรองรับถึงผลที่จะเกิดขึ้นหากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีผลในเชิงลบก็จะทําให้เกิดผลที่ไม่รุนแรง
  • การเปลี่ยนแปลงเชิงรับ (Reactive) เป็นการถูกเปลี่ยนแปลงโดยผู้อื่น อาจจะเป็นในเชิงจาก หน่วยงานต้นสังกัด หรือเป็นนโยบายระดับองค์กร ระดับประเทศก็ได้ ทั้งๆ ที่ บุคคลในองค์กรอาจไม่ยอมที่จะ เปลี่ยนแปลง หรือมีความคิดติดยึดในแบบเดิมๆมานาน

แนวทางการบริหารความเปลี่ยนแปลง
ผู้บริหารต้องเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารทางการพยาบาลที่ดี คือ เป็นตัวอย่างที่ดี ดังนั้น ต้องริเริ่มหรือกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ต้องบริหารเชิงรุก หรือ Proactive การบริหารที่ต้องมีการคาดการณ์และวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างเหมาะสมเพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง

  • สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและประชากร (The physical environment and population)
  • เทคโนโลยี (Technology)
  • กระบวนการทางวัฒนธรรม (Cultural processes)
  • การพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Economic development)
  • การขยายตัวของกระแสประชาธิปไตย(Democracy)

ลักษณะการต่อต้านมีทั้งหมด 3 รูปแบบ

  • การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง (Denial) บุคคลประเภทนี้จะหลีกหนีการร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น
  • การต่อต้านเงียบ (Passive Resistance) บุคคลประเภทนี้ จะแสดงตนเหมือนพร้อมให้ความ ร่วมมือแต่เมื่อต้องปฏิบัติงานจะไม่ให้ความร่วมมือ
  • การต่อต้านอย่างเปิดเผย (Active Resistance) บุคคลประเภทนี้ จะแสดงความไม่เห็นด้วย อย่างเปิดเผย และมักจะโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตามตนเอง

ปัจจัยที่สำคัญ
1.ปัจจัยภายนอก (External Change Driver) คือ สิ่งที่ผลักดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายภาครัฐ ปัจจัยต่างๆทางเศรษฐกิจ การเมืองความต้องการของผู้รับบริการ การแข่งขันสภาพของตลาดคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะก่อให้เกิดรูปแบบการดำเนินชีวิตใหม่ ๆ ของผู้คน
2.ปัจจัยภายใน (Internal Change Driver) คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในองค์กรที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ได้แก่ การปรับทิศทางหรือกลยุทธ์ใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงนโยบาย การเปลี่ยนผู้บริหาร การปรับเปลี่ยนระบบการทำงานใหม่ การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการ การกระจายอำนาจหรือรวมอำนาจ การรวมองค์กรหลายองค์กรเข้าด้วยกันเป็นต้น

ทรัพยากร

ความหมาย
เป็นการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างคนงานและผู้บริหาร

ความสำคัญของจัดการทรัพยากร

  • ทำให้มีการพัฒนาทรัพยากรและมีการบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการอย่างเหมาะสม
  • ทำให้มีบุคลากรเพียงพอต่อความต้องการของผู้รับบริการและองค์กร
  • ทำให้มีการใช้ศักยภาพของทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด
  • ทำให้ได้บุคคลที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในองค์กร
  • ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมั่นคงท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
  • ทำให้มีแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

  • การสนับสนุนของผู้บริหารระดับสูง
  • ความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการทำงาน
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
  • ขนาดและความซับซ้อนขององค์การ
  • การรับรู้ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์
  • เทคนิค วิธีการถ่ายทอดความรู้
  • ผลการปฏิบัติงานของหน้าที่หลักด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์

ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์

  • ช่วยวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
  • ช่วยในด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
  • ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปตามความต้องการของแผนหรือฝ่ายต่างๆ
  • ส่งเสริมและพัฒนาโอกาสความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
  • เป็นแนวทางสำหรับองค์การ จะได้ผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน

การมอบหมายงานและความรับผิดชอบ

ความหมาย
เป็นบทบาทพื้นฐานอันสำคัญที่ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติเป็นประจำในการจัดการหลังจากได้จัดคนเข้าทำงานตามความรู้ ความสามารถและความถนัดแล้ว หรือที่เรียกว่า Put the Right Man on the Right Job

ลักษณะงานหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรที่มีต่อองค์กร

  • ทำความกระจ่างชัดกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กร
  • คิดว่างานที่ได้รับมอบหมายเป็นงานที่ท้าทายความรู้ ความสามารถและศักยภาพของตนเอง
  • ช่วยกันดูแลทรัพยากรที่มีอยู่ให้นำไปใช้ประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด ไม่ฉวยโอกาสจากองค์กร
  • ร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ร่วมกัน ส่งเสริมให้มีการกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าลงมือทำ
  • พัฒนาตนเองในงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่

การมอบหมายงานในหอผู้ป่วยในลักษณะ

  • การมอบหมายงานเป็นหน้าที่
  • การมอบหมายงานเป็นรายบุคคล(case method)
  • การมอบหมายงานแบบทีม (Team Method)
  • การมอบหมายงานแบบเจ้าของไข้ (Primary Nursing)
  • การมอบหมายงานแบบผสม (Multiple Method)

ข้อควรคำนึงถึงในการมอบหมายงาน

  • ใครเหมาะสมกับงานที่จะมอบหมายนี้ คือต้องใส่ใจและคำนึงว่าควรเลือกคนที่เหมาะสมมารับผิดชอบงานเพื่อ ประกันความสำเร็จ และลดความเสี่ยง ซึ่งคำที่คุ้นเคยกันคือ Put the right man to the right job นั่นเอง
  • งานที่มอบหมายบางงานต้องมีผู้ปฎิบัติร่วมกันหลายคนควรคำนึงถึงหลักการทำงานเป็นทีมกล่าวคือควรพิจารณาคนที่สามารถทำงานร่วมกันได้

ประโยชน์ของการมอบหมายงาน

  • ทำให้มีเวลามากขึ้น โดยสามารถนำเวลาไปทำกิจกรรมงานอื่นๆได้เช่น การแก้ปัญหางาน หรือคิดสร้างสรรค์สิงใหม่
  • เป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงานซึ่งถือว่า เป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคลทางหนึ่ง
  • เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อการเป็นหัวหน้างานใน อนาคตซึ่งอาจถือว่าเป็นการประเมินศักยภาพของเขาไปด้วย

การวางแผน

ความหมาย
การวางแผน คือ การกําหนดการไว้ล่วงหน้า ว่าจะทําอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ กับใคร อย่างไร

ประโยชน์

  • ประหยัดแรงงาน วัสดุและเวลา
  • เกิดระเบียบในการปฏิบัติงาน
  • ผู้นิเทศสามารถควบคุมติดตามและประเมินผลได้
  • เป็นไปตามที่กําหนดไว้ ประหยัดทรัพยากรที่ใช้ และช่วยควบคุมติดตามและประเมินผลได้
  • ช่วยให้ผู้รับผิดชอบทราบงานล่วงหน้า
  • เกิดประสิทธิภาพในการทํางาน

ขั้นตอน

  • การดําเนินก่อนการวางแผน
  • ปฏิบัติตามแผน
  • ติดตามผล

การวางแผนท่ีดี

  • เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วมในการวางแผน
  • ปรับปรุงแก้ไข้เมื่อจำเป็น
  • มีวัตถุประสงค์แน่นอน ชัดเจน เข้าใจง่าย
  • นําไปปฏิบัติได้
  • มีการกําหนดแผนงานชัดเจน

วัตถุประสงค์ของการจัดทําแผนปฏิบัติการ

  • เพื่อให้มั่นใจว่ามีแนวทางในการสร้างความสําเร็จให้กับเป้าหมายที่กําหนดไว้ได้
  • เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดข้ึนในการทํางานไว้ล่วงหน้า
  • เพื่อลดความขัดแย้งในการทํางานที่ต้องเก่ียวข้องกับหลายหน่วยงาน
  • เพื่อลดความผิดพลาดและลดความซํ้าซ้อนในการทํางาน
  • เพื่อจัดลําดับความสําคัญและเร่งด่วนของการทํางานไว้ล่วงหน้า
  • เพื่อใช้ในการมอบหมายงานให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะทุกคนจะทราบว่าใครจะต้องทําอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร
  • เพื่อใช้ในการกําหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายประจําปี
  • เพื่อให้แผนท่ีวางไว้มีความเป็นไปได้และใกล้เคียงกับการที่จะปฏิบัติจริงให้มากท่ีสุด

ขั้นตอนการจัดทําแผนปฏิบัติการ

  • วิเคราะห์ความจําเป็นของการจัดทําแผนปฏิบัติการ ( Action Plan Needs)
  • จัดลําดับความสําคัญของแผนปฏิบัติการ
  • ดําเนินการจัดทําแผนปฏิบัติการ

การวางแผนเชิงกลยุทธ์
เป็นการวางแผนการติดสินใจกําหนดทิศทางอนาคตขององค์กร เป็นการกระทําที่ส่งผลให้ปฏิบัติตามแบบ

กระบวนการ

  • กําหนดเป้าหมาย
  • วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก การแข่งขัน
  • เลือกกลยุทธ์ที่เป็นจุดแข็งขององค์กร
  • นํากลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติความสําคัญ

ความสำคัญการวางแผนกลยุทธ์

  • ป็นการบริการท่ีมุ่งเน้นสู่อนาคต
  • เป็นการบริการที่มุ่งเน้นจัดการสู่การเปลี่ยนแปลง
  • เป็นการบริการองค์กรเป็นองค์รวม
  • มุ่งเน้นผลลัพธ์ในการดําเนินการ
  • มุ่งเน้นส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร
  • มุ่งเน้นการบริหารระยะยาว

รูปแบบ

  • กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเติบโต
  • กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ
  • กลยุทธ์การถอนตัว
  • กลยุทธ์การผสมผสาน

ความแตกต่าง

  • การวางแผนปฏิบัติการ (Operational Plans) ใช้อธิบายเป้าหมายในการปฏิบัติงานขององค์กรในลักษณะท่ีเป็นหน้าที่เฉพาะของหน่วยงาน หรือมีลักษณะท่ีเป็นงานท่ี ต้องทําเป็นประจําวันต่อวัน การวางแผนปฏิบัติการเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับล่างที่จะต้องกระทําตามเป้าหมายปฏิบัติการ และให้สอดคล้องกับแผนยุทธวิธี และแผน กลยุทธ์ แผนปฏิบัติการ และให้สอดคล้องกับแผนยุทธวิธี และแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการจึงมีลักษณะการวางแผนระยะสั้น ซึ่งมักเก่ียวข้องกับปัจจัยต่าง ๆภายใน องค์กร ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ผู้บริหารสามารถควบคุมได้
  • การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นการวางแผนที่ถูกจัดทําขึ้นโดยผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้สอดคล้องกับเป็นหมายกลยุทธ์ขององค์กรแล้วประสานไปยังผู้ บริหารระดับกลาง และระดับล่าง ทําให้การวางแผนกลยุทธ์มีลักษณะการบริหารแบบลงล่าง (Top-Dow Planning) ท่ีผู้บริหารระดับสูงมีบทบาทสําคัญที่สุด การวางแผน กลยุทธ์จะกล่าวถึงขอบเขตกว้างๆ ของการจัดกิจกรรมขององค์กร ซึ่งต้องครอบคลุมทรัพยากรทั้งหมดที่องค์กรมีอยู่ตลอดจนการพยากรณ์สภาวะแวดล้อมท้ังภายในและ ภายนอก เป้าหมายของการวางแผนกลยุทธ์ โดยท่ัวไปจะมุ่งเน้นให้องค์กรเจริญเติบโตและดํารงอยู่ได้ในอนาคต กับการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ ดําเนินงานขององค์กร