Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของหญิงตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของหญิงตั้งครรภ์
ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular System )
ปริมาณเลือดและเม็ดเลือด
ปริมาตรของพลาสมา (Blood volume) จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ตั้งแต่อายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์ และเพิ่มขึ้นสูงสุดร้อยละ 40-50 เมื่ออายุครรภ์ 32-34 สัปดาห์
ปริมาตรของเม็ดเลือดแดง ( Red blood cell volume) เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นประมาณ 250-450 มิลลิลิตร มีค่า Hemoglobin และ Hematocrit ลดลง เรียกสภาวะนี้ว่า Physiological anemia of pregnancy
หัวใจ (Heart)
ตำแหน่ง เลื่อนตัวขึ้นบน และเอียงไปทางซ้ายประมาณ 15 องศา พบขนาดของหัวใจโตขึ้น และพบ ventricular mass โตขึ้นจากขนาดปกติประมาณร้อยละ 30-50
cardiac out put เพิ่มขึ้นตั้งแต่อายุครรภ์ 5 สัปดาห์ท่านอนหงาย cardiac out put จะลดลงกว่าท่านอนตะแคงอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์เป็นลมหน้ามืดได้เรียกว่า supine hypotensionsyndrome
Heart sound อัตราการเต้นของหัวใจในหญิงตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้น 10-15 ครั้ง/นาที
ความต้องการธาตุเหล็ก
หญิงตั้งครรภ์ต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น
ระบบทางเดินอาหาร(Digestive system)
หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส
การเพิ่มของระดับฮอร์โมน Estrogen และ HCG และระดับคอร์ติโซลมีผลทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนพบเมื่อตั้งครรภ์ประมาณ 2 เดือน
อิทธิพลของฮอร์โมน Progesterone ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวทำให้อาหารผ่านเคลื่อนผ่านกระเพาะช้าลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อหูรูดลดลง cardiac sphincter หย่อนตัวทำให้อาหารและกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร หญิงตั้งครรภ์จึงมีอาการปวดแสบยอดอก (heart burn)
ปากและช่องปาก (mouth and oral cavity)
จากอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogenทำให้เลือดมาเลี้ยงช่องปากและเหงือกมากขึ้นทำให้หญิงตั้งครรภ์มีเหงือกบวมนุ่มดูคล้ายก้อนเนื้องอก
3 ถุงน้ำดี
ระหว่างตั้งครรภ์ถุงน้ำดีจะโป่งพองขึ้น มีความตึงตัวลดลง โดยพองตัวและน้ำดีข้นขึ้น ทำให้น้ำดีไหลช้าเกิดการคั่งทำให้พบนิ่วในถุงน้ำดีได้บ่อย
ระบบสืบพันธุ์(Reproductive system)
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและช่องคลอด (vulva and vagina) ขณะตั้งครรภ์ช่องคลอดมีเลือดมาเลี้ยงเพิ่ม เนื้อเยื่อมีความนุ่มและยืดหยุ่น มีความต้องการทางเพศและมีความรู้สึกถึงจุดสุดยอดทางเพศเพิ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์ ผิวหนังช่องคลอดเปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีม่วง เรียกว่า Chadwick’s sign และมีความเป็นกรด
ปากมดลูก (cervix) เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 4 สัปดาห์เลือดมาเลี้ยงที่บริเวณปากมดลูกมากขึ้นและเพิ่มจำนวนเซลล์ เมื่อเข้าสู่ระยะคลอดมูกจะหลุดออกมาพร้อมมีเลือดปนเรียกว่า “ Bloody show ”
มดลูก
ขนาดจะใหญ่ขึ้นด้วยอิทธิพลของ estrogen และ Progesterone
การหดรัดตัวของมดลูก ( Contractility ) ในไตรมาสที่สองหญิงตั้งครรภ์จะรับรู้ถึงการหดรัดตัวของมดลูก เรียกการหดรัดตัวนี้ว่า Braxton Hicks contraction พบตลอดการตั้งครรภ์
การไหลเวียนโลหิตของมดลูก ( Uterine blood flow) การที่มดลูกขยายเพิ่มขึ้นจะทำให้มีการไหลเวียนของมดลูกเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
รังไข่ (ovaries) ขณะตั้งครรภ์ไม่มีการตกไข่เนื่องจากปริมาณฮอร์โมน estrogen และ Progesterone ยับยั้งการหลั่ง FSH และ LH
เต้านม ขณะตั้งครรภ์เต้านมจะมีการเปลี่ยนและทั้งขนาดและรูปร่าง Hormone estrogen จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของท่อน้ำนม (Mammary ductal tissue) Hormone progesterone จะทำให้ต่อมน้ำนม (Aveolae) ที่รวมตัวกันเป็น Lobe มีขนาดใหญ่ขึ้น
ระบบขับถ่ายปัสสาวะ(Urinary system)
กระเพาะปัสสาวะตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะค่อนมาด้านหน้าและสูงกว่าเดิม ความจุกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ไตและท่อไต ไตจะมีขนาดโตขึ้นและท่อไตขยายใหญ่ขึ้น ท่อไตจะยาวและ ขดงอมากกว่าเดิมไตจะทำงานเพิ่มขึ้น จำนวนปัสสาวะเพิ่มขึ้น ความถ่วงจำเพาะลดลง และอาจพบ Glycosuria, Proteinuria และ Hematuria เกิดขึ้นได้
ระบบหายใจ(Respiratory system)
มดลูกที่ใหญ่ขึ้น ดันกระบังลม subcostal angle กว้างออกและเส้น
รอบวงของทรวงอกเพิ่มขึ้นประมาณ 6 เซ็นติเมตร อาจทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกหายใจลำบาก (dyspnea)
Estrogen ท าให้เส้นเลือดฝอยในทางเดินหายใจมีเลือดคั่ง (vascular congestion)
Progesterone ท าให้กล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมฝอยคลายตัว และมีการคลายตัวของ กล้ามเนื้อและกระดูกอ่อนในทรวงอก
ระบบต่อมไร้ท่อ(Endocrine system)
ต่อมใต้สมอง
Anterior Pituitary gland หลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin ) เพิ่มมากขึ้นเพื่อเตรียมเต้านมในการผลิตน้ำนม ช่วยให้มีพัฒนาการของเต้านม
Posterior Pituitary gland หลั่ง oxytocin เพื่อกระตุ้นให้มีการหลั่งของน้ำนมในระยะหลังคลอด นอกจากนี้oxytocin ยังกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกเมื่อเข้าสู่ระยะคลอด
ต่อมธัยรอยด์ มีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ (hyperplasia) และมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น ทำให้ต่อมธัยรอยด์โตได้ Estrogen จะกระตุ้นให้มีการเพิ่มขึ้นของ Total thyroxine (T4) เป็น 2 เท่า และ HCG จะทำให้มีการผลิต T4 (Thyroxine) เพิ่มขึ้น
ต่อมพาราธัยรอยด์(Parathyroid gland) ลดลงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ จะกลับสู่ปกติเมื่อเข้าสู่ระยะท้ายของการตั้งครรภ์
ตับอ่อน (Pancrease) ในระยะแรกของการตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงของระดับกลูโคส และมีการแกว่งของฮอร์โมนอินสุลิน โดยกลูโคสจะลดลงร้อยละ10-20 ท าให้เกิดระดับน้ าตาลในเลือดต่ าได้(hypogycemia) ในช่วงระหว่างมื้ออาหารและช่วงกลางคืน
6 ฮอร์โมนจากรก
Human chorionic gonadotropin ( hCG ) สร้างขึ้นในระยะแรกของการตั้งครรภ์จากเนื้อเยื่อของ Trophoblastic cells ของตัวอ่อน
Estrogen Hormone ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ Estrogen ผลิตโดย Corpus luteum หลังจากนั้นรกจะหลั่ง Estrogen ไปจนตลอดการตั้งครรภ์
Progesterone Hormone ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ Progesterone ผลิตโดย Corpus luteum หลังจากนั้นรกจะหลั่ง Progesterone ไปจนตลอดการตั้งครรภ์ เป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญที่สุดขณะตั้งครรภ์
5 ต่อมหมวกไต
ฮอร์โมน Aldosterone ท าหน้าที่ควบคุมความสมดุลย์ของน้ำและโซเดียมที่บริเวณท่อไตส่วนปลาย (distal Tubule)
ฮอร์โมน Cortisol จะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน
การเปลี่ยนแปลงในการเผาผลาญอาหาร น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ความต้องการน้ำเพิ่มขึ้น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตในขณะตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เพราะร่างกายมีความต้องการอินสุลินเพิ่มขึ้น
ระบบผิวหนัง(Skin system)
การสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น (hyperpigmentation) เพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของ Melanocyte stimulating (Melanotropin) ทำให้บริเวณที่มีเม็ดสีมากมีสีคล้ำขึ้น (Linea nigra)
เส้นเลือดที่ผิวหนัง (vascular spiders)ขนาดเล็กสีแดงเป็นจุดบริเวณ ใบหน้า ลำคอ หน้าอก หรือแขน เนื่องจากมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณชั้น subcutaneousที่เกิดจากผลของฮอร์โมน estrogen ที่เพิ่มขึ้น vascular spiders มักพบร่วม กับการมีฝ่ามือแดง (palmar erythema) ที่เกิดขึ้นในครั้งแรกของการตั้งครรภ์และจะหายไปภายหลังคลอด 1 สัปดาห์
อัตราการเจริญเติบโตของเส้นผมลดลง ท าให้รู้สึกว่าผมบางลง จะกลับสู่ภาวะปกติภายใน 6-12 เดือนหลังคลอดขณะที่ต่อมเหงื่อและไขมันทำงานมากขึ้น ทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกว่าเหงื่อออกง่ายและมีสิว
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ(Musculoskeletal system)
ข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ กระดูกและกระดูกอ่อน กล้ามเนื้อของอุ้งเชิงกรานหญิงตั้งครรภ์เดินลำบากคล้ายเดินกระโพลกกระเพลก เมื่อมดลูกโตขึ้นจะดึงรั้ง round ligament ที่ยึดมดลูกกับช่องเชิงกราน ทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกเจ็บแปล๊บเมื่อขยับตัวรวดเร็ว
กล้ามเนื้อหน้าท้อง rectus muscle มีการยืดขยายเพื่อรองรับขนาดมดลูกที่โตและโย้ไปข้างหน้าจนเกิดการแยกของกล้ามเนื้อ (Diastasis recti) โดยเฉพาะผู้ที่มดลูกมีขนาดใหญ่มาก
กระดูกสันหลัง ขนาดมดลูกที่โตขึ้นทำให้จุดศูนย์ถ่วงเลื่อนมาข้างหน้า เพื่อรักษาสมดุลของการทรงตัวกระดูกสันหลังมีการโค้งงอ ( Lordosis ) หลังจึงแอ่นยื่นมาข้างหน้า ก้นโค้งงอนมากขึ้น