Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดและทฤษฎีการพยาบาล (Nursing concepts and theory) - Coggle Diagram
แนวคิดและทฤษฎีการพยาบาล (Nursing concepts and theory)
ทฤษฎีการพยาบาล TTM (Transtheoretical Model)
ประวัติความเป็นมา
ผู้คิดค้น Jame O.
Prochaska,Ph.D.
Carlo diClemente,Ph.D.
ทฤษฎีการพยาบาลเป็นโมเดลที่อธิบายความตั้งใจหรือความพร้อมของบุคคลที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
ความสมดุลและการตัดสินใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การที่บุคคลประเมินสมดุลระหว่างผลดีและผลเสีย ที่จะได้รับการปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมาย
การรับรู้สมรรถนะแห่งตน (self-efficacy)
เป็นความเชื่อมั่นที่บุคคลมีต่อตนเอง มีความสามารถที่จะปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมายได้สำเร็จ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
(Metaparadigm)
Relapse เป็นขั้นตอนที่อาจจะเกิดหรือไม่เกิดก็ได้
Preparation คนไข้เริ่มวางแผนการปรับเปลี่ยน เริ่มตั้งเป้าหมาย
Pre-contemplation คนไข้ยังไม่พร้อมในการปรับเปลี่ยน
Contemplation คนไข้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและคิดว่าน่าจะปรับเปลี่ยนได้
Action คนไข้เริ่มปฏิบัติตามแผน
Maintenance คนไข้สามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
บุคคลแสวงหาภาวการณ์ของชีวิตที่สร้างสรรค์ด้านสุขภาพของตน
บุคคลตระหนักรู้ในตนเอง
บุคคลให้คุณค่าแก่การเจริญเติบโต
บุคคลแสวงหาการควบคุมพฤติกรรมตนเอง
บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
บุคคลาการด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
การริเริ่มต้นด้วยตนเองในการสร้างแบบแผนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
ขั้นเตรียมการ
การรับรู้วิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพ
ขั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การประเมินตนเองการเปรียบเทียบผลดีและผลเสียของพฤติกรรม
ขั้นพฤติกรรมคงที่
การควบคุมสิ่งเร้า
การให้เสริมแรง
การส่งเสริมความมั่นใจในความสามารถของตนเอง
ขั้นปฏิบัติการ
การหาแรงสนับสนุนทางสังคม
ขั้นก่อนมีความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การปลูกจิตสำนึก
การประเมินพฤติกรรม
ทฤษฎีการพยาบาลไนติงเกล
(Nightingale’ s Environment Theory)
ประวัติความเป็นมา
ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาชีพพยาบาล ซึ่งถึอว่าเป็นการพยาบาลแนวใหม่ (modern nursing)
เริ่มชีวิตการเป็นพยาบาลที่ไคซ์เวิร์ธ ประเทศเยอรมันนีในปี ค.ศ. 1851
มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยและทหารบาดเจ็บในสงครามไครเมีย
ให้ความสำคัญต่อสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพและความเจ็บป่วยเป็นอย่างมาก
เป็นผู้นำคนแรกของการพยาบาล
มีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยโดยการจัดการในเรื่องความสะอาด ใช้ผ้าพันแผลที่สะอาด ดูแลเตียงให้สะอาดและอาหารที่สดทำให้สุขภาพทหารดีขึ้น
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
เน้นสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การพยาบาลจะเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย เพื่อให้ธรรมชาติได้มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยหายไวขึ้น
ทฤษฎีการพยาบาลของไนติงเกลสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้โดยการประยุกต์ใช้ตามแนวคิดกระบวนการพยาบาลที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ขั้นประเมินสภาพ
การประเมินสุขภาพอนามัยของบุคคล สังเกตสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยทั้งด้านกายภาพ จิตใจ สังคม หรือผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพความเจ็บป่วยของบุคคล
2.การวินิจฉัยทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูล การสังเกตสิ่งแวดล้อมและบุคคลจะทำให้สามารถมองเห็นความต้องการของผู้ป่วย
การวางแผนการพยาบาล จุดมุ่งหมายหลักในการจัดการกับสิ่งแวดล้อมทั้งทางกายภาพ จิตใจ และสังคม ซึ่งจะช่วยบรรเทาทุกข์และหายจากโรค
การปฏิบัติการพยาบาลเป็นการจัดการกับสิ่งแวดล้อมและร่วมมือกับแพทย์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ป่วย
การประเมินผลการพยาบาล จะเป็นการประเมินสภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในด้านผู้ป่วยสภาพแวดล้อมและการพยาบาล
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
เน้นสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การพยาบาลจะเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย เพื่อให้ธรรมชาติได้มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น
ระยะก่อนชั่งใจ(pre-contemplation)
ระยะเตรียมการ(preparation)
ระยะชั่งใจ(contemplation)
ระยะปฏิบัติการหรือเปลี่ยนแปลง(action)
ระยะการทำกิจกรรมคงที่(maintenance)
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
บุคคล (Person)
อธิบายบุคคลในความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและผลของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อบุคคล บุคคลจึงเป็นผู้มีศักยภาพหรือมีพลังในตนเองที่จะฟื้นหายจากโรคหรือซ่อมแซมสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วยและสามารถฟื้นคืนสภาพได้ดี ถ้ามีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย
ภาวะสุขภาพ (Health)
สุขภาพจะผูกพันอยู่กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสุขภาพ หมายถึง การปราศจากโรคและการใช้พลังอำนาจของบุคคลในการใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สิ่งแวดล้อม (Environment)
เป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎี เพราะไนติงเกลกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมไว้ค่อนข้างชัดเจน โดยสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย การระบายอากาศ แสงสว่างที่เพียงพอ ความสะอาด ความอบอุ่น การควบคุมเสียง การกำจัดขยะมูลฝอยและกลิ่นต่างๆ อาหารและน้ำที่สะอาด
รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยทั้งด้วยคำพูดและภาษากาย คำพูดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย
การพยาบาล (Nursing)
เป็นการจัดสิ่งเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการหายด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด ด้วยความเชื่อที่ว่า สิ่งแวดล้อมย่อมมีอิทธิพลต่อสุขภาพ และการพยาบาลมุ่งเน้นที่บุคคลต้องการมีกระบวนการซ่อมแซมของร่างกาย
การให้ยา การทำแผล การทำอาหาร
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
มุ่งไปที่บุคคลที่ประสบภาวะเจ็บป่วยหรือเป็นโรค
ส่งเสริมสนับสนุนให้กระบวนการหายจากโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
การวางแผนการพยาบาลจัดการกับสิ่งแวดล้อม ทางกาย จิตใจและสังคม
ทฤษฎีการพยาบาลรอย
(Roy's Adaptation Theory)
ประวัติความเป็นมา
รอยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเม้าเซ็นต์ แมรี่ รัฐลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
สำเร็จปริญญาโททางการพยาบาลกุมารเวชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1966
ศึกษาต่อด้านสังคมศาสตร์จนจบปริญญาโทและปริญญาเอกในปี ค.ศ. 1975 และ 1977
รอยได้เริ่มพัฒนาแบบจำลองการปรับตัวในขณะที่กำลังศึกษาระดัลปริญญาโทปี ค.ศ. 1964
โดยมีความเชื่อว่าบุคคลเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต จะมีการปรับตัวได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิ่งที่มากระทบ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
บุคคล (Person)
คนหรือมนุษย์ที่เป็นผู้รับบริการ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยชีวะ จิต สังคม (Biopsychosocial) และมีระบบการปรับตัวเป็นองค์รวม
มีลักษณะเป็นระบบเปิด ที่มีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ภาวะสุขภาพ (Health)
สภาวะและกระบวนการที่ทำให้บุคคลมีความมั่นคงสมบูรณ์ ภาวะสุขภาพเป็นผลจากการมีปฎิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นการมีสุขภาพดี หมายถึง การที่บุคคลมีการปรับตัวได้ดี ส่วนการเจ็บป่วยจึงเป็นผลจากการปรับตัวไม่ดี
การที่บุคคลจะมีการปรับตัวได้ดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ ระดับความรุนแรงของสิ่งเร้า กับ ระดับความสามารถในการปรับตัวของบุคคล
การพยาบาล (Nursing)
เป็นการช่วยเหลือที่ให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และการพยาบาล มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีการปรับตัวที่เหมาะสมของบุคคลและการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นสาเหตุเพื่อบรรลุซึ่งการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต
สิ่งแวดล้อม (Environment)
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวบุคคลทั้งภายในและภายนอกมีผลกระทบต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของบุคคล
ซึ่งรอยได้เรียกสิ่งแวดล้อมว่าเป็นสิ่งเร้า มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ
สิ่งเร้าตรง
เป็นทุกสภาวะที่อยู่รอบตัวบุคคลและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและพฤติกรรม
สิ่งเร้าร่วม
สิ่งเร้าที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น คุณลักษณะทางพันธุกรรม เพศ
สิ่งเร้าแฝง
สิ่งเร้าที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตซึ่งเกี่ยวกับทัศนคติ อุปนิสัยและบุคลิกภาพเดิม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
ทฤษฎีระบบการปรับตัวของบุคคล (Theory of humans as Adaptive systems) มีคนเป็นระบบเปิดมีหน่วยย่อยทำงานประสานอย่างเป็นระบบทำให้สามารถปรับตัวได้ดีเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีรูปแบบการปรับตัวของบุคคล (Theory of Adaptive Model) กลไกการควบคุมและกลไกรับรู้ทำงานควบคู่กัน เพื่อคงไว้ซึ่งความครบถ้วนสมบูรณ์ในการปรับตัวของบุคคล ผลของการทำงานร่วมกันจะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมการปรับตัวทั้ง 4 ด้าน คือ
1.การปรับตัวด้านร่างกาย (Physiological Mode)
การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self - concept Mode)
การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ (Role function mode)
การปรับตัวด้านการพึ่งพาระหว่างกัน (Interdependence)
ทฤษฎีการปฏิบัติพยาบาล (Nursing Practice Theory) รอยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้ โดยการประยุกต์ใช้ตามแนวคิดกระบวนการพยาบาลที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ขั้นประเมินเป็นต้นไป
ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 การประเมินพฤติกรรม (Assessment of Behavior)
ขั้นที่ 2 การประเมินสิ่งเร้า (Assessment of Stimuli)
ขั้นที่ 3 การวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis)
ขั้นที่ 4 การกำหนดเป้าหมายการพยาบาล (Goal Setting)
ขั้นที่ 5 การให้การพยาบาล (Intervention)
ขั้นที่ 6 การประเมิลผล (Evaluation)
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี (Assumptions)
ปรับตัวเพื่อเอาชนะสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาเพื่อถ่วงดุลสิ่งที่ตนเองยังขาดปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาเมื่อไม่สามารถเอาชนะได้จึงปรับตนเองให้สอดคล้องตามสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
การนำทฤษฎีการปรับตัวของรอยไปประยุกต์ใช้ทางการพยาบาลโดยดำเนินตามขั้นตอน ทั้ง 6 ขั้นตอน ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ช่วยให้ลักษณะของวิชาชีพพยาบาลและทิศทางของการปฏิบัติการพยาบาล จุดมุ่งหมายและกิจกรรมการพยาบาลที่เหมาะสมที่สุดและท้ายที่สุด ทฤษฎีการปรับตัวของรอยเห็นถึงคุณค่าของผู้ป่วย
ทฤษฎีการพยาบาลโอเร็ม
(Orem ’s self care Theory
) :
ประวัติความเป็นมา
เป็นทฤษฎีที่รู้จักกันแพร่หลายในวิชาชีพการพยาบาล มีการนำแนวคิดนี้ไปใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติการพยาบาล การวิจัยการพยาบาล และการพัฒนาหลักสูตรในสถาบันการศึกษา
พัฒนาโดย Dorothea E.Orem ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ซึ่งโอเรมเริ่มการทำงานในวิชาชีพการพยาบาลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1971 ได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่แนวความคิดโดยมีชื่อว่า Nursing : Concept of Practice และมีการพัฒนาเผยแพร่ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1980 , 1985, 1991
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรการพยาบาลให้มีขอบเขตและเนื้อหาทางการพยาบาลเด่นชัดขึ้น
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
บุคคล (Person)
เป็นผู้ที่มีความสามารถในการกระทำอย่างจงใจ (deliberate action) มีความสามารถในการเรียนรู้ วางแผนจัดระเบียบปฏิบัติกิจกรรมเกี่ยวกับตนเองได้ และบุคคลมีลักษณะเป็นองค์รวมทำหน้าที่ทั้งด้านชีวภาพ ด้านสังคม ด้านการแปลและให้ความหมายต่อสัญลักษณ์ต่างๆ
ภาวะสุขภาพ (Health)
เป็นภาวะที่มีความสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ผู้ที่มีสุขภาพดี คือ คนที่มีโครงสร้างที่สมบูรณ์สามารถทำหน้าที่ของตนได้ ซึ่งการทำหน้าที่นั้นเป็นการผสมผสานกันของทางสรีระ จิตใจสัมพันธภาพระหว่างบุคคล และด้านสังคมโดยไม่สามารถแยกจากกันได้ และการที่จะมีสุขภาพดีนั้นบุคคลจะต้องมีการดูแลตนเองในระดับที่เพียงพอและต่อเนื่องจนมีผลทำให้เกิดภาวะสุขภาพดี
การพยาบาล (Nursing)
เป็นบริการการช่วยเหลือบุคคลอื่นให้สามารถดูแลตนเองได้อย่างต่อเนื่องและเพียงพอกับความต้องการในการดูแลตนเอง ซึ่งเป้าหมายการพยาบาลคือช่วยให้บุคคลตอบสนองต่อความต้องการการดูแลตนเองในระดับที่เพียงพอและต่อเนื่อง และช่วยเพิ่มความสามารถในการดูแลตนเอง
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เคมี ชีวภาพ และด้านสังคมวัฒนธรรม โอเรมเชื่อว่าคนกับเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้โอเรมยังกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมในแง่ของพัฒนาการ คือสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยจูงใจบุคคล ให้ตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมและปรับพฤติกรรมเพื่อให้ได้ผลตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ การจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จะมีส่วนในการพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเอง
ทฤษฎีย่อย 3 ทฤษฎี คือ
ทฤษฎีการดูแลตนเอง (The Theory of Self - care)
1.1 การดูแลตนเอง (Self - care : SC)
1.2 ความสามารถในการดูแลตนเอง (Self - care agency : SCA)
1.3 ความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด (Therapeutic Self - care Demand : TSCD)
1.4 ปัจจัยพื้นฐาน (Basic Conditioning Factors : BCFs)
ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเอง (The Theory of Self – care Deficit)
2.1 ความต้องการที่สมดุล (Demand is equal to abilities : TSCD = SCA)
2.2 ความต้องการน้อยกว่าความสามารถ (Demand is less than abilities : TSCD < SCA)
2.3 ความต้องการมากกว่าความสามารถ (Demand is greater than abilities : TSCD > SCA)
ทฤษฎีระบบการพยาบาล (The Theory of Nursing System)
3.1 ระบบทดแทนทั้งหมด (Wholly compensatory nursing system)
3.2 ระบบทดแทนบางส่วน (Partly compensatory nursing system )
3.3 ระบบการพยาบาลแบบสนับสนุนและให้ความรู้ (Educative supportive nursing System)
แนวคิดทฤษฎีของโอเรมมี 6 มโนทัศน์หลัก
ความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด (Therapeutic self-care demand)
การดูแลตนเอง (self-care)
ความสามารถในการดูแลตนเอง (self-care agency)
ปัจจัยเงื่อนไขพื้นฐาน (basic conditioning factors)
ความพร่องในการดูแลตนเอง (self-care deficit)
ความสามารถทางการพยาบาล (nursing agency)
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
เน้นที่บุคคลคือ ความสามารถของบุคคลที่จะต้องสนองต่อความต้องการในการดูแลตนเอง
ให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ถูกต้อง
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
ขั้นที่ 1 ขั้นวินิจฉัยและการพรรณา
(Diagnosis and Prescription)
ระบุถึงความพร่องในการดูแลตนเองรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการดูแลตนเอง
ขั้นที่ 2 วางแผน
(Design and Plan)
จากการที่เรารู้ความพร่องแล้วเลือกพยาบาลที่เหมาะสม กำหนดเป้าหมายแล้วจัดการพยาบาลที่เหมาะสม
ขั้นที่ 3 การปฏิบัติการพยาบาลและควมคุม
(Regulate and control)
เป็นการนำแผนที่วางไว้มารวมกันทั้งมีการประเมิณ เพื่อประเมิณสภาพครั้งถัดไป
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
บุคคลเป็นผู้ที่มีความสามารถและเต็มใจจะดูแลตนเองหรือผู้ที่อยู่ในความปกครองของตนเอง
การดูแลตนเองเป็นกิจกรรมที่เรียนรู้และจดจำไว้ได้จากสังคม สิ่งแวดล้อมและการติดต่อสื่อสาร
การศึกษาและวัฒนธรรม มีอิทธิพลต่อบุคคล
ผู้ป่วย คนชรา คนพิการ และทารก ต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลจากบุคคลอื่น เพื่อที่จะให้กลับมารับผิดชอบดูแลตนเองได้
บุคคล เป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
ทฤษฎีการพยาบาลคิง
(King's theory of goal attainment)
ประวัติความเป็นมา
พยาบาลชาวอเมริกัน
สร้างโดย IMogene M.King
ปี ค.ศ. 1917 เสนอ "มโนทัศน์ระบบปฏิสัมพันธ์" (The Interacting System Framework)
พัฒนามโนทัศน์เป็นทฤษฎีการบรรลุเป้าหมาย เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1981
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
(Metaparadigm)
ภาวะสุขภาพ (Health)
ภาวะเจ็บป่วย
เป็นภาวะที่มีการเบี่ยงเบนของโครงสร้างร่างกายหรือจิตใจ
เป็นภาวะที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับสัมพันธภาพของบุคคลในสังคม
ภาวะสุขภาพ
ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทสังคม
บุคคล (Person)
มีความสามารถที่จะกระทำสิ่งต่างๆ (Action-oriented being)
ทุกคนมีความนึกคิด มีความรู้สึกเป็นของต้นเอง
ทุกคนมีเกตุผลของตนเอง
บุคคลเป็นผู้มีการรับรู้
มีความสามารถที่จะแสดงการตอบโต้ (React) ตามการรับรู้ของตน
บุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
มีความสามารถที่จะวางเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
การพยาบาล (Nursing)
เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของ พยาบาลและผู้ใช้บริการ
มีการตั้งเป้าหมายและกำหนดจุดมุ่งหมายของความสำเร็จร่วมกัน
การช่วยบุคคลและกลุ่มคนให้ฟื้นคืนสภาพดำรงไว้ซึ่งภาวะสุขภาพดี
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมภายใน
สิ่งแวดล้อมภายนอก
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
การประเมินสภาพ
สร้างสัมพันธ์ภาพกับผู้รับบริการ
แลกเปลี่ยนการรับรู้ระหว่างกัน
การปฏิบัติการพยาบาล
พยาบาลปฏิบัติตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน
ผู้รับบริการปฏิบัติตามเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกัน
การวางแผนทางการพยาบาล
ร่วมกันกำหนดเป้าหมายร่วมกับผู้รับบริการ
แสวงหาวิธีปฏิบัติ
ตกลงยอมรับวิธีปฏิบัติร่วมกัน
การประเมินผล
หากอุปสรรคต่อการปฏิบัติจะช่วยกันหาวิธีขจัดอุปสรรคขึ้น
พยาบาลและผู้รับบริการร่วมกันประเมินผลการปฏิบัติว่าสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดร่วมกันหรือไม่
เคสที่2 ผู้ป่วยใหม่มีอาชีพรับราชการมีตำแหน่งระดับสูงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแต่ผลการบำบัดรักษายังไม่เป็นที่พอใจ เนื่องจากผู้ป่วยไม่ร่วมมือในการรักษา
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล : มีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าและไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นเนื่องจากต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
ระบบของบุคคล (Personal system)
การรับรู้ (Perception)
อัตตาตัวตน (Self)
ภาพลักษณ์ (Body image)
เวลา ( Time)
อาณาบริเวณ (Space)
การเจริญเติบโตและพัฒนาการ (Growth and development)
ระบบระหว่างบุคคล (Interpersonal system)
บทบาท (Role)
การบรรลุเป้าหมายของการปฏิสัมพันธ์ (Transaction)
ความเครียด (Stress)
การมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
การติดต่อสื่อสาร (Communication)
ระบบสังคม (Social system)
ระบบสังคมทั่วไป
ระบบบริการสุขภาพ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้ใช้บริการ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
เน้นการบรรลุเป้าหมายของการปฏิสัมพันธ์มี 7 ประการ
การตอบสนองของผู้รับบริการต่อสิ่งรบกวน
สิ่งรบกวนหรือปัญหาที่ทำให้ผู้รับบริการต้องมาโรงพยาบาล
การตั้งเป้าหมายและกำหนดจุดมุ่งหมายที่เป็นไปได้ร่วมกันของพยาบาลและผู้รับบริการ
การค้นหาแนวทางปฏิบัติ
การตกลงร่วมกันถึงวิธีปฏิบัติและยอมรับในวิธีการปฏิบัติ
การบรรลุเป้าหมาย
เน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การรับรู้ สัมพันธระหว่างบุคคล สังคมและการเจ็บป่วย
ทฤษฎีการพยาบาลวัตสัน
(Watson’s Caring Theory)
ประวัติความเป็นมา
เป็นทั้งปรัชญาและทฤษฏีทางการพยาบาล ที่มีจุดเน้นที่การดูแล (Caring) ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1979
ภายใต้อิทธิพลทางด้านมานุษยวิทยา รวมทั้งความรู้สึกผูกพันต่อบทบาทการดูแลเพื่อการฟื้นหายของผู้ป่วย
ศาสตร์การดูแลมนุษย์ (Human Caring Science) และมีการจัดตั้งศูนย์การดูแลมนุษย์ (Human science caring center) ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด
มีลักษณะเป็นมูลนิธิที่มุ่งเน้นการพัฒนาทฤษฎีการดูแล การปฏิบัติการพยาบาล การวิจัย บนปรัชญาการดูแลมนุษย์
สร้างโดย ดร. จีน วัตสัน (Jean Watson)
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
(Metaparadigm)
บุคคล (Person)
ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณเป็นแก่นตัวตน (Self) ของบุคคล เป็นแหล่งที่เกิดความตะหนักในตนเอง
ภาวะสุขภาพ (Health)
ภาวะที่มีดุลภาพระหว่างร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ
สุขภาพสามารถปรับตัวในการทำกิจวัตรประจำวันได้
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการรับรู้และพัฒนาการของบุคคล
ค่านิยมของสังคมเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้การดูแลเกิดขึ้น
การพยาบาล (Nursing)
เป็นกระบวนการดูแลที่เข้าถึงจิตใจและความรู้สึกของบุคคล (Transpersonal Caring)
ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การเยียวยาการเจ็บป่วย
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
การดูแลที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล
ตัวตน/สนามปรากฏการณ์/การดูแลที่เกิดขึ้นจริง
ปัจจัยการดูแล
พอใจที่จะช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล
เป็นตัวแทนผู้ป่วยติดต่อกับแพทย์ เช่นการถามในสิ่งที่คนไข้ฝากถาม
สร้างความหวังและความศรัทธา
พูดปลอบ ให้กำลังใจ เมื่อรู้สึกหมดหวัง ท้อแท้
การสร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือและการไว้วางใจ
สนใจสอบถามอาการอยู่เสมอ ฟังผู้ป่วยระบายและไม่นำเรื่องที่ฟังไปเล่าต่อ
การใช้วิธีแก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ
เลือกวิธีการพยาบาลให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
การส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าถึงจิตใจผู้อื่น
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นการรักษาการพยาบาล
การยอมรับความรู้สึกทางบวกและทางลบ
ยอมรับการแสดงออกของผู้ป่วยได้ทุกเรื่อง
สร้างความไวต่อความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น
รับรู้และเข้าใจอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
สร้างค่านิยมเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่นและมีเมตตา
ทักทายผู้ป่วยด้วยคำสุภาพ ให้เกียรติและเอาใจใส่
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
ขั้นประเมินผล
ต้องมีจุดหมายเป็นเกณฑ์วัดตัดสินว่าบรรลุจุดมุ่งหมายจากน้อยเพียงใด
ขั้นปฏิบัติการพยาบาล
พยาบาลต้องปฏิบัติตามแผนโดยมีปัจจัยการดูแล 10 ประการเชื่อม
ขั้นวางแผนการพยาบาล
โดยวางแผนร่วมกับผู้ป่วยตกลงจุดมุ่งหมายร่วมกัน
ขั้นวินิจฉัยทางการพยาบาล
ได้จากการรับรู้ข้อมูลจากผู้ป่วยเป็นการเขียนปัญหาที่เกิดขึ้น
ขั้นประเมินสภาพ
ประเมินสภาพร่างกายและตรวจทางห้องทดลองในการประเมินความต้องการจะประเมินตามทัศนะของผู้ป่วย
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
การดูแลและความรักเป็นพลังสากล
มนุษย์ต้องการความรักและการดูแลซึ่งกันและกัน
ก่อนจะดูแลผู้อื่นพยาบาลต้องดูแลตนเองด้วยความสุภาพอ่อนโยน
การพยาบาลต้องยึดถือการดูแลความเป็นมนุษย์
การดูแลเชิงมนุษย์นิยม
รักศักดิ์ศรีของตนเอง
การอนุรักษ์และการศึกษาเรื่องการดูแลมนุษย์
ค่านิยมเกี่ยวกับการดูแลของพยาบาล
ทฤษฎีการพยาบาลเพนเดอร์
(Pender ' s Health Promotion Theory)
ประวัติความเป็นมา
กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดจนการปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
เป็นทฤษฎีที่ได้รับการพัฒนาจากทฤษฎีสังคมและมีการศึกษาวิจัยเป็นระบบ
พัฒนาแบบจำลองสุขภาพ เน้นการป้องกันและคงไว้
ส่งเสริมการออกกำลังกาย สร้างแบบแผนการดำเนินชีวิตและมองคนอย่างเป็นองค์รวม
ดร. โนลา เจ เพนเดอร์ (Pender,Nola J.) เกิดเมื่อปี 1941
ปี 1975 ตีพิมพ์เรื่อง A conceptual model for preventing health behavior)
ปี 1982 ตีพิมพ์หนังสือ Health Promotion in Nursing Practice
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี (Assumptions)
การริเริ่มจากตนเองสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อม
บุคคลแสวงหาภาระของชีวิตที่สร้างสรรค์
ริเริ่มจากตนเอง สร้างแบบแผน ความสัมพันธ์ บุคคลกับสิ่งแวดล้อม
ให้คุณค่าการเจริญเติบโตในทางบวก
บุคคลแสวงหาการควบคุมพฤติกรรมของคน
บุคคลประกอบด้วยกาย จิต สังคม มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
บุคลาการด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ (Major concept)
ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม
รับรู้ประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
รับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ
รับรู้ความสามารถในการปฏิบัติ
ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล
ปัจจัยส่วนบุคคล
เพศ
อายุ
ลักษณะรูปร่าง
สภาวะวัยรุ่น
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
พฤติกรรมผลลัพธ์
ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติ
ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่น
พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
ภาวะสุขภาพ (Health)
ระดับสูงของบุคคลในทิศทางบวก
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
สิ่งแวดล้อมระหว่างบุคคลและเศรษฐกิจ
การพยาบาล (Nursing)
เป็นบทบาทสำคัญ
บทบาทในบริบทของการสร้างเสริมสุขภาพ
บุคคล (Person)
มีลักษณะแตกต่างกัน
เป็นแกนหลักของการปฏิบัติพฤติกรรม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
ประเมินแบบแผนสุขภาพ
สร้างเสริมให้ตนเองปลอดภัยจากสิ่งต่างๆ
เอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
แสวงหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ทบทวนความเชื่อด้านสุขภาพ
ประเมินด้านความพร้อมร่างกาย
คงไว้ซึ่งความสมดุลของร่างกาย
การเคลื่อนไหวที่ใช้พลังงาน
การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ประเมินด้านอาหาร
ครบ 5 หมู่
เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย
มีคุณค่าด้านโภชนาการ
ประเมินพฤติกรรมเสี่ยง
ทบทวนความเครียดในชีวิต
ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ช่วยให้ตนเองผ่อนคลายความเครียด
แสดงออกทางอารมณ์ที่่หมาะสม
ทบทวนระบบสนับสนุนทางสังคม
ประเมินสุขภาพจิตวิญญาณ
ตระหนักในความสำคัญของชีวิต
กำหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิต
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม (Transcultural Nursing)
ประวัติความเป็นมา
แนวคิดทฤษฎีการดูแลสุขภาพด้านวัฒนธรรมของไลน์นินเจอร์
เป็นแนวทางหนึ่งในการพยาบาลการดูแลสุขภาพวัฒนธรรม
เป็นแนวคิดร่วมสมัยที่จะสะท้อนถึงการให้การพยาบาลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางที่จะสะท้อนถึงการให้การพยาบาล โดยยึดพิจารณาถึงชีวิต ความเชื่อ ความเข้าใจ ภาษา ตลอดจนความแตกต่างในมิติทางขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมของผู้ป่วยครอบครัว และชุมชนร่วมด้วย
เมดาลิน เอ็ม ไลน์นินเจอร์ (Madeleine M. Leininger) เป็นพยาบาลวิชาชีพ ได้รับปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาสังคม วัฒนธรรมจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) เสนอแนวคิดการดูแลทางวัฒนธนนม (Cultural Care)
นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม พบว่า ในแต่ละวัฒนธรรม ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในด้านการรับรู้เกี่ยวกับการดูแล ความรู้เกี่ยวกับการดูแลและการปฏิบัติเพื่อการดูแลที่แตกต่าง ก็ยังมีการดูแลบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกันจนมีการพัฒนา เป็นทฤษฎีการดูแลเชิงวัฒนธรรมที่หลากหลายและเป็นสากล (The theory of cultural care diversity and universality) มีการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
เสริมสร้างความปรารถนาที่จะมีสมรรถนะทางวัฒนธรรม โดยใช้วิธีสร้างแรงจูงใจ
สร้างความสามารถให้เผชิญและจัดการ
ตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลาย
ฝึกให้พยาบาลมีทักษะเกี่ยวกับวัฒนธรรมให้เกิดการรับรู้และเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง
ประเมินข้อมูล ดูวิถีชีวิตแนวคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคล
ปฏิบัติการพยาบาล การดูแล ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับวัฒนธรรม
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
สร้างความเข้าใจคนอื่นและตนเองเป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยข้ามวัฒนธรรม
พยาบาลและผู้ป่วยเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันทำให้เกิดผลบวกในการอยู่ร่วมกัน
การให้บริการสุขภาพได้สมบูรณ์ที่ตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับวัฒนธรรม
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
(Metaparadigm)
สิ่งแวดล้อม (Environment)
โครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้บุคคลมีความแตกต่างกันและเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสภาวะสุขภาพและการดูแลสุขภาพ รวมทั้งมีมุมมองของบุคคลต่อโลกรอบตัว
บุคคล (Person)
มีความเป็นสากลในทุกวัฒนธรรม แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของค่านิยม รูปแบบการแสดงออก วิถีชีวิตของแต่ละวัฒนธรรม รวมทั้งมีมุมกล้องของบุคคลต่อโลกรอบตัว
ภาวะสุขภาพ (Health)
ระบบการดูแลพื้นบ้าน (Folk/indigenous or naturalistic lay care system)
ระบบการดูแลสุขภาพเชิงวิชาชีพ (Professional health care system)
การดูแลทั้ง 2 ระบบใหญ่ๆ นี้จะช่วยในการดูแลบุคคลให้มีสุขภาพดี เป็นที่พึงพอใจและสอดคล้องกัน
การพยาบาล (Nursing)
เป็นการช่วยเหลือดูแลบุคคลโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของวัฒนธรรม ซึ่งมีความหลากหลายและเป็นสากล
การสงวนและดำรงไว้ซึ่งการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการคงไว้ซึ่งการดูแลตามวัฒนธรรมที่เป็นอยู่
การจัดหาและการต่อรองเพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการปรับการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่
การวางรูปแบบและโครงสร้างใหม่เพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการเปลี่ยนรูปแบบการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ (Cultural care Repatterning)
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
การดูแล (Care)
วัฒนธรรม (Culture)
การดูแลเชิงวัฒนธรรม (Culture care)
ความหลากหลายของการดูแลเชิงวัฒนธรรม (Culture care diversity)
ความเป็นสากลของการดูแลเชิงวัฒนธรรม (Culture care universality)
การพยาบาล (Nursing)
โลกทัศน์หรือทัศนะ (Worldview)
มิติของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม (Cultural and social structure dimensions)
ระบบการดูแลพื้นบ้าน (Generic/folk care system)
บริบทของสิ่งแวดล้อม (Environmental contex)
แนวคิดการพยาบาลแบบเอื้ออาทร (Watson' s theory)
ประวัติความเป็นมา
วัตสันได้อธิบายว่า "ความรักอันยิ่งใหญ่" (cosmic love)
ผู้ให้การพยาบาลต้อง "ให้การพยาบาลด้วยความรัก" (Caritas nursing)
เน้นการดูแลอันเป็นคุณธรรมที่ดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ให้ความสำคัญทั้งร่างกายและจิตใจ อย่างไม่แยกออกจากกัน
ความรู้สึกตระหนักถึงการดูแลว่าได้เกิดขึ้นและส่งให้เกิดความรัก ความเข้าใจผู้อื่น วัตสันเรียกว่า "Caring occasion"
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ (Major concept)
ปัจจัยการดูแล 10 ประการ
การปฏิบัติด้วยความรักและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
สร้างความศรัทธาและความหวัง
สร้างความไวต่อความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น
สร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือและการไว้วางใจ
ยอมรับความรู้สึกทางบวกและทางลบ
ใช้วิธีการแก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ เพื่อการตัดสินใจ
ส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าถึงใจผู้อื่น
ประคับประคอง สนับสนุน และแก้ไขสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ จิตสังคม และจิตวิญญาณ
พึงพอใจที่จะช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลอื่น
ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น-พลังที่มีอยู่
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
การพยาบาล (Nursing)
เป็นการปฏิบัติการส่งเสริมสุขภาพ
การป้องกันการเจ็บป่วย
การฟื้นฟูสภาพ
บุคคล (Person)
คนที่มีคุณค่าในตัวเองและสมควรได้รับการนับถือ
ความเป็นองค์รวมที่ประกอบขึ้นด้วยการหลอมรวม
ร่างกาย
จิตใจ
สังคม
ภาวะสุขภาพ (Health)
การมีสุขภาพที่ดี คือ ภาวะที่เกิดดุลยภาพ
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะสุขภาพ คือ ความเครียด
สิ่งแวดล้อม (Environment)
เป็นตัวกำหนดค่านิยม
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี (Assumptions)
การพยาบาลคือ ศิลปะและสุนทรียศาสตร์ (Art & Aesthetic)
พยาบาลคือ ศาสตร์แห่งการดูแลมนุษย์ (Human caring science)
เป้าหมายของการดูแลคือ การช่วยเหลือบุคคลให้ค้นพบภาวะดุลยภาพ (Harmony)
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
การใช้ในระดับพื้นฐาน
คือ การใช้เพื่อชี้นำการปฏิบัติการพยาบาลเพื่อดูแล
การใช้เพื่อการปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง
การนำรูปแบบการดูแลที่เข้าถึงจิตใจกันระหว่างสองคน
แนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวม (Holistic Care)
ประวัติความเป็นมา
ไนติงเกลมีจุดประสงค์ของการพยาบาลคือ การทำให้บุคคลมีสุขภาพที่ดีอยู่ในธรรมชาติ
โอเร็มมีจุดประสงค์เพื่อเน้นการดูแลตนเองเพื่อดำรงภาวะสุขภาพที่ดีและพาสุข
โรเกอร์มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้บุคคลมีศักยภาพและความสุขสูงสุด
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
(Major concept)
ตระหนักถึงความเป็นองค์รวมของบุคคล
การให้ข้อมูลและความรู้แก่ผู้รับบริการ
การเสริมสร้างพลังอำนาจให้ผู้รับบริการและครอบครัว
สนับสนุนกระบวนการฟื้นหายของผู็ป่วยหรือผู้ใช้บริการอย่างเอื้ออาทร
การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้วิธีพื้นบ้านที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ
สร้างสภาพแวดล้อมต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้บริการ
สร้างสัมพันธภาพเชิงบำบัดกับผู้รับบริการ
การเสริมสร้างพลังอำนาจให้ผู็รับบริการและครอบครัว
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
(Assumptions)
การส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก
ทางเลือกอื่นในการดูแลสุขภาพ
การดูแลคนไม่ใช่โรค
สหวิชาทำงานร่วมกัน
การดูแลอย่างต่อเนื่อง
การสนับสนุนการดูแลตนเอง
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
(Metaparadigm)
มนุษย์ (Human Being) เป็นองค์รวมประกอบด้วยร่างกายจิตใจและจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นแก่นตัวตนของบุคคล เป็นแหล่งที่เกิดความตระหนักในตนเอง ความรู้สึกสำนึกขั้นสูงและเป็นพลังภายในซึ่งมนุษย์จะมีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มนุษย์เป็นผู้มีคุณค่าในตนเองและสมควรได้รับการดูแลได้รับการนับถือได้รับความเข้าใจและช่วยเหลือ
สิ่งแวดล้อมหรือสังคม (Environment or Society) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพสังคมวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องสิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้และการพัฒนาของบุคคลที่อยู่ในการดูแลซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล ค่านิยมของสังคมเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมในการดูแลเกิดขึ้น
สุขภาพ (Health) เป็นภาวะที่มีดุลยภาพและมีความกลมกลืนระหว่างร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณหรือมีความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างตัวตนตามที่รับรู้และตัวตนตามที่ประสบจริง
การพยาบาล (Nursing) เป็นกระบวนการที่เข้าถึงจิตใจและความรู้สึกของบุคคล (Transpersonal Caring) ในการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรค การเยียวยาการเจ็บป่วยและการฟื้นฟูสุขภาพซึ่งมีเป้าหมาย เพื่อช่วยให้บุคคลเพิ่มดุลยภาพในตนเอง เกิดความรู้จักตนเอง เคารพนับถือตนเอง ดูแลเยียวยาตนเอง เกิดความประจักษ์รู้ในความหมายของ สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
เคารพในความเป็นบุคคล
รักษาความลับ ไม่เปิดเผยความลับผู้ป่วย
ลดความเครียด วิตกกังวล ความโศกเศร้าให้โอกาสผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก
ยอมรับความเชื่อหรือการนับถือศาสนา
เคารพและยอมรับในวัฒนธรรมที่แตกต่าง
แนวคิดการพยาบาลแบบต่อเนื่อง (Continuing Care)
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี (Assumptions)
มีเป้าหมายหลักเพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลที่สอดคล้องกับสภาวะสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
มีการวางแผนการดูแลร่วมกับทีมสุขภาพ
พัฒนาศักยภาพในการดูแลตนเองของผู้รับบริการ
เป็นบทบาทอิสระของพยาบาลในการให้ความรู้และการสื่อสารที่เหมาะสม
ประวัติความเป็นมา
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Disease : NCDs)
เป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ภาวะทุพพลภาพหรือความพิการ
อุบัติเหตุ (Accidents)
บนท้องถนน
จากอาชีพหรือการทำงาน
เป็นสาเหตุของความพิการ หรือการเสียชีวิต
สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)
เป็นวัยที่ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย และเกิดโรคต่างๆ
เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเตรียมการเพื่อรับมือทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นๆไปใช้ในการพยาบาล
สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคหรือความเจ็บป่วยในระดับชุมชน
เป็นกลยุทธ์สัคำญที่ช่วยลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนอนโรงพยาบาล
เป็นกลไกสำคัญในการลดช่องว่างรอยต่อระหว่างการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ (Major concept)
ระบบการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
จำนวนเตียงในโรงพยาบาลมีจำกัด
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการนอนโรงพยาบาล
แนวคิดการดูแลต่อเนื่อง (ที่บ้าน)
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี (Metaparadigm)
ปรับจากการดูแลสุขภาพในระดับบุคคล
เป็นการดูแลแบบบูรณาการ การเข้าถึงประชาชนและเน้นการป้องกันมากขึ้น
กระบวนการดุแลและผลลัพธ์การดูแลรักษาที่มีคุณภาพจะเกิดขึ้นได้
ต้องเป็นการดูแลที่ต่อเนื่อง
เน้นการให้บริการเชิงรุก
ป้องกันไม่ให้โรคพัฒนารุนแรงมากขึ้น
ให้ผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการดูแลรักษา
สนับสนุนให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการจัดการภาวะสุขภาพตนเอง
สถานบริการให้การดูแลรักษาอย่างเป็นระบบ
มีการเชื่อมโยงโดยทีมสหสาขาวิชาชีพในการให้การดูแลต่อเนื่อง