Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร - Coggle Diagram
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารยุคคลาสสิก (Classical organizational theory) เป็นทฤษฎีการบริหารที่ประกอบด้วยแนวคิด/หลักการที่สำคัญ ได้แก่ หลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ หลักการจัดการตามหลักการบริหาร และหลักการจัดการตามระบบราชการ
4.1.1หลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งผู้เสนอแนวคิด ได้แก่ Frederick Winlow Taylor ซึ่งเป็นวิศวกรชาวอเมริกันและได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งหลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์” โดยในปี ค.ศ.1911 Taylor ได้เสนอหลักการบริหารไว้ 4 ประการ
1) Scientific Job Analysis คือการวิเคราะห์งานตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยผ่านการสังเกต การรวบรวมข้อมูลและการวัดอย่างรอบคอบ จนเกิด“วิธีที่ดีที่สุดซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า Time - and -motion study
2) Selection of Personnel คือการคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสมกับงานแต่ละงาน
3) Management Cooperation คือการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้แน่ใจว่างานที่ทำอยู่นั้นเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
4) Functional Supervising คือการกำกับดูแลการทำงาน โดยผู้บริหารทำหน้าที่วางแผน (planning) จัดองค์การ (organizing) และตัดสินใจ (decision-making)
4.2 ทฤษฎีการบริหารตามแนวมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) เพื่อศึกษาว่าพนักงานชอบและไม่ชอบสภาพแวดล้อมการทำงานอย่างไร ซึ่งผลการสัมภาษณ์และการสังเกตในระหว่างการทดลอง เกิดจาก 2 ส่วน คือ 1) ปัจจัยทางสังคมและมนุษย์ (human-social) เช่น การมีกำลังใจในการทำงาน ความรู้สึกเป็นเจ้าของ เป็นต้น 2) การบริหารจัดการที่มีประสิทธิผล เช่น ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทักษะการสร้างแรงจูงใจ การนำ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
4.2.2 ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวิน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของบุคคลเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมี 3 ระยะ ได้แก่ พฤติกรรมของบุคคลในระยะการละลายพฤติกรรม ระยะการการเปลี่ยนแปลง ระยะรักษาดุลยภาพการเปลี่ยนแปลง
1) ระยะการละลายพฤติกรรม (Unfreezing) เป็นระยะเริ่มแรกที่บุคคลรับรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
2) ระยะการการเปลี่ยนแปลง (Changing) เป็นระยะที่บุคคลเข้าใจความจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง จึงลดปฏิกิริยาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและมีเจตคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลง
3) ระยะรักษาดุลยภาพการเปลี่ยนแปลง (Refreezing) เป็นระยะที่บุคคลเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวิน ยังอธิบายว่าในสภาวะปกติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถือเป็นสภาวะสมดุล (state of equilibrium or status quo) ที่แรงขับเคลื่อน (driving force) เท่ากับแรงต่อต้าน (restraining force) ส่วนระยะที่กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลงแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงซึ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
4.1.2 หลักการจัดการตามหลักการบริหาร (Administrative Management) ผู้เสนอแนวคิดนี้ ได้แก่ Henri Fayol ซึ่งเป็นวิศวกรและนักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศสจนได้ชื่อว่าเป็น“ผู้ริเริ่มหลักการจัดการตามหลักการบริหาร (Administrative management principle)” โดยในปีค.ศ.1949 Henri Fayol เสนอหลักการจัดการไว้ 14 หลักการ
การแบ่งงานกันทำ (division of work)
การให้อำนาจ (authority)
ความมีวินัย (discipline)
-เอกภาพในการบังคับบัญชา(unity of command)
-หลักการมีทิศทางเดียวกัน(unity of direction)
-การถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล (subordination of individual interest to general interest)
-การจ่ายค่าตอบแทน(remuneration)
-การรวมอำนาจ(centralization)
-สายการบังคับบัญชา (scalar chain)
-ความมีระเบียบ (order)
-ความเท่าเทียมกัน (equity)
-ความมั่นคงของบุคลากร(stability of personnel)
-ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)
-หลักความสามัคคี (esprit de corps)
4.1.3 หลักการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucracy management) ผู้เสนอแนวคิดคือ Max Weberเนื่องจากเชื่อว่าหลักการจัดการตามระบบราชการเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เสนอหลักการจัดการตามระบบราชการ 7 หลักการคือ
1) การแบ่งงานกันทำ (division of work) ตามความรู้ ความชำนาญ (specialization)
2) การจัดตำแหน่งตามสายบังคับบัญชา (scalar chain) จากระดับสูงมายังระดับรอง
3) การกำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน
4) บุคคลทำหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยไม่ยึดความเป็นส่วนตัว
5) การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ (professional qualities)
6) มีความก้าวหน้าในอาชีพ (career aspects)
7) มีอำนาจตามกฎหมาย (legal authority)
4.3 ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Theory)ศึกษาพฤติกรรมของบุคคลหรือการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การโดยมุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับคนเป็นหลักและเน้นเรื่องคุณภาพของคนมากกว่าเรื่องงาน
4.3.1 ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow’s Motivation Theory) โดย Abraham Maslow นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation Theory) มีสาระสำคัญ คือ
1) มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด
2) มนุษย์พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ตนเองได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ
3) ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์มี 5 ลำดับขั้น และมนุษย์จะมีความต้องการจากระดับต่ำไปสู่ความต้องการที่ระดับสูงกว่า
ความต้องการของมนุษย์มี 5 ลำดับขั้น
ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกายภาพ (physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้ำดื่ม การพักผ่อน เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (security needs) คือความต้องการที่จะให้ชีวิตมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการความมั่นคงในชีวิตและการงาน
ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (social needs/love and belonging needs) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการให้และได้รับซึ่งความรัก และต้องการได้รับการยอมรับ
ขั้นที่ 4 ความต้องการการยอมรับนับถือ (self-esteem needs) เป็นความต้องการที่จะนับถือตนเองและได้รับการยกย่องในสังคม
ขั้นที่ 5 ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต (self actualization needs) เป็นความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนเองจะเป็นได้
4.3.2 ทฤษฎีสองปัจจัย (Two-Factor Theory)
1) ปัจจัยจูงใจ (motivation factors) เป็นปัจจัยภายในหรือความต้องการภายในของผู้ปฏิบัติงานประกอบด้วยปัจจัย 10 ด้าน คือ
นโยบายและการบริหารขององค์การ (company policy and administration)
2.การบังคับบัญชาและการควบคุมดูแล (supervision)
3.ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน (interpersonal relations with supervision)
4.ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (interpersonal relations with peers)
5.ความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา (interpersonal relations with subordinators)
6.ตำแหน่งงาน (status)
7.ความมั่นคงในการทำงาน (job security)
8.ชีวิตส่วนตัว (personal life)
9.สภาพการทำงาน (working conditions)
10.ค่าตอบแทนและสวัสดิการ (compensations and welfares)
2)ปัจจัยอนามัย (hygiene factors) เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นที่ต้องได้รับการสนองตอบปัจจัยอนามัยประกอบด้วยปัจจัย 5 ด้าน คือ
ความสำเร็จในการทำงาน (achievement)
การได้รับการยอมรับ (recognition)
3.ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (advancement)
ลักษณะงานที่ทำ (work itself)
5.ความรับผิดชอบ (responsibility)
สำหรับความสัมพันธ์ของความพึงพอใจที่เกิดจากแรงจูงใจตามองค์ประกอบของทฤษฎี 2 ปัจจัย อธิบายได้ว่าเมื่อใดปัจจัยจูงใจลดลงต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นอย่างมาก ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานก็จะลดต่ำไปด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าปัจจัยอนามัยลดต่ำลงกว่าระดับที่ควรจะเป็นหรือขาดไป ก็จะทำให้บุคลากรเกิดความไม่พอใจในการปฏิบัติงาน รู้สึกเบื่อหน่าย ท้อถอย และหมดกำลังใจในการทำงาน
4.4 ทฤษฎีการบริหารยุคการจัดการร่วมสมัย (Contemporary Management Era)
ทฤษฎีการบริหารยุคการจัดการร่วมสมัย ประกอบด้วยแนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ ทฤษฎีระบบ และทฤษฏีการบริหารเชิงสถานการณ์
4.4.1 ทฤษฎีระบบ (System Theory) พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยบุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาทฤษฎีระบบคือ Ludwig von Bertalanffy คำว่า “ระบบ” ในเชิงบริหาร จึงหมายถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันและมีส่วนกระทบต่อปัจจัยระหว่างกันในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ซึ่งองค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีระบบ มี 4 ประการ ได้แก่
1.สิ่งนำเข้า (input)
2.กระบวนการจัดการ (process)
3.ผลผลิตหรือผลลัพธ์ (output)
4.ข้อมูลย้อนกลับหรือการป้อนกลับของข้อมูล (feedback)
องค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีระบบ มีดังนี้
1) สิ่งนำเข้า (input) หมายถึง ทรัพยากรที่นำมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการจัดการ เช่น เงิน คน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร วิธีการทำงาน เป็นต้น
2) กระบวนการจัดการ (process) หมายถึงกระบวนการนำสิ่งนำเข้ามาใช้ในการจัดการ เช่น การวางแผน
3) ผลผลิตหรือผลลัพธ์ (output) หมายถึง ผลลัพธ์โดยตรงที่เป็นผลจากกระบวนการจัดการ ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน ความพึงพอใจของผู้รับบริการ เป็นต้น
4) ข้อมูลย้อนกลับหรือการป้อนกลับของข้อมูล (feedback) เป็นการนำข้อมูลจากผลผลิตหรือผลลัพธ์ย้อนกลับไปยังสิ่งนำเข้าเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการบริหารอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ คำว่า “ประสิทธิผล (effectiveness) หมายถึง ผลผลิตหรือผลการดำเนินงานขององค์การที่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ” ส่วนคำว่า “ประสิทธิภาพ (efficiency) หมายถึง ผลผลิตหรือผลการดำเนินงานขององค์การที่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ โดยใช้ทรัพยากรที่เป็นสิ่งนำเข้าอย่างประหยัด คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด”
4.4.2 ทฤษฏีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory) เป็นทฤษฎีที่ใช้หลักการจัดการที่ว่าองค์การเป็นระบบเปิด
ซึ่งมีสาระสำคัญของการบริหารเชิงสถานการณ์ ดังนี้
1) การบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
2) ผู้บริหารจะต้องสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด
3) สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจและรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม
4) เป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิด และยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
5) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงาน โดยใช้ปัจจัยด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย
6) การออกแบบองค์การต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
7) ผู้บริหารต้องรู้จักการพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน