Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบไหลเวียน (Circulatory System), 743, 8533, 635, 8523, 6545, 976, 85 -…
ระบบไหลเวียน (Circulatory System)
สรีรวิทยาของหัวใจ (Physiology of the Heart)
หัวใจทาหน้าที่ในการสูบฉีดเลือด (Cardiac Pumping Function)
สูบฉีดเลือดออกจากหัวใจเพื่อไปเลี้ยงเซลล์และเนื้อเยื่อตามส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยการบีบตัวของหัวใจห้องล่างช้าย (Left Ventricle) ซึ่งเรียกระยะของการบีบตัวนี้ว่า ซีสโตล (Systole) ผ่านเส้นเลือดแดงใหญ่ เอออร์ตา (Aorta)
2 รับเลือดจากเชลล์และเนื้อเยื่อที่ใช้แล้คลับสูหัวใจห้องบนขวา (Right Atrium) เพื่อไปสู่หัวใจห้องล่างขวา (Right Ventricle) แล้วสูบฉีดเพื่อ ไปฟอกที่ปอด(แลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจน)
ความดันโลหิต (Blood pressure)
ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันที่เกิดจากหัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจแล้วไป กระทบกับผนังของเส้นเลือด
ความดันโลหิตมีอยู่ 2 ระยะ
-ระยะที่หัวใจห้องล่าง (Ventricles) บีบตัวเพื่อส่งเลือดออกไปเรียกว่า ระยะบีบตัวหรือ ซีสโตลิก (Systolic)
-ระยะที่หัวใจห้องล่างคลายตัวเรียกว่าระยะคลายตัวหรือไคแอสโตลิก (Diastolic)
เครื่องมือที่ใช้วัดความดันเลือดเรียกว่า Sphygmomanometer
การวัดความดันโลหิต
•Sphygmomanometer สฟิกโมนาโมมิเตอร์ (เครื่องวัดความดันโลหิต)
•Systolic blood pressure
(ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว)
•Diastolic blood pressure
(ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว)
Heart หัวใจ
-ที่ตั้งหัวใจฐานด้านบนตั้งอยู่บริเวณซี่โครง (Rib) อันที่ 2 -ส่วนปลายเรียกว่าเอเป๊กซ์ (Apex) จะชี้ลงล่างไปทางด้านช้ายตั้งอยู่บริเวณระดับแนวเส้นที่ลากจากกึ่งกลางของกระ ดูกไหปลาร้า ถึงช่องระหว่างซี่โครง อันที่ 5 และ 6
-หัวใจอยู่ภายในช่องอกระหว่างปอดทั้งสองข้าง
-โดย 2 ใน 3 ส่วนของหัวใจจะอยู่ด้านซ้าย
-หัวใจมีน้ำหนัก ประมาณ 300 กรัม
โครงสร้างของหัวใจ
-Epicardium (เยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน)
-Myocardium (กล้ามเนื้อหัวใจ)
-Endocardium (เยื่อบุหัวใจ)
หัวใจห้องบนขวา (Right atrium)
มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากหลอดเลือดดำใหญ่
-ซุพีเรียเวนาคาวา (superior vena cava) ซึ่งรับ เลือดมาจากร่างกายส่วนบน
-อินฟีเรียร์เวนาคาวา (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง
-เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัว ใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้นหัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)
หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle)
-หน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี(pulmonary valve) และหลอดเลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary arteries)
-ที่ผนังของหัวใจจะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อ กัน และมีเอ็นเล็กๆ เรียกว่าคอร์ดีอเท็นดินี (chordae tendinae) ทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบนขวาระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่างดังนั้น จึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium)
-หัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดดำพัลโมนารี(pulmonary veins)
-ส่งเลือดผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทางลื้นไมทรัล (Mitral valve)
หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle)
-ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้งร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)
หน้าที่ของระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.ขนส่งออกชิเจนและอาหารไปให้เซลล์ทั่วร่างกาย นาคาร์บอนไดออกไซด์ และของเสียจากเซลล์ไปขับทิ้งยังอวัยวะขับถ่าย
2.ช่วยควบคุมระดับความสมดุลย์ของกรด- ด่างภายในร่างกาย
3.ช่วยควบคุมระดับความสมดุลย์ของอุณหภูมิในร่างกาย
4.ช่วยทำลายเชื้อโรค และป้องกันเชื้อโรคโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน(Antibodies) ให้กับร่างกาย
5.ช่วยลาเลียงฮอร์โมนและเอนไซม์ไปให้เซลล์เพื่อให้อวัยวะมีการทางานตามปกติ
6.ป้องกันเลือดไหลไม่หยุด โดยการเกิดลิ่มเลือดอุดบาดแผล
อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate)
เครื่องมือที่ใช้สาหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เรียกว่า สเตรทโทรสโคบ (Stethoscope)
มีลักษณะเป็นหูฟังที่ใช้ขยายเสียงของหัวใจเกิดจากการหดตัวของผนังห้องหัวใจ และการปิดเปิดลิ้นหัวใจเพื่อสูบฉีดเลือด ถ้าใช้ Stethoscope ฟังจะได้ยินเสียงของหัวใจดัง "ลับ - ดุบ“ (Lub - Dub)
เสียงดุบ (Dub) เป็นเสียงที่สองระยะเวลาสั้นกว่าเสียงแรก
เสียงลับ (Lub) เป็นเสียงแรกที่ดังอย่างชัดเจน มีเวลานาน
อัตราชีพจร (Pulse Rate)
• ชีพจร (Pบlรe) คือ คลื่นที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจเพื่อส่งเลือดออกจากหัวใจแล้วไปกระทบกับผนังของหลอดเลือดแดง อัตราการเต้นของชีพจรจึงมีค่าเท่ากับอัตราการเต้นของหัวใจ
• การเต้นของหัวใจเกิดก่อนการเต้นของชีพจร เพราะคลื่นของเลือดที่ออกมาจากการที่หัวใจบีบตัวต้องใช้เวลาการเดินทางมาที่หลอดเลือดแดงที่มากระทบ
• การจับชีพจรของร่างกายสามารถจับได้ตามหลอดเลือดแดงบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย
การควบคุมการทำงานของหัวใจ
การควบคุมจากระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) โดผต่อมหมวกไดชั้นใน ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญ 2 ชนิด คือ อีพิเนฟริน (Epinephrine) หรืออะดรีนาลิน (Adrenalin) กับนอร์อีพิเนฟริน (Nor - Epinephrine) หรือ นอร์ อะดรีนาลิน (Nor - Adrenalin) มีบทบาทควบคุมการเต้นของหัวใจให้เร็วและแรงขึ้น เหมือนกับประสาทซิมพาเทติด
การควบคุมจากระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) ประกอบด้วย -ประสาทซิมพาเทติด (Sympathetic) มีบทบาทควบคุมการเต้นของหัวใจให้เร็วและแรงขึ้น -ประสาทพาราซิมหาเทติด (parasympathetic) มีบทบาทควบคุมการเต้นของหัวใจให้เต้นช้าและเบาลง
การควบคุมจากหัวใจเองถ้าเลือดไหลกลับสู่หัวใจมาก หัวใจก็จะบีบเลือดออกจากหัวใจมาก
Blood vessels
(หลอดเลือด)
Blood (เลือด)
•เลือดมีคุณสมบัติเป็นเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง
•ทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อกับเชลล์ทั่วร่างกายในระบบไหลเวียน
•มีสีแดงในหลอดเลือดแดง และมีสีคล้าในหลอดเลือดดำ
•มีความตวงจำเพาะประมาณ 1.05 - 1.06
•มีความเป็นด่างเล็กน้อย คือ มีค่า PH ระหว่าง 7.35 - 7.45
•มีอุณหภูมิประมาณ 38 องศาเซลเซส หรือ 100.4 องศาฟาเรนไฮต์
•มีความหนืด (Viscosity) มากกว่าน้าประมาณ 5 เท่า
•ปริมาณเลือดในร่งทายประมาณ 7 - 8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักร่างกาย โดยดิดประมาณเลือดเป็นลิตร และน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม
•โดยปกติผู้ใหญ่จะมีเลือดประมาณ 5-6 ลิดร
1.เลือดทาหน้าที่ขนส่ง O2, CO2, สารอาหาร, ของเสีย, ฮอร์โมน และ ความร้อน
ช่วยปกป้องร่างกายโดย สารแอนติบอดี (antibodies) เม็ดเลือดขาว (leukocytes) เกร็ดเลือด (platelets)
มีบทบาทในการอักเสบ (inflammation)
ช่วยคงสมดุลของน้าในร่างกาย และ ค่าความเป็นกรดด่างของน้าในร่างกาย.
องค์ประกอบของเลือด
(Composition of blood)
เลือดประกอบด้วย 2 ส่วน
1. เม็ดเลือด (Blood Cells หรือ Corpuscles) มีประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมด ประกอบด้วย
1.1 เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell หรือ Erythrocyte)
1.2 เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell หรือ Leucocyte)
1.3 เกล็ดเลือด (Blood Platelet หรือ Thrombocyte)
2. ส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่ผลาสมา (Plasma) มีประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือดทั้งหมด
เม็ดเลือดแดง
-เม็ดเลือดแดงมีลักษณะรูปกลมแบน ตรงกลางเว้าเข้าหากัน
-มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 - 8 ไมครอน และ หนาประมาณ 1 - 2 ไมครอน
-มีลักษณะยึดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ จึงสามารถผ่านหลอดเลือดฝอยได้
-มีสารประกอบของโปรตีน เรียกว่า ฮีโมโกลบิน(Hemoglobin) ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สาคัญ ฮีโมโกลบินทำหน้าที่จับออกชิเจนแล้วกลายเป็นออกซี่ฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin) ช่วยขนสออกชิเจนไปยังเชลล์และเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย และนาคาร์บอนไดออกไซด็ออกจากเชลล์และเนื้อเยื่อไปสู่ปอด
-โดยปกติผู้ชายจะมีฮีโมโกลบินประมาณ 16 กรัม ต่อเลือต 100 มิลลิลิตร
-ผู้หญิงจะมีประมาณ 14 กรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร
-ฮีโมโกลบิน 1 กรัมสามารถจับออกชิเจนได้ประมาณ 1.34 มิลลิลิตร
-เม็ดเลือดแดงส่วนใหญ่สร้างมาจาก ไขกระดูกแดง (Red Bone Marrow) มีอายุประมาณ 120 วัน
-จะถูกทาลายที่ตับ (Liver) และม้าม (Spleen)
-ผู้ชายจะมีเม็ดเลือดแดงประมาณ 5.5-6 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบมม
-ผู้หญิงมีเม็ดเลือดแดงประมาณ 4.5 - 5 ล้านเซลล์ต่อเลือด 1 ลบ.มม.
เม็ดเลือดขาว
-ในคนปกติจะมีประมาณ 5 - 9 พันเซลล์ ต่อเลือด 1 ลบมม.
-จำนวนอาจเปลี่ยนแปลงตามอายุ เพศ หรือสาวะของร่างกาย เช่นมีการติดเชื้อโรค ถ้ามีปริมาณ
-สูงกว่าปกดิเรียกว่า ลิวโคไซโตซีส (Leukocytosis) ถ้ามีปริมาณน้อยกว่าปกติเรียกว่า ลิวโคพีเนีย (Leukopenia) และเรียกโรคเลือดที่มีจานวนเม็ดเลือดขาวผิดปกติว่า ลิวดีเมีย (Leukemia)
-เม็ดเลือดขาวถูกสร้งขึ้นมาตลอดเวลาจากไขกระดูก ต่อมน้าเหลือง ม้าม และต่อมไทมัส
-มีอายุไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับชนิดของม็ดเลือดขาว บางชนิดมีอายุไม่เกิน 24 ชั่วโมง บางชนิดมีอายุ 3-12วัน และ จะถูกทาลายที่ตับ โดยขับถ่ายออกมากับอุจจาระ
-เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ทาลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสูร่างกาย ดังนั้น เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นก็จะทาให้เม็ดเลือตขาวเพิ่มจานวนมากกว่าปกติ
แบ่งเป็น 2 ชนิด
1. เม็ดเลือดชาวชนิดที่มีแกรนูล เรียกว่า แกรนูโลไซท์ (Granulocyte) มี 3 ชนิด คือ
1.1 นิวโตรฟิล (Neutrophil) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนมากที่สุด คือ ประมาณ 60 % มีหนัาที่ทำลายเชื้อแบคทีเรีย
1,2 อีโอซีโนฟิล (Eosinophil) ประมาณ 2 - 5 % มีหนัาที่ทำลายเชื้อโรคที่ผ่านทางหลอดเลือดและท่อทางเดินอาหาร
1.3 เบโซฟิล (Basophile) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีจานวนน้อยที่สุด ประมาณ 0.5 - 1 % มีหน้ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาตอบสนองต่อการอักเสบ
2. เม็ดเลือดขาวชนิดที่ไม่มีแกรนูล เรียกว่าอะแกรนูโลไซต์ (Granulocyte) มี 2 ชนิด
2.1 ลิมโพไซท์ (Lymphocyte) มีประมาณ 20 - 30 % มีหน้าที่เกี่ยวกับการตอบสนองในระบบภูมิคุ้มกัน
2.2 โมโนไซท์ (Monocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีประมาณ 4 – 7 %
เกล็ดเลือด
-เกล็ดเลือดมีขนาดเล็ก ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส โดยปกติมีประมาณ 250,000 - 300,000 เกล็ด ต่อ 1 ลบ.มม
-มีอายุประมาณ 2 - 3 วัน เกล็ดเลือดถูกสร้งขึ้นในไขกระดูกแดงจากเชลล์ที่เรียกว่า เมกาคอรีโอไซด์ (Megakaryocyte) ถูกทำลายที่ม้าม
-เกล็ดเลือดมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด เมื่อมีหลอดเลือดถูกทาลายเกล็ดเลือดบริเวณนั้นจะรวมตัวกันเป็นก้อน และอุดตรง บริเวณหลอดเลือดที่ถูกทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมาภายนอก
พลาสมา (Plasma)
-พลาสมาเป็นส่วนประกอบของเลือดที่นอกเหนืจากเม็ดเลือด มีลักษณะเป็นน้าหรือ ของเหลว มีสีเหลืองใส มีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย คือมีค่า PH ประมาณ 7.35 - 7.45
-มีประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์ของเลือด
พลาสมามีหน้าที่สำคัญ
ช่วยในการแข็งตัวของเลือดเพราะมี Fibrinogen
ทำให้เลือดมีความหนืด
ช่วยทำให้เกิดแรงดันออสโมติค (0smotic Pressure) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการดูดน้ำไว้ในเส้นเลือด
ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ฮอร์โมน และเอนไซม์ต่าง ๆ
มีส่วนประกอบที่สำคัญ
น้า มีประมาณ 90 -93 เปอร์เซ็นต์
โปรตีน มีประมาณ 6 - 8 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยอัลบูมิน (Albumin) โกลบูลิน (Globulin) และไฟบริโนเจน (Fibrinogen)
สารอาหารต่างๆ เช่น กรดอะมิโน กลูโคส กรดไขมัน และกลีเซอรอล
ก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
เกลือเร่ที่สำคัญ เช่น แคลเซียม โซเดียมคลอไรด์ และโพทัสเชียม
ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ
ของเสียที่เกิดจากกระบวนการเผลาญอาหาร เช่น กรดแลคดิค กรดยูริค ยูเรีย และแอมโมเนีย
ภูมิคุ้มกันโรค เช่น Gamma Globulin
-ในพลาสมามีแอกคลูทินิน (Agglutinin) 2 ชนิด คือ แอนทิเอ (Anti - A) กับแอนทิบี (Anti- B)แอกคลูทินินชนิดแอนทิเอ จะพบในหมู่เลือด โอ กับ บี แอกคลูทินินชนิดแอนทิบีจะพบใน หมู่เลือด โอ กับ เอ ส่วนหมู่เลือดเอบีไม่มีแอกคลูทินิน ในพลาสมา
ระบบน้าเหลือง
(Lymphatic System)
-น้ำเหลือง คือ ส่วนหนึ่งของของเหลวในร่างกายที่เกิดจากพลาสมา และของเหลวจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดฝอยกลับเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย แล้วไหลเวียนอยู่ในหลอดน้ำเหลือง
-น้ำเหลืองมีลักษณะใส มีส่วนประกอบคล้ายพลาสมา แต่มีจานวนโปรตีนน้อยกว่า
หลอดน้าเหลือง
(Lymphatic Vessel)
หลอดน้ำเหลืองมีบทบาทในการนำน้ำเหลืองกลับเช้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือด เริ่มต้นตั้งแต่หลอดน้ำเหลืองฝอย (Lymphatic Capillary) มีลักษณะเป็นท่อปลายปิด เป็นข่ายงาน (Network) รวบรวมน้ำเหลืองจากเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าในหลอดน้ำเหลืองที่ใหญ่ขึ้นๆ ไป
น้ำเหลืองจะไหลเวียนได้โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ผนังหลอด
น้ำเหลืองเอง จากการหดตัวของกล้ามเนื้อใกล้เคียง และ การเปลี่ยนแปลงความดันภายในทรวงอก อันเนื่องมาจากกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
หลอดน้ำเหลืองมีอยู่เกือบทั่วร่างกาย ยกเว้นบางส่วน เช่น สมอง ไขสันหลัง ลูกตา หูชั้นใน ไขกระดูก และกระดูกอ่อน
อวัยวะในระบบน้ำเหลือง
แบ่งเป็น 4 อวัยวะ
1.ต่อมน้ำเหลือง (Lymph Node)
-ต่อมน้ำเหลืองประกอบด้วยเชลล์น้ำเหลือง หรือลิมโฟไซท์ (Lymphocytes) จำนวนมาก
-ต่อมน้ำเหลืองจะอยู่ปริเวณระหว่างทางเดินของน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองที่สำคัญ เช่น ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ ช่องอก และช่องท้อง
ต่อมน้ำเหลืองมีหน้าที่ที่สำคัญ
1.ผลิตเซลล์น้ำเหลีอง
2.ทำหน้าที่กรองน้ำเหลืองจากหลวดน้ำเหลืองเพื่อกาจัดสิ่งแปลกปลอมที่ปนมากับน้ำเหลือง
3.สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Antibody)
2.ต่อมทอลซิล (Tonsil Gland)
-ต่อมทอลซิลอยู่บริเวณทางเข้าของระบบทางเดินอาหาร และ ระบบทางเดินหายใจ
-หน้าที่ป้องกันและกาจัดสิ่งแปลกปลอมที่ผ่านมาทางระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ
ต่อมทอลซิล มี 3 ตำแหน่ง
1. พาลาติน ทอลซิล (Palatine Tonsil) อยู่บริเวณเพดานปากใกล้กับลิ้นไก่
ลิงควล ทอลซิล (Lingual Tonsil) อยู่บริเวณโดนลิ้น
ฟาริงเยียล ทอลซิล (Pharyngeal Tonsil) อยู่บริเวณด้านหลังของ Nasopharynx
3.ม้าม (Spleen)
-ม้ามเป็นต่อมน้าเหลืองขนาดใหญ่ที่สุด
อยู่บริเวณชายโครงด้านช้าย ใด้กะบังลม
หน้าที่ที่สาคัญ
1. ผลิตเม็ดเลือดขาวและสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
2. ทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้ว
3. สร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย และทำลายเชื้อโรค
4. เป็นแหล่งสำรองเลือด เมื่อร่างกายมีความจำเป็นต้องการเลือดเพิ่มขึ้น เลือดจากม้ามสามารถนำมาสู่ระบบไหลเวียนได้
ต่อมไทมัส (Thymus gland)
-ต่อมไทมัสอยู่ใกล้หลอดเลือดใหญ่ของหัวใจ มี 2 กลีบติดกัน เจริญเติบโตในช่วงทารกและเด็ก แต่พอโตขึ้นจะมีขนาดเล็กลง
-ต่อมไทมัสมีบทบาทในกาสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายโดยการสร้างเม็ดเลือดขาว