Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรภาพของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ, 4, 87, 99, 45, 77, 78, 55, 52, 53,…
พยาธิสรีรภาพของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ
1.สรีรวิทยาของไต
Anatomy of Renal system
ไต (Kidney)
รับเลือดจากเส้นเลือดแดง และ เข้าสู่กระบวนการฟอกเลือด
ท่อไต (ureter)
ทำหน้าที่ลำเลียงของเหลวลงไปสู่กระเพาะปัสสาวะ
กระเพราะปัสสาวะ (Bladder)
ทำหน้าที่กักเก็บของเหลวเพื่อรอการระบาย
ท่อปัสสาวะ (urethra)
ทำหน้าที่ในการเป็นช่องทางการระบายของเหลวสู่ภายนอก
เส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดงและระบบท่อน้ำเหลือง (Renal a., vein, lymphatic drainage)
ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดเข้าสู่ไตทั้งสองข้าง
Anatomy of Kidney
ไตมี 2 ข้าง ซ้ายและขวา อยู่
บริเวณตำแหน่ง T12-L3
เป็น Retroperitoneal organ
ชั้นของไต
o ผนังหุ้มไต (Renal capsule)
oไตชั้นนอก (Cortex)
o ไตชั้นใน (Medulla)
o Calyx/calyces
o กรวยไต (Renal pelvis)
Physiology of Renal system
หน้าที่ของไต
กรองของเสียออกจากร่างกาย
กำจัดน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย
เป็นต่อมไร้ท่อ (Hormonal regulation)
ควบคุมความดันโลหิต ผ่านระบบ Renin angiotensin
กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ผลิด erythropoietin
ควบคุมปริมาณแคลเซียม ผ่านhormone
ระบบทางเดินปัสสาวะ
มีหน้าที่รักษาสมดุล ปริมาณน้ำ เกลือแร่ ของเสียต่างๆในร่างกาย รวมไปถึงสมดุลของความดันเลือด และยังมีหน้าที่ๆคิดไม่ถึงคือ หลั่งฮอร์โมน เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือด
2.การถ่ายปัสสาวะผิดปกติและกลไกการเกิดโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute kidney injury)
เป็นภาวะที่ไตสูญเสียหรือทำหน้าที่ได้ลดลงอย่างเฉียบพลัน ในระยะเวลาเป็นชั่วโมงหรือวัน และอยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน
อาการ
ปัสสาวะออกลดลง
บวม เหนื่อยง่าย
สับสน ซึมลง
หัวใจเต้นผิดปกติ
สาเหตุ
ภาวะที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตไม่เพียงพอ
เช่น ภาวะความดันโลหิตต่ำ, ภาวะเลือดออก, ภาวะหัวใจวาย
ภาวะไตบาดเจ็บโดยตรง
เช่น การได้ยาที่มีพิษต่อไต, การได้รับสารทึบรังสีทางหลอดเลือด, โรคไตอักเสบ
ภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ
เช่นภาวะนิ่ว, โรคต่อมลูกหมากโต
ภาวะแทรกซ้อน
การรักษา
รักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
รักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ให้เป็นปกติ
ปรับขนาดยาตามการทำงานของไตที่ลดลง
หลีกเลี่ยงการฉีดสารทึบรังสีหรือยาที่มีผลเสียต่อไตที่ไม่มีความจำเป็น
การรักษาโดยการบำบัดทดแทนไต กรณีที่มีอาการสารน้ำเกิน หรือเกลือแร่ผิดปกติร้ายแรงที่อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
2.นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
(stone/calculi)
นิ่ว สามารถเกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ ได้หลายรูปร่างและตาแหน่ง เช่น นิ่วรูปร่างเขากวาง (staghorn) มีทั้งประเภททึบแสงและ ไม่ทึบแสง ซึ่งไม่สามารถเห็นได้ด้วยX-ray
นิ่วเกิดจากการที่สารบางชนิด เช่น กรดยูริก ออกซาเลต หรือแคลเซียม เข้าไปอุดตันอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะบริเวณกระเพาะปัสสาวะ ท่อไต และไต ทำให้เกิดการขัดขวางทางเดินของน้ำปัสสาวะ ปัจจุบันพบว่านิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี โดยจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และพบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี
สาเหตุของการเกิดนิ่ว
กรรมพันธุ์
ความผิดปกติของต่อมพาราทัยรอยด์
ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น การตีบแคบของท่อปัสสาวะ
การดื่มน้ำน้อย หรือการสูญเสียน้ำจากร่างกายมาก
การรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกหรือสารออกซาเลตมากเกินไป
การอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
ยาบางชนิด
อาการแสดง (clinical manifestation)
ปวดตื้อบั้นเอว
ปัสสาวะสะดุด
ปัสสาวะเป็นทราบ/กรวด/เม็ดหิน
ปัสสาวะลำบากหรือแสบขัด
ปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปน
การตรวจวินิจฉัย
การซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะเพื่อค้นหาว่ามีเลือดหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (Urine Analysis)
การตรวจอัลตราซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะ เพื่อตรวจหาความผิดปกติ (Ultrasound KUB System)
การถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย เพื่อดูรูปร่าง ลักษณะ และตำแหน่งของผลึกหรือก้อนนิ่ว (Plain KUB System)
การถ่ายภาพรังสีร่วมกับการฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous Pyelography - IVP)
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ (CT KUB System)
การรักษา (Treatment)
การผ่าตัด
การใข้คลื่นshock waveยิงสลายนิ่ว
การใช้ยาลดการเกิดนิ่ว/สลายนิ่ว
รักษาตามอาการ
ข้อแนะนำสำหรับการป้องกัน
ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ
ไม่กลั้นปัสสาวะ เนื่องจากจะทeให้มีโอกาสตกตะกอนเกิดเป็นผลึกได้
ลดการรับประทานอาหารบางประเภท ที่มีสารหรือเกลือแร่มากเกินไป เช่น เครื่องในสัตว์ ชา น้ำอัดลม ผักบางชนิด (คะน้า ผักบุ้ง)
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
(Urinary tract infection)
หมายถึง การเกิดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะรวมถึงการติดเชื้อตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ไปจนถึงไต ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ
มีดังนี้
โรคท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
โรคกรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
สาเหตุ
ส่วนใหญ่ของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จากลำไส้ หรือ ผิวหนังของอวัยวะเพศเข้าไปอยู่ในทางเดินปัสสาวะ และ แพร่เข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ หรือไต
เชื้อก่อโรคที่มักเป็นสาเหตุ คือ Escherichia coli (E. coli) อาศัยในลำไส้ใหญ่
อาการแสดง
(clinicalmanifestation)
ปัสสาวะแสบขัด และ เจ็บเสียวเมื่อใกล้สุด
ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะออกมาน้อย
ปัสสาวะอาจมีกลิ่น
ปัสสาวะขุ่น มีฟอง อาจมีเลือดปน
ปวดท้องน้อย ปวดบั้นเอว
ตรวจร่างกาย (physical examination)
การตรวจปัสสาวะ
เพื่อหาการติดเชื้อจากสิ่งแปลกปลอมที่อาจปนอยู่ในน้ำปัสสาวะ
เช่น เชื้อแบคทีเรีย เลือด หรือเม็ดเลือดขาว
หากพบเม็ดเลือดขาวมากกว่า 3-5 ตัว อาจเป็นไปได้ว่ามีการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย
การเพาะเชื้อปัสสาวะ
หากตรวจปัสสาวะว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการติดเชื้อ อาจจะมีการตรวจด้วยการเพาะเชื้อปัสสาวะเพิ่มเติม
ส่องกล้องระบบทางเดินปัสสาวะ
ถ้ามีอาการรุนแรง หรือเรื้อรังเป็นไม่หาย อาจส่องดูว่ามีความผิดปกติอื่นนอกจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือไม่
การตรวจทางรังสีวิทยา
ตรวจหาภาวะแทรกซ้อนจาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น การตรวจนิ่วในทางปัสสาวะ การตรวจการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะ
การรักษา (Treatment)
Medical treatment
กินยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ เช่น กลุ่มfluoroquinolone (ofloxacin, ciprofloxacin), กลุ่ม3rd generation cephalosporin (Ceftriaxone)
Supportive เช่น ยาแก้ปวด
Nonmedical treatment
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
รักษาความสะอาด ไม่สวมเสื้อผ้ารัดแน่น/อับชื้น
เช็ดทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดจากหน้าไปหลัง
ไม่กลั้นปัสสาวะ
ล้างอวัยวะเพศและปัสสาวะก่อนมีเพศสัมพันธ์
3.การตอบสนองของร่างกายต่อความผิดปกติของระบบการขับถ่ายปัสสาวะ
1.ปัสสาวะมาก ( Polyuria )
ภาวะที่มีปัสสาวะมากผิดปกติ โดยจะมีปัสสาวะมากกว่า 3 L/day หรือ 50 mL/kg/day หรือถ้าในกรณีที่จำเป็นจะต้อง detect อย่างรวดเร็วอาจใช้ตัวเลขที่ 2 ml/min
ค่าเฉลี่ยของปริมาณปัสสาวะในแต่ละวันจะไม่เกิน 3ลิตรในวัยผู้ใหญ่ และไม่ควรเกิน 2ลิตรในวัยเด็ก
ปัสสาวะมากเกิดจากระบบขับถ่ายปัสสาวะ
มีภาวะโรคเบาจืด
โรคเกี่ยวกับการเสียสมดุลของนํ้าในร่างกาย ซึ่งมีอัตราการเกิดน้อยมาก
เป็นเพราะความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก ผู้ป่ วยก็จะมีความกระหายนํ้าอย่างรุนแรง ต้องดื่มนํ้าเข้าไปมาก จึงปัสสาวะมากด้วย
ข้างเคียงอื่นๆ คือ เมื่อดื่มนํ้ามากแล้ว จะทําให้ทานอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงขาดสารอาหารที่จําเป็น เรียกว่าเสียสมดุล
มีภาวะ Psychogenic polydipsia
ความผิดปกติในด้านพฤติกรรม คือ ติดนิสัยการทานนํ้าปริมาณมาก
คนกลุ่มนี้จะนอนหลับได้ดีเป็นพิเศษ และ อาการปัสสาวะมากก็จะหยุดไปในช่วงที่หลับ
มีโรคเบาหวาน
เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เข้ามา ผู้ป่วยเบาหวานจะรู้สึกกระหายนํ้าบ่อยกว่าปกติ และทานอาหารมาก
แต่นํ้าหนักตัวกลับลดลง ต้องปัสสาวะมากตลอดทั้งวัน แม้ในยามหลับ หากเป็นขั้นรุนแรงก็อาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนได้
โรคเกียวกับไต
โรคที่ทําให้ไตไม่สามารถเก็บนํ้าเอาไว้ได้ เมื่อเก็บไม่ได้ก็ต้องปล่อยออก
ได้แก่ hypercalcemia ( ภาวะแคลเซียมสูงในเลือด ) ,chronic pyelonephritis ( ภาวะกรวยไตอักเสบ ), chronic hypokalemia ( ภาวะผิดปกติ ของค่าโพแทสเซียมในร่างกาย )
ประเภทของอาการปัสสาวะมาก
กลุ่ม Solute diuresis
เกิดจากปริมาณสารบางอย่างที่ดึงนํ้าออกจากร่างกาย แล้วกลายเป็นปัสสาวะ โดยที่จะเป็นสาร electrolyte หรือ nonelectrolyte
กลุ่ม Water diuresis
ภาวะที่ปัสสาวะถูกขับออกมาเร็วกว่าปกติ ลักษณะจะเป็นของเหลวที่เจือจางมาก
คือนํ้าผ่านกระบวนการดูดซึมน้อยเกินไปนั่นเอง ซึ่งจะต้องวินิจฉัยด้วยค่า urine osmolality < 250 mosm/kg
ความสําคัญของค่า ADH
ADH หรือ Antidiuretic hormone เป็นฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ
เวโซเพรสซิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างโดยสมองส่วนไฮโพทาลามัส แล้วส่งต่อไปยังคลังเก็บที่สมองส่วนหลัง เพื่อรอการดึงออกมาใช้งาน
หน้าที่หลักของ ADH คือควบคุมการทํางานของไต กลไกการดูดซึมและกรองสารพิษต่างๆ
ADH ดูแลความเข้มข้นของของเหลวในร่างกายในผู้ป่วยที่มีอาการปัสสาวะมาก มีปัญหาค่า ADH ลดน้อยลง อาจเป็นเพราะร่างกายไม่สามารถผลิต สาร ADH ได้ตามปกติ หรือมีพฤติกรรมบางอยางที่ฝึกให้ร่างกายดึงเอา ADH มาใช้งานน้อยลง
การตรวจวินิจฉัย
บันทึกความถี่ในการปัสสาวะ และสิ่งที่ทําให้คิดว่าปริมาณปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
สังเกตสีและลักษณะอื่นๆของปัสสาวะ
สังเกตอาการปวดปัสสาวะช่วงเข้านอน ว่าต้องตื่นและลุกมาเข้าห้องนํ้ากลางดึกหรือไม่ บ่อยแค่ไหน
แนวทางการรักษา
ในภาวะเบาจืด การใช้อาหารที่มีความเข้มข้นต่ำ เพื่อลดการขับปัสสาวะของร่างกาย ใช้ยาอื่นๆ ที่สามารถลดปริมาณปัสสาวะได้ ตัวอย่างเช่น carbamazepine, NSAIDs, thiazid diuretic
2.ปัสสาวะออกน้อย ( Oliguria and Anuria )
มีเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 400 มิลลิลิตรต่อ 24 ชั่วโมงในวัยผู้ใหญ่ และ100 มิลลิลิตรต่อ 24 ชั่วโมงในวัยเด็ก หากปัสสาวะมีปริมาณน้อยกว่าจะเข้าสู่ภาวะปัสสาวะน้อย
ทําให้เกิดนํ้าคั่งภายในร่างกายมากเกินไป ค่าโซเดียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่ควรขับออกก็ไม่ได้ถูกขับออก ร่างกายจึงบวมนํ้า ความดันโลหิตสูง คอยสะสมของเสียต่างๆอยู่ตลอด และ เมื่อมีของเสียมาก สมดุลร่างกายก็เสียไปยิ่งปล่อยไว้นาน ก็ยิ่งแพร่กระจายความเสียหายของระบบสมดุลมากขึ้นเท่านั้น
ผลกระทบ
มีอาการบวมของร่างกาย เพราะไม่สามารถขับของเสียออกไปได้
ระดับฮอร์โมนอดรีนัลเพิ่มขึ้นสูงกว่าปกติ
การหลั่งสารเรนินจากเซลล์ผนังหลอดเลือดในส่วนของไตมากขึ้น
เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะตามมาและถ้ารุนแรงจะกลายเป็นอาการปั สสาวะออกน้อยซึ่งต้องทําการรักษาขนานใหญ่
AKI คืออะไร
Acute kidney injury เป็นภาวะไตวายเฉียบพลัน อวัยวะส่วนไตเกิดการเสียสมดุลไปจนถึงเสีย ประสิทธิภาพในการทํางานไปอย่างรวดเร็ว
Pre-renal AKI
ภาวะที่ effective arterial blood volume ลดลงอยางรวดเร็ว มักเกิดกับผู้ป่วยที่มีการเสียเลือดหรือเสียนํ้าอยางมาก เมื่อร่างกายขาดสมดุลของนํ้าและเลือดไป
Intrinsic AKI
การเกิดพยาธิสภาพบริเวณ renal parenchymal โดยจะเกิดขึ้นที่ส่วนไหนก็ให้ผลลัพธ์เหมือนกันหมด
Post-renal AKI
อาการอุดตันบริเวณ bladder outlet และการอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะข้างเดียว
Sepsis-associated AKI
การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งมีผลทําให้เกิดความเสี่ยงต่อ AKI มากถึง 50เปอเซ็นต์
Postoperative AKI
เป็นภาวะที่เกิดมาจากการผาตัด
Burn and acute pancreatitis
เป็นการสูญเสียนํ้าปริมาณมากอยางฉับพลัน ทําให้ตับอ่อนเกิดการอักเสบ ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการผิวไหม้
Nephrotoxic drug associated AKI
Endogenous toxin
เป็นอาการติดพิษจากสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง
Tumor lysis syndrome
เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากการบําบัดด้วยเคมี
การรักษา
ทานนํ้าให้มากขึ้นโดยค่อยๆเพิ่มทีละนิดๆ เพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ
ป้องกันและลดอัตราการสูญเสียน้ำาของร่างกายในทุกกรณี
ดูแลเรื่องสารอาหารให้สมดุล และลดในส่วนที่จะเพิ่มโซเดียมให้ร่างกาย เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้นกว่าปกติ
3.โรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เป็นกลุ่มอาการ ปัสสาวะบ่อยมาก ทั้งกลางวัน กลางคืน ปวดกลั้นมากขณะที่จะไปห้องนํ้าจนบ่อยครั้ง หรือบางครั้งกลั้นไม่อยูราดออกไปก่อน
สาเหตุ
เกี่ยวข้องโดยตรงในสตรีเพศเป็นเพราะว่า กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนลง บางทีเรียกว่า กระบังลม (เชิงกราน) หย่อน
ประเภทโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ปัสสาวะกลั้นไม่อยูที่เป็นมาแต่กำเนิด
ปัสสาวะรดที่นอน
ปัสสาวะกลั้นไม่อยู่จากระบบประสาท
ปัสสาวะเล็ดเมื่อออกแรงเบ่ง
ปัสสาวะราดกลั้นไม่ได้
ปัสสาวะเล็ดและราดร่วมกัน
ปัสสาวะบ่อยมากในช่วงกลางวัน
ปัสสาวะบ่อยในช่วงเวลากลางคืน
ปัสสาวะปวดกลั้น
กระเพาะ, ปัสสาวะไวเกิน
ปัสสาวะล้นซึม
การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์
• ตรวจปัสสาวะเพื่อตัดปัญหาการอักเสบ
• ตรวจสอบความแรงของสายปัสสาวะ
• ตรวจระบบประสาททางเดินปัสสาวะ ถ้าจําเป็น
• ตรวจส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ ถ้าจําเป็น
การรักษา
การบริหารฝึกฝนกล้ามเนื้ออุ้งกราน ,Kegel Exercise
การบริหารทานยา
การผ่าตัดรักษาผ่านบริเวณช่องคลอด
5.ปัสสาวะคั่งค้าง(Urinary Retention)
เป็นภาวะที่ไม่สามารถขับปัสสาวะได้ตามปกติแม้ว่ารู้สึกปวดปัสสาวะมากหรืออาจต้องใช้ เวลาเบ่งปัสสาวะนานกว่าจะออก
อาการ
ปัสสาวะไม่ออกเฉียบพลัน
• ปวดปัสสาวะ แต่เบ่งหรือปัสสาวะไม่ออก
• ปวดแน่นท้อง รู้สึกไม่สบายบริเวณท้องช่วงล่าง
• ท้องอืดบริเวณท้องช่วงล่าง
ปัสสาวะไม่ออกเรื้อรัง
• ปัสสาวะบ่อยมากกว่า 8 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
• ถ่ายปัสสาวะไม่สุด
• มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ
• ปวดปัสสาวะอีกครั้งหลังจากเพิ่งปัสสาวะเสร็จ
• รู้สึกแน่นท้องหรือปวดบริเวณท้องช่วงล่าง
สาเหตุ
• ท่อปัสสาวะอุดตัน สาเหตุหลักของอาการฉี่ไม่ออก อาจเกิดได้จากโรคหรือความผิดปกติ เช่น ต่อมลูกหมากโต
ระบบประสาท เกิดความผิดปกติ จึงไม่ส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัวและหูรูดปัสสาวะคลายตัว เช่น โรคเบาหวานโรคหลอดเลือดสมอง
• การใช้ยา การรับประทานหรือใช้ยาบางชนิดอาจรบกวนการทํางานของเส้นประสาทที่เป็นตัวส่งสัญญาณไปยังกระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาไดอะซีแพม (Diazepam)
การรักษา
การระบายนํ้าปัสสาวะ
การใช้ยา
การผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อน
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะเสียหายหรือทํางานผิดปกติ
ไตทํางานผิดปกติ
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้
การป้องกัน
ผู้ชายที่เป็นโรคต่อมลูกหมาก ควรรับประทานยาที่แพทย์สังจ่าย และเลี่ยงการใช้ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ หรือยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือดที่ช่วยในการลดบวมของเนื้อเยื่อ
ผู้หญิงที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะ หยอนลงมาในช่องคลอดหรือไส้ตรงยื่นย้อย ในระดับไม่รุนแรงควรออกกาลังกาย ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตบางส่วน เพื่อป้องกนอาการฉี่ไม่ออก
6.ภาวะโปรตีนในปัสสาวะ
การตรวจพบ proteine หรือ albumin ในปัสสาวะซึ่งมักจะมีสาเหตุจากโรคไต การรับประทานยาบางชนิด
คนปกติจะตรวจปัสสาวะไม่พบโปรตีน Protein โปรตีนส่วน ใหญ่เป็น Albumin
การตรวจปัสสาวะเพื่อหา Albumin ในผู้ป่วยบางโรค เช่น โรคเบาหวาน ความดันดลหิตสูง
ปัจจัยที่มีผล
• การออกกาลังกาย
• ภาวะหัวใจวาย
• การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
• มีไข้
• การใช้ยา NSAID,aceI,ARB
• คนอ้วน
โปรตีนในปัสสาวะแบ่งออกเป็น 3ชนิด
โปรตีนในปัสสาวะที่หายเองได้ Transient proteinuria มักจะพบในคนที่มีไข้ หรือออกกาลังกาย อยู่ในที่หนาว หรือมีความเครียด
โปรตีนในปัสสาวะเมื่ออยูในท่ายืน Orthostatic (postural) proteinuria โปรตีนมักจะน้อยกว่า 1 กรัมต่อวัน
เมื่อตรวจปัสสาวะ 2-3 ครั้งยังพบโปรตีนทุกครั้งที่ตรวจเราเรียกว่า Persistent proteinuria มีโรคที่ไต ปริมาณโปรตีนกสามารถบอกตําแหน่งของโรคไตได้
เมื่อพบโปรตีนในปัสสาวะแพทย์จะตรวจหาอะไร
เจาะเลือดตรวจเช่น การทํางานของไต
ตรวจเลือดหาระดับนํ้าตาลในเลือด
ตรวจเลือดหาระดับไขมันในเลือด
ตรวจเลือดเพื่อหาวามีโรค SLE
ค่าโปรตีน
: วิธีการตรวจ
นางสาวอวัศดา ลีเอาะ UDA6380059