Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การสื่อสารและการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และวัยรุ่นที่เจ็บป่วย, นางสาวดวงฤทัย…
การสื่อสารและการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก และวัยรุ่นที่เจ็บป่วย
องค์ประกอบกระบวนการการสื่อสาร
ผู้ส่งสารหรือข้อมูล
สื่อที่ใช้ในการส่งข้อมูล
ช่องทางกลไกการส่ง-รับข้อมูลตาม ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผู้รับข้อมูล
การแปลความหมายข้อมูล
การตอบสนอง
การให้ข้อมูลย้อนกลับ ทางบวกและทางลบ
ขั้นตอนการสื่อสารกับผู้ป่วยเด็ก
1) การสร้างสัมพันธภาพ การทักทาย เพื่อสร้างความคุ้นเคย
และแจ้งวัตถุประสงค์ และเวลาจะใช้
2) การให้ข้อมูลในมุมมองที่เป็นบวกเสมอ หลีกเลี่ยงการขู่เข็ญ บังคับ
3) เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ซักถาม
หรือการปฏิบัติย้อนกลับ และทบทวน
4) สรุปสาระสำคัญและให้กำลังใจผู้ป่วยและครอบครัว
การสื่อสารกับผู้ป่วยเด็ก
👶🏼วัยทารก (อายุ 0-1 ปี)
ไม่สามารถใช้คำพูดได้ บอกความต้องการโดยแสดงออกทางพฤติกรรม
การร้องไห้ หัวเราะ หรือใช้ส่งเสียง
👨🏼วัยเด็กตอนต้น (1-6 ปี)
ยึดตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง
มองเฉพาะจากความคิดของตนเอง
การสื่อสาร รูปแบบช่องทางของข้อมูลต้องตรงไปตรงมาและเป็นรูปธรรม
ไม่เข้าใจเรื่องนามธรรม และการเปรียบเทียบ
แยกความจริงจากจินตนาการไม่ได้และยังไม่เข้าใจในกติกาหรือการอยู่
ร่วมกับผู้อื่นที่ไม่คุ้นเคย
👩🏼วัยเรียน (6ปีขึ้นไป-12ปี)
กลัวสิ่งที่กำลังเผชิญ
รู้เหตุผล และคำอธิบายง่าย ๆได้
สนใจร่างกายของตนเอง
ไวต่อความรู้สึกการสูญเสียหรือความเจ็บปวด
เข้าใจภาษาค่อนข้างดีและทราบถึงกติกาการอยู่ในสังคม
👩🏽👨🏾🦱 วัยรุ่น (13-19ปี)
ความคิดและพฤติกรรมอยู่ระหว่างความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่
เด็กอาจจะไม่พร้อมในการปรับตัวหรือแก้ปัญหาบางอย่าง เมื่อเด็กเกิด ความเครียด เด็กจะหาความมั่นคง ทางจิตใจเช่นเดียวกับที่เคยทำในวัยเด็กเล็ก ➡ ∗ พฤติกรรมถดถอย
Ex․ไม่ยอมทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองทั้งที่เคยทำได้
พยาบาลจะต้องมีความสม่ำเสมอ แสดงถึงความจริงใจ ยอมรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของเด็ก ความโกรธ
การเป็นปรปักษ์ โวยวาย ไม่ร่วมมือ
พยาบาลควรให้เวลาในการปรับตัวและกระตุ้นให้เด็กแสดงศักยภาพของตนเอง
วัยรุ่นอาจเลือกบุคคลที่เขารู้สึกว่าสนใจ จริงใจและยอมรับพฤติกรรม เคารพในความคิดเห็น ความเป็นส่วน ตัวและการรักษาความลับของเขา
ถ้าวัยรุ่นแสดงท่าทีปฏิเสธการพูดคุยหรือตอบคำถาม พยาบาลควรพูดคุยหัวข้ออื่นกับเด็กก่อน เพื่อให้เด็ก ผ่อนคลายและรู้สึกวางใจมากขึ้น จึงกลับมาสนทนาหัวข้อที่ต้องการสื่อสาร เมื่อเด็กมีความพร้อม
ประเภทการสื่อสารที่ใช้บ่อย ทางการแพทย์
1) การให้ความรู้หรือการแนะนำโดยตรง (Direct guidance)
ไม่ต้องใช้ทักษะหรือเทคนิคมาก ประหยัดเวลา สามารถทำ เป็นรายกลุ่มได้
Ex․การให้สุขศึกษา การจัดกิจกรรมที่สอดแทรกความรู้
2) การแนะนำล่วงหน้า (Anticipatory guidance)
ข้อมูลที่มุ่งให้ผู้รับบริการได้ประโยชน์ในอนาคตใน เชิงเฝ้าระวัง ติดตาม ป้องกัน
Ex․พัฒนาการของเด็กที่จะมีต่อไปในอนาคต
3) การให้การปรึกษา (Counseling)
การส่งข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร
ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากและสื่อสารแบบรายบุคคลหรือ เฉพาะครอบครัวเท่านั้น ไม่สามารถจัดรวมเป็นกลุ่มได้
ทักษะพื้นฐานในการสื่อสาร
1) การสังเกต การเงียบ และการใช้ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า แววตา
2) การตั้งคำถามซึ่งช่วยกระตุ้นความสนใจ ของผู้ป่วยและครอบครัวได้
3) การทวนซ้ำและสรุปความหรือประเด็นสำคัญ
4) การให้กำลังใจ เสริมพลังทางบวก ความหวัง
5) การให้ข้อมูลที่สอดคล้อง เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
6) การสะท้อนความรู้สึกของผู้รับบริการเพื่อแสดงให้เห็นว่าพยาบาล เข้าใจและเห็นใจในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยและครอบครัวกำลังเผชิญ
การสื่อสารเรื่องการสูญเสีย หรือความตาย
เด็กจะเริ่มเข้าใจตรงตามความเป็นจริงตั้งแต่อายุ 10 ปี
ขึ้นไป
การสื่อสารถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในกรณีเด็กป่วย
รุนแรงจึงมี ความจำเพาะและต้องใช้รูปแบบการสื่อสาร
แบบให้การปรึกษา เท่านั้น
การจัดการเล่นสำหรับเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (Providing play for hospitalized children)
การเล่นคืองานของเด็ก
การสะท้อนถึงความเข้าใจในกิจกรรมตามพัฒนาการของเด็กได้อย่างดี
การส่งเสริมพัฒนาการในทุกด้านของเด็ก
ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก
1․ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์
2․พัฒนาความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับผู้อื่น
3․ส่งเสริมการสร้างมิตรภาพ สัมพันธภาพ และทักษะการเข้าสังคม
4․พัฒนาการเรียนรู้ และเข้าใจตนเอง
5․ช่วยระบายอารมณ์ และบรรเทาความตึงเครียด
6․ฝึกความอดทน การควบคุมพฤติกรรม และการแสดงความรู้สึก
ประเภทของวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมให้เด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
🎧🎯⚽ 1)เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางอารมณ์
แบบกระตุ้นการสัมผัส ⇒ การกอดรัดสัมผัส การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
Ex․ การเล่นจ๊ะเอ๋ การแขวนโมบายให้เด็กมอง การร้องเพลง
แบบเลอะเทอะ (Messy Play) Ex․ การเล่นดินน้ำมัน หรือเล่นแป้งโดปั้นเป็นรูปต่าง ๆ
แบบเน้นการเคลื่อนไหว (Active play) Ex․ การโยน การตอก การตี การฉีกกระดาษ
การขับขี่รถพลาสติก การเล่นมุดลอด และการเล่นกระดานลื่น
แบบฝึกการใช้ความประณีต (Crafts) ⇒ ไม่มีการแข่งขัน ไม่ต้องใช้พลังงานมาก
Ex․ เกมปริศนารูปต่อ (Puzzles) ⇒ จิ๊กซอว์ ปริศนาอักษรไขว์ ต่อเลโก้ ต่อบล็อกไม้
การทำสิ่งประดิษฐ์ การเล่นเกมทายปัญหาอะไรเอ่ย
แบบการท่องเที่ยว (Picnic) ⇒ กรณีเจ็บป่วยเรื้อรังนานเพื่อให้เด็กมีโอกาสไปท่องเที่ยว
ในที่ต่างๆให้ได้รับความสนุกสนาน ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนไม่แตกต่างจากคนอื่น อาจทำใน
โอกาสพิเศษต่างๆ Ex․ วันปีใหม่ วันเด็ก วันลอยกระทง การทำบุญตักบาตร
แบบส่งเสริมการฟังและอารมณ์ Ex․ การฟังหรือเล่นเครื่องดนตรีสำหรับเด็ก
แบบใช้สัตว์เลี้ยงส่งเสริมการปรับตัวและพฤติกรรม ⇒ สัตว์เล็กช่วยให้เด็กรู้สึกสนุกไม่ถูก
คุกคาม และมีความเพลิดเพลินกับกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์
Ex․ เด็กช่วยให้อาหารปลา ⚠ หากเด็กมีภูมิคุ้มกันไม่ดีไม่ควรเลือกวิธีนี้ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยง ทางสุขภาพเพิ่ม
นางสาวดวงฤทัย ใจบุญ
รหัสนักศึกษา 6203400086
หน้า 1