Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

พยาธิสรีรภาพของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ 1562817182, image, image, image,…

- - - - มีภาวะโรคเบาจืด
        
        เป็นโรคเกี่ยวกับการเสียสมดุลของน้ำในร่างกาย
        
        เป็นเพราะความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก
        
        ผู้ป่วยจะมีความกระหายน้ำอย่างรุนแรง ต้องดื่มน้ำเข้าไปมากจึงปัสสาวะมาก
        
        ผลข้างเคียงอื่นๆ
        
        เมื่อดื่มน้ำมากแล้วจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลงร่างกายจึงขาดสารอาหารที่จำเป็น
      - มีภาวะ (Psychogenic polydipsia)
        
        เป็นความผิดปกติในด้านพฤติกรรมติดนิสัยการทานน้ำปริมาณมากเชื่อมโยงกับระบบประสาท คนกลุ่มนี้จะนอนหลบได้ดีเป็นพิเศษ
      - มีโรคเบาหวาน
        
        เป็นโรคแทรกซ้อน
        
        อาการปัสสาวะมากก็เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนเหล่านั้น
        
        ผู้ป่วยเบาหวานจะรู้สึกกระหายน้ำบ่อยกว่าปกติและทานอาหารมาก แต่น้ำหนักตัวกลับลดลง
      - โรคเกี่ยวกับไต
        
        ไตไม่สามารถเก็บน้ำเอาไว้ได้
        
        hypercalcemia ( ภาวะแคลเซียมสูงในเลือด )
        
        chronic pyelonephritis ( ภาวะกรวยไตอักเสบ )
        
        chronic hypokalemia ( ภาวะผิดปกติของค่าโพแทสเซียมในร่างกาย )
  - - - กลุ่ม Solute diuresis
        
        เป็นภาวะปัสสาวะมากที่มีต้นตอมาจากปริมาณสารบางอย่างที่ดึงน้ำออกจากร่างกายกลายเป็นปัสสาวะ โดยที่จะเป็นสาร electrolyte หรือ nonelectrolyte ก็ได้
      - กลุ่ม Water diuresis
        
        เป็นภาวะที่ปัสสาวะถูกขับออกมาเร็วกว่าปกติ
        
        ลักษณะจะเป็นของเหลวที่เจือจางมาก
        
        วินิจฉัยด้วยค่า urine osmolality < 250 mosm/kg
  - - - เวโซเพรสซิน
        
        เป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัสแล้วส่งต่อไปยังคลังเก็บที่สมองส่วนหลังเพื่อรอการดึงออกมาใช้งาน
    - - ควบคุมการทำงานของไต
      - กลไกการดูดซึมและกรองสารพิษต่างๆ
      - รักษาสมดุลน้าในร่างกายให้เป็นปกติ สสารในร่างกายทั้งหมดเป็นน้ำมาถึง 70 เปอร์เซ็นต์
      - ดูแลเรื่องความเข้มข้นของของเหลวในร่างกาย
      - ผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะมากส่วนใหญ่จึงมีปัญหาค่า ADH ลดน้อยลง
      - ร่างกายไม่สามารถผลิตสาร ADH ได้ตามปกติ
      - มีพฤติกรรมบางอย่างที่ฝึกให้ร่างกายดึงเอา ADH มาใช้งานน้อยลง
  - - - การซักประวัติเป็นขั้นตอนแรกของการรักษาทุกโรค มีรูปแบบและวิธีการที่ไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับประสบการณ์และทักษะของแพทย์ผู้ดูแล
        
        เมื่อเทียบกับเวลาปกติอาการที่เกิดขึ้นคือปัสสาวะมากขึ้นหรือปัสสาวะบ่อยขึ้น
        
        ในช่วงเวลากลางคืนที่นอนหลับไปแล้วเคยตื่นเพื่อลุกมาเข้าห้องน้ำหรือไม่ บ่อยมากแค่ไหน
        
        มีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือไม่
        
        โรคเบาจืด
        
        โรคเบาหวาน
        
        เคยมีความกระทบกระเทือนทางสมอง มีอุบัติเหตุ หรือโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับสมองหรือไม่
        
        มียาอะไรที่ใช้เป็นประจำหรือไม่
        
        น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือลดลงจนผิดสังเกตหรือไม่
        
        เมื่อซักประวัติเรียบร้อยได้ข้อมูลคร่าวๆ ว่าใช่อาการปัสสาวะมากจริงหรือไม่ จากนั้นก็ต่อด้วยการตรวจวัด
    - - ทีมแพทย์จะทําการตรวจวัดปริมาณปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ซึ่งตรงนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยเมื่อเก็บตัวอย่างปัสสาวะเรียบร้อยแล้ว ก็จะทําการตรวจลงลึกในรายละเอียด
        
        Urine specific gravity
        
        การตรวจเบื้องต้นที่ถือว่าง่ายที่สุด
        
        เป็นการวัดค่าความถ่วงจําเพาะ
        
        คนปกติจะมีค่า Urine specific gravity อยู่ที่ 1.010-1.025
        
        ค่า Urine specific gravity ตํ่ากว่า 1.005 ก็มีแนวโน้มว่าจะมีอาการของ water diuresis
        
        Urine osmolality
        
        เป็นการตรวจวัดค่าความเข้มข้นของสารละลายในปัสสาวะ
        
        ค่าปกติอยู่ในช่วง 50-1200mosm/kg
        
        พบค่าน้อยกว่า 250 mosm/kg ก็มีโอกาสที่จะเป็น water diuresis
        
        ค่ามากกว่า 300 mosm/kg เป็น solute diuresis มากกว่า
        
        ค่าที่ใช้เป็นเกณฑ์ตรวจวัดไม่ได้ออกนอกช่วงค่าปกติที่พบเจอได้หากหลุดจากช่วงนั้นไปแสดงว่าเข้าสู่ภาวะอันตราย
        
        Urine glucose
        
        เป็นการตรวจหานํ้าตาลกลูโคสในปัสสาวะ
        
        เป็นการตรวจขั้นพื้นฐานในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
        
        ถ้าในปัสสาวะมีนํ้าตาลมากแสดงว่าร่างกายไม่สามารถดูดซึมหรือจัดการนํ้าตาลได้ตามปกติ
    - - Serum sodium
        
        เป็นการตรวจวัดค่าโซเดียมที่อยู่ในนํ้าเลือด
        
        สมดุลของนํ้าในร่างกาย
        
        ค่า ADH ค่าที่วัดได้สามารถใช้เพื่อแยกแยะสาเหตุ
        
        ค่าที่ได้ตํ่ากว่าปกติ
        
        อาการปัสสาวะมากอาจ
        มีสาเหตุมาจาก primary polyuria
        
        ค่าที่ได้สูงกว่าปกติ
        
        มักจะมีผลมาจาก DI
      - Blood suger
        
        เป็นการตรวจวัดระดับนํ้าตาลในเลือด เน้นหนักในผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นพิเศษ
      - Serum potassium
        
        เป็นการตรวจวัดค่าโปแตสเซียมว่าอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม
        
        มีผลโดยตรงต่อความเข้มข้นของปัสสาวะ
      - Serum calcium
        
        เป็นการตรวจวัดค่าแคลเซียมในเลือด
        
        ผลต่อการทํางานที่ผิดปกติของไต
    - - บันทึกความถี่ในการปัสสาวะ และสิ่งที่ทำให้คิดว่าปริมาาณปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
      - สังเกตสีและลักษณะอื่นๆ ของปัสสาวะ
      - สังเกตอาการปวดปัสสาวะช่วงเข้านอนว่าต้องตื่นและลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึกหรือไม่ บ่อยแค่ไหน
    - - วิธีที่จะตรวจสอบภาวะปัสสาวะมากที่มีสาเหตุมาจาก water diuresis โดยจะต้องให้ผู้ป่วยอดนํ้า พร้อมกับวัดปริมาณปัสสาวะ ทุก 1 ชั่วโมง ขณะเดียวกันนี้ก็วัดค่า urineosmolality ไปด้วย จากนั้นก็ตรวจ serum sodium และ plasma osmolality เพิ่มอีกทุก 2 ชั่วโมง
    - - กรณีผู้ป่วยมีภาวะ Center DI หรือมีภาวะเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติ
        ของฮอร์โมน ADH ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับการเสียสมดุลของนํ้าในร่างกาย
        ใจความสําคัญในการรักษาก็จะเป็นการลดปริมาณปัสสาวะด้วย 3 แนวทาง
        
        Low solute diet
        
        การใช้อาหารที่มีความเข้มข้นตํ่า
        เพื่อลดการขับปัสสาวะของร่างกาย
        
        Desmopressin
        
        เป็นการใช้สารสังเคราะห์ที่ทําหน้าที่เทียบเท่ากับฮอร์โมน ADH ในร่างกาย
        
        เริ่มที่ 5 mcgก่อน แล้วค่อยปรับค่าเพิ่มหรือลดตามความเหมาะสม
      - กรณีผู้ป่วยที่มีภาวะ Nephrogenic DI หรือภาวะเบาจืดจากความผิดปกติของหน่วยไต
        
        Low sodium, Low protein diet
        
        ใช้ยาในกลุ่ม amiloride
        
        การลดปริมาณนํ้าและเกลือแร่ในปัสสาวะ
        
        Desmopressin
        
        ใช้เมื่อรักษาด้วยแนวทางอื่นแล้วยังไม่ได้ผลที่น่าพอใจ
      - กรณีที่ผู้ป่วยเป็น Primary polydipsia
        
        สามารถรักษาเบื้องต้นได้ง่ายๆ
        
        การจํากัดนํ้า
        
        อาจใช้การรักษาในทางจิตเวชร่วมด้วย
- - - - ปัสสาวะมีปริมาณน้อยกว่านี้ก็จะถือว่า
        เข้าสู่ภาวะปัสสาวะน้อย
        
        จะทําให้เกิดนํ้าคั่งภายในร่างกายมากเกินไป
        
        ค่าโซเดียมและแร่ธาตุอื่นๆไม่ได้ถูกขับออก
        
        ร่างกายจึงบวมนํ้า
        
        ความดันโลหิตสูง
  - - - อวัยวะส่วนไตเกิดการเสียสมดุลไปจนถึงเสีย
        ประสิทธิภาพในการทํางานไปอยางรวดเร็ว
    - - Pre-renal AKI
        
        เป็นภาวะที่ effective arterial blood volume ลดลงอยางรวดเร็ว
        
        มักเกิดกับผู้ป่วยที่มีการเสียเลือดหรือเสียนํ้าอยางมาก
        
        การชดเชยนํ้าและเลือดในปริมาณที่เหมาะสมจะทําให้ร่างกายกลับคืนสู่ภาวะปกติได
      - Intrinsic AKI
        
        การเกิดพยาธิสภาพบริเวณ renal parenchymal
        
        tubule
        
        tubulointerstitial
        
        glomerular
        
        vascular
      - Post-renal AKI
        
        อาการอุดตันบริเวณ bladder outlet และการอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะข้างเดียวหรือสองข้าง
        
        สามารถตรวจวินิจฉัยได้ง่าย
        
        การใช้อัลตร้าซาวด์
      - Sepsis-associated AKI
        
        การติดเชื้อในกระแสเลือด
        
        มีผลทําให้เกิดความเสี่ยงต่อ AKI มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์
        
        เมื่อมีการติดเชื้อจะเกิด arterial vasodilation และ renal vasoconstriction
      - Postoperative AKI
        
        ภาวะที่เกิดมาจากการผ่าตัด
        
        การผ่าตัด ่ใหญ่ที่ต้องเสียเลือดจํานวนมาก
        
        ร่างกายกขาดสมดุล
        
        ความดันโลหิตตํ่ากว่ามาตรฐาน
      - Burn and acute pancreatitis
        
        การสูญเสียนํ้าปริมาณมากอย่างฉับพลัน
        
        ทําให้ตับอ่อนเกิดการอักเสบ
        
        ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการผิวไหม้
        
        ภาวะ BURN มากกว่า10 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั้งหมดในร่างกาย
      - Nephrotoxic drug associated AKI
        
        ไตเป็นหน่วยกรองทุกสิ่งทุกอยางในร่างกายหากเรารับสารพิษเข้าไปมากก็จะอยู่ตกที่หน่วยไต เสื่อมสภาพลงเรื่อยๆกรณีนี้เป็นผลกระทบของการใช้ยาต่างๆ
        
        aminoglycoside
        
        amphoterincin B
        
        ทางแก้อย่างแรกที่ต้องทําทันที
        
        หยุดยาที่ใช้ให้เร็วที่สุด
      - Endogenous toxin
        
        อาการติดพิษจากสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง
        
        myoglobin
        
        hemoglobin
        
        สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะ AKI
        
        uric acid
        
        myeloma light chain
        
        ทําให้ท่อไตบาดเจ็บและปัสสาวะมีความเป็นด่างสูงกว่าที่ควร
      - Tumor lysis syndrome
        
        อาการที่เกิดขึ้นหลังจากการบําบัดด้วยเคมี
        
        กระตุ้นให้มีการหลั่ง uric acid ออกมาในปริมาณมาก
        
        ทําให้เสียสมดุลของ uric acid ในท่อไต
        
        ปัสสาวะที่ออกมากกลายเป็นสภาพด่างที่ผิดปกติ
  - - - ท้องเสีย
      - คลื่นไส้อาเจียน
      - เลือดออกผิดปกติ
    - - ต้องซักให้แน่ใจวาเป็นยาชนิดใด
      - ทานต่อเนื่องด้วยขนาดเท่าไร
      - มีีการทานยาที่ผิดวิธีหรือผิดขนาดด้วยหรือไม่
    - - ก่อนหน้านี้มีไข้หรืออาการเจ็บป่วยใดมาก่อนล่วหน้าในเวลาไล่เลี่ยกันหรือไม่
      - มีพฤติกรรมใดที่สุ่มเสี่ยงการติดเชื้อหรือไม่
        
        เข้าไปอยู่ในจุดที่คนพลุกพล่านใกล้ชิดกับคนป่วยโดยไม่ได้ป้องกัน
    - - หากผู้ป่วยเคยมีโรคหรืออาการเจ็บป่วยอื่นใดเกี่ยวกับไตมาก่อนก็ต้องบันทึกเอาไว้เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สําคัญด้วยถึงแม้ว่าจะหายขาดไปแล้ว
    - - ตามปกติปัสสาวะของคนสุขภาพดีจะเป็นสีใส ไม่มีฟอง
      - ปัสสาวะมีความผิดปกติ
        
        มีีเลือดปนออกมา
        
        มีของแข็งลักษณะคล้ายกับกรวดเม็ดเล็ก
        
        เป็นฟองจนสังเกตได้ชัด
    - - ต้องไม่ลืมที่จะเก็บประวัติของมะเร็งในส่วนของอวัยวะที่ใกล้เคียงกัน
    - - อาการปวดปัสสาวะที่ผิดปกติ
      - อาการหน่วงบริเวณช่องท้อง
  - - - การขับของเสียออกจากร่างกายด้วยเครื่องมือแพทย์
      - การใช้ยาเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนที่ผิดปกติไปจากเดิม
- - - - ปัสสาวะเล็ดเมื่อมีการออกแรงเบ่งช่องท้อง (Stress Urinary Incontinence, SUI)
  - - - โรคความดัน
      - เบาหวาน
      - หัวใจ
      - ระบบประสาท
      - การผ่าตัดรักษาและอุบัติเหตุที่ส่งผลถึงระบบทางเดินปัสสาวะ
- - - - ปวดปัสสาวะแต่เบ่งหรือปัสสาวะไม่ออก
      - ปวดแน่นท้องรู้สึกไม่สบายบริเวณท้องช่วงล่าง
      - ท้องอืดบริเวณท้องช่วงล่าง
    - - ปัสสาวะบ่อยมากกว่า 8 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
      - ถ่ายปัสสาวะไม่สุด
      - มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ
      - ต้องออกแรงเบ่งให้ถ่ายปัสสาวะออก
      - ปัสสาวะสะดุด นํ้าปัสสาวะที่ออกมาหยุดเป็นช่วง ๆ หรือไม่พุงเป็นสาย
      - ปวดปัสสาวะอีกครั้งหลังจากเพิ่งปัสสาวะเสร็จ
      - รู้สึกแน่นท้องหรือปวดบริเวณท้องช่วงล่าง
      - บางรายอาจไม่พบอาการผิดปกติใด ๆ
      - ผู้ที่มีอาการปัสสาวะไม่ออกควรไปพบแพทย์ทันที
  - - - ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia:BPH)
      - อวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานหย่อน (Genitourinary Prolapse)
      - ท่อปัสสาวะตีบแคบ (Urethral Stricture)
      - ท้องผูก
      - นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
      - ความผิดปกติของผนังช่องคลอดด้านหน้าหย่อน หรือกระเพาะปัสสาวะยื่นย้อย (Cystocele)
      - ไส้ตรงยื่นย้อย (Rectocele)
      - เนื้องอกหรือมะเร็งบางชนิด อาจเกิดขึ้นในกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ
      - เป็นอาการหลังการผาตัด ซึ่งอาการจะดีหลังจากหมดฤทธิ์ยาชา
      - โรคหรือความผิดปกติบางสภาวะจนค่อย ๆ เกิดการสะสมและอุดตัน จึงทําให้ร่างกายไม่สามารถระบายนํ้าปัสสาวะออกจากร่างกายได้ตามปกติ
    - - เกิดจากระบบประสาทที่ควบคุมการทํางานของกระเพาะปัสสาวะและหูรูดปัสสาวะเกิดความ
        ผิดปกติ จึงไม่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัวและหูรูดปัสสาวะคลายตัว เมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะจึงทําให้ถ่ายปัสสาวะไม่ออก อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
        
        โรคเบาหวาน
        
        โรคหลอดเลือดสมอง
        
        โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอ็มเอส (Multiple Sclerosis:MS)
        
        การบาดเจ็บบริเวณอุ้งเชิงกราน
        
        โรคที่ทําให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนที่เกี่ยวข้องมาตั้งแต่กาเนิด
        
        ความผิดปกติของเส้นประสาทไขสันหลัง (Spina Bifida)
        
        พิษจากโลหะหนัก
        
        การคลอดบุตรทางช่องคลอด
    - - การรับประทานหรือใช้ยาบางชนิดอาจรบกวนการทํางานของเส้นประสาทที่เป็นตัวส่งสัญญาณไปยังกระเพาปัสสาวะและต่อมลูกหมาก
      - ยารักษาอาการซึมเศร้าบางตัว โดยเฉพาะยากลุ่มไตรไซคลิก
        (Tricyclic Antidepressants:TCA)
      - ยาคลายกล้ามเนื้อ
        
        ยาไดอะซีแพม (Diazepam) ยาบาโคลเฟน (Baclofen)
      - ยาในกลุ่มแอนตี้มัสคารินิก (Antimuscarinic Drug)
        หรือยาลดอาการบีบเกร็ง (Antispasmodic Drug)
        
        บรรเทาอาการปวดท้อง
        
        ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
      - ยากลุ่มแกแพ้ ลดน้ำมูก หรือยาต้านแอนติฮิสตามีน
        
        ยาเอฟีดรีน (Ephedrine)
        
        ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine)
        
        ยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine)
        
        ยาเฟกโซเฟนาดี(Fexofenadine)
    - - อายุที่เพิ่มมากขึ้นทําให้กล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเสื่อมไปตามเวลา จึงไม่สามารถบีบตัวได้เต็มที่หรือนานพอให้นํ้าปัสสาวะไหลลงไปยังท่อปัสสาวะ เพื่อขับออกสู่ร่างกาย ซึ่งมักพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ
  - - - การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อหรืออีเอ็มจี (Electromyography)
      - การวัดปริมาณปัสสาวะที่ตกค้าง (Post-Voiding Residual Volume)
      - การส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ (Cystoscopy)
      - เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทีสแกน (CT-scan)
      - การตรวจเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
      - การตรวจพลศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urodynamic Study)
      - การตรวจอื่น ๆ
        
        การตรวจเลือด
        
        ดูการทํางานของไตหรือการติดเชื้อ
        
        การตรวจปัสสาวะดูความผิดปกติของสารในร่างกาย
  - - - ใช้สําหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถถ่ายปัสสาวะออกได้เลย แพทย์อาจต้องใส่
        สายสวนเข้าไปยังกระเพาะปัสสาวะ เพื่อนํานํ้าปัสสาวะที่ตกค้างออก
    - - มักใช้รักษาอาการฉี่ไม่ออกที่มีสาเหตุมาจากโรคต่อมลูกหมากโต ตัวยาจะไปหยุดการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมากหรือทําให้ต่อมลูกหมากหดตัวลง
        
        ยาดูทาสเทอไรด์ (Dutasteride)
        
        ยาฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride)
    - - หากการรักษาในข้างต้นไม่ช่วยให้อาการให้ดีขึ้นหรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนําเข้ารับการผ่าตัดในหลายกรณี
  - - - ผู้ชายที่เป็นโรคต่อมลูกหมากควรรับประทานยาที่แพทย์สั่งจ่าย และเลี่ยงการใช้ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ หรือยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือดช่วยในการลดบวมของเนื้อเยื่อ (Decongestant) เพราะเป็นยาในกลุ่มที่มีผลต่ออาการมากขึ้น
    - - ออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
      - เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตบางส่วน เพื่อป้องกนอาการฉี่ไม่ออกจากปัญหาท้องผูก
- - - - ทําให้เลือดแข็งตัว
      - เป็นภูมิคุ้มกันโรค
    - - โรคเบาหวาน
      - ความดันโลหิตสูง
  - - - ค่าอัตราส่วน Albumin/ Creatinineค่าปกติจะน้อยกวา่ 30 mg/g creatinineหาค่า
        ดังกล่าวอยูระหว่าง 30-300 แสดงวามีโปรตีนออกมาในปริมาณไม่มาก หากมากกว่า300 mg/g แสดงวาโปรตีนออกมามาก
      - ค่าอัตราส่วน Protein/ Creatinine ค่าปกติจะน้อยกว่า 0.2
  - - - Protein/creatinine ratio >100 mg/mmolผู้ป่วยจะต้องไปพบแพทย์โรคไต
      - Protein/creatinine ratio >45 mg/mmolและตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะจะต้องพบแพทย์เฉพาะโรคไต
      - Protein/creatinine ratio<45 mg/mmol.ให้การดูแลเหมือนผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคไต
      - ปริมาณ Protein มากกว่า 3.5 กรัมต่อวันจะจัดอยู่ในกลุ่มเนฟโฟติค
  - - - ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะน้อยโอกาศเสี่ยงที่จะกลายเป็นโรคไตวายจะตํ่า
      - ผู้ที่มีโปรตีนในปัสสาวะสูงมีโอกาศจะกลายเป็นโรคไตวายสูง
    - - หากมีปริมาณโปรตีนในปัสสาวะปริมาณมากเวลาปัสสาวะลงในโถส้วมจะเป็นฟอง หากร่างกายสูญเสียโปรตีนไปมากจะทําให้เกิดอาการบวมบริเวนเท้า หนังตา