Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบกล้ามเนื้อ ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบกระดูก - Coggle Diagram
ระบบกล้ามเนื้อ ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบกระดูก
ระบบกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อ (Muscle) เป็นเนื้อเยื่อที่หดตัวได้ในร่างกาย เปลี่ยนแปลงมาจากเมโซเดิร์ม (mesoderm) ของชั้นเนื้อเยื่อในตัวอ่อน และเป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) และกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle)
กล้ามเนื้อทำหน้าที่หดตัวเพื่อให้เกิดแรงและทำให้เกิดการเคลื่อนที่ (motion) รวมถึงการเคลื่อนที่และการหดตัวของอวัยวะภายใน กล้ามเนื้อจำนวนมากหดตัวได้นอกอำนาจจิตใจ และจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การบีบตัวของหัวใจ หรือการบีบรูด (peristalsis) ทำให้เกิดการผลักดันอาหารเข้าไปภายในทางเดินอาหาร การหดตัวของกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจมีประโยชน์ในการเคลื่อนที่ของร่างกาย และสามารถควบคุมการหดตัวได้ เช่นการกลอกตา หรือการหดตัวของกล้ามเนื้อควอดริเซ็บ (quadriceps muscle) ที่ต้นขา
หน้าที่สำคัญของกล้ามเนื้อ
คงรูปร่างท่าทางของร่างกาย (Maintain Body Posture)
ยึดข้อต่อไว้ด้วยกัน (Stabilize Joints)
ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว (Provide Movement) โดยการเปลี่ยนพลังงานที่ได้จากสารอาหารมาเป็นพลังงานกล(Mechanical Energy)
หรือพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย(Maintain Body Temperature) โดยผลิตความร้อนออกมาตามที่ร่างกายต้องการ
กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle)
พบได้ที่อวัยวะภายในของร่างกาย และเป็นกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่ตลอด กล้ามเนื้อแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า กล้ามเนื้อนอกอำนาจจิตใจ (Involuntary Muscle) เพราะเราไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อชนิดนี้ได้ สมองและร่างกายขจะสั่งให้กล้ามเนื้อเรียบทำงานด้วยตัวของมันเอง เช่น ในกระเพาะ (Stomach) และระบบการย่อยอาหาร (Digestive System) กล้ามเนื้อเหล่านี้จะหดตัวแน่นขึ้นและขยายตัวออก เพื่อให้อาหารเดินทางไปตามระบบย่อยอาหารส่วนอื่นๆของร่างกายได้
กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle)
กล้ามเนื้อที่ประกอบขึ้นเป็นหัวใจมีชื่อเรียกว่ากล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อชนิดนี้เป็นกล้ามเนื้อนอกอำนาจจิตใจเหมือนกับกล้าม เนื้อเรียบ ทำให้เกิดการเต้นของหัวใจ (Heart Beat) อยู่ตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัว (Contract) เพื่อดันเลือดส่งออกไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และคลายตัว (Relax) เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้ามาสู่หัวใจหลังจากที่ไหลวนไปสู่ส่วนอื่นๆของร่างกายแล้ว
กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle)
กล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อภายใต้อำนาจจิตใจ (Voluntary Muscle) ชนิดเดียวในร่างกาย กล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อชนิดนี้ได้ กล้ามเนื้อลายจะห่อหุ้มโครงกระดูกของเราไว้ และทั้งสองอย่างจะทำงานร่วมกัน ทำให้ร่างกายสามารถทำงาน กล้ามเนื้อลายมีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย จึงทำงานได้หลากหลายรูปแบบ
กลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย
เส้นเยื่อไมโอไฟบริล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย ประกอบด้วยเส้นที่ประกอบด้วยโปรตีน (Protein filament) 2 ชนิด คือ
1.เส้นหนาประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียกว่าเส้นใยไมโอซิน (Myosin filament)
2.เส้นบางประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียบว่าเส้นใยแอ็คทิน (Actin filament)
เส้นใยทั้ง 2 เส้น ซึ่งมีจำนวนมากมายนี้ จะรวมตัวกันเป็นหน่วยเรียกว่า ซาร์โคเมีย (Sarcomere) และเส้นใยทั้ง 2 เส้น ซึ่งมีจำนวนมากมายในแต่ละซาร์โคเมีย จะทำให้กล้ามเนื้อลายมีลักษณะเป็นลายมืดและลายสว่างสลับกันไป
ชนิดของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย
ในสมัยก่อนนักกายวิภาคและสรีรวิทยาได้จำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายออกเป็น 2 ชนิด คือ เส้นใยกล้ามเนื้อสีแดง และเส้นใยกล้ามเนื้อสีขาว การที่เส้นใยกล้ามเนื้อลายถูกจำแนกเป็นสีแดง และสีขาว เนื่องจากการสังเกตสีที่ประกอบเป็นส่วนใหญ่ของเส้นใยกล้ามเนื้อลายในการจำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายประเภทนี้ เส้นใยกล้ามเนื้อลายสีแดง ถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวช้า (Slow twitch fiber) หรือที่เรียกย่อว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสที (ST fiber) เส้นใยกล้ามเนื้อลายชนิดสีแดง เป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่เหมาะสมกับการทำงานระยะยาว ซึ่งมักจะพบมากในกล้ามเนื้อลายที่ช่วยในการทรงรูปร่าง และกล้ามเนื้อลายที่มีหน้าที่ต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ส่วนเส้นใยกล้ามเนื้อลายสีขาวถูกพิจารณาว่าเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวเร็ว (Fast twitch fiber) หรือเรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟที (Ft fiber) เส้นใยสีขาวมักจะพบมากในกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เกี่ยวการงอ
ในปัจจุบันการจำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลาย จึงได้เปลี่ยนแปลงไปจากระบบเก่า ซึ่งจำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายตามสีเป็นการจำแนกออกตามลักษณะการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย มีการค้นพบว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายสีขาว ซึ่งเป็นเส้นใยกล้ามเนื้อลายที่หดตัวเร็ว ยังสามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ชนิด ซึ่งเส้นใยกล้ามเนื้อสีขาวทั้ง 2 ชนิด มีความแตกต่างกันในด้านการทำงานทางแง่สรีรวิทยา
ปีเตอร์ และคณะ (Peter et al., 1972) ได้จำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายตามลักษณะการทำงานให้เห็นได้ชัดเจน 3 ชนิด คือ
เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวช้าและต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหดตัว (Slow, Oxidative fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสโอ (SO Fiber)
เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้ออกซิเจนตลอดจนกลูโคสช่วยในการหดตัว (Fast, Oxidative, Glycolytic fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟโอจี (FOG fiber)
เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้กลูโคสช่วยในการหดตัวเพียงชนิดเดียว (Fast glycolytic fiber) หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟจี (FG fiber)
ระบบห่อหุ้มร่างกาย
ประกอบด้วยผิวหนัง เล็บ ขน และผม โดยแต่ละอวัยวะมีโครงสร้างและความสำคัญ ดังนี้
1.ผิวหนัง
ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) คือ ผิวหนังชั้นนอก มีลักษณะบางมาก จะมีเซลล์อยู่เป็นชั้นๆส่วนของเซลล์ด่านล่างจะทำหน้าที่สร้างเซลล์ใหม่ตลอดเวลา โดยจะดันเซลล์เก่าออกมาเซลล์ด้านนอกจะค่อยๆแห้งตาย และหลุดออกมาเป็นขี้ไคล (Keratin) ความหน้าของหนังกำพร้าในแต่ละส่วนของร่างกายจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับตำแหน่งและหน้าที่ ส่วนที่บางที่สุดอยู่ที่บริเวณหนังตาและหนังหู ส่วนที่หนาที่สุดอยู่ที่ฝ่ามือ ซึ้งผิวหนังของแต่ละคนจะมีสีแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเซลล์สร้างเมล็ดสีที่เรียกว่าเมลานิน (Melanin) ที่อยู่ชั้นลึกสุดของผิวหนังกำพร้าถ้ามีเมลานินมากผิวก็จะคล้ำ ถ้ามีน้อยก็จะขาว
2.ชั้นหนังแท้ (dermis)คือ ผิวหนังที่อยู่ถัดจากผิวหนังกำพร้าเข้าไปประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่สำคัญได้แก่หลอดเลือดฝอยเส้นประสาท ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน และขอนหรือผม ในชั้นหนังแท้มีหลอดเลือดฝอยเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำหน้าที่นำเลือดมาหล่อเลี้ยงผิวหนังมีเส้นประสาทรับความรูสึกต่างๆการกระจัดกระจายมีทั่วไป นอกจากนี้ยังมีต่อมเหงื่อที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนออกจากร่างกาย มีต่อมไขมันที่พบได้ในผิวหนังเกือบทั้งหมดที่มีขน
หน้าที่ของผิวหนัง มีดังนี้
ป้องกันร่างกาย ผิวหนังสามารถป้องกันร่างกายในเรื่องต่อไปนี้
ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายในร่างกาย โดยทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้อวัยวะภายในร่างกายได้รับอันตรายจากการถูกกระทบกระเทือนจาก สารเคมี สารพิษ เชื้อโรค และรังสีเนื่องจากผิวหนังมีคุณสมบัติยืดหยุ่น หนา และเหนียว ช่วยลดแรงกระแทก ลดการดูดซึมของสารเคมี
ป้องกันเชื้อโรค ผิวหนังมีสารที่ช่วยทำลายจุลินทรีย์ได้บางส่วน จึงลดจำนวนเชื้อโรคลงได้ การห่อหุ้มร่างกายก็เป็นเสมือนเกราะไม่ให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายนอกจากนี้ไขมันที่ถูกผลิตโดยชั้นผิวหนังมีสภาพเป็นกรดช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย
ป้องกันการระเหยและการซึมน้ำ เพราะหนังกำพร้ามีสารเคราติน (keratin) ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำได้ จึงทำให้เราสามารถว่ายน้ำได้เป็นเวลานานๆ
ป้องกันแสงต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย เช่น แสงแดด เวลาถูกแสงแดดเซลล์ของหนังกำพร้าที่มีเม็ดสีเมลานิน (melanin) จะดูดแสงแดดเอาไว้ และกระตุ้นให้เกิดเม็ดสีเมลานินมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดทะลุเข้าไปทำลายเซลล์ผิวหนัง
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระบบปกติโดยผ่านการทำงานของการหดหรือขยายตัวของหลอดเลือดที่ผิวหนังและการทำงานของต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายได้รับความร้อนเส้นเลือดจะขยายตัวเพื่อให้เลือดไหลสู่พื้นผิวมากขึ้น และในทางตรงข้ามเส้นเลือดจะหดตัวเมื่ออากาศเย็นเพื่อรักษาความร้อนให้คงอยู่ในร่างกาย ส่วนต่อมเหงื่อที่มีอยู่ในบริเวณชั้นผิวหนังต่างๆ ของร่างกายจะผลิตเหงื่อออกมา ความร้อนก็จะละเหยไปกับเหงื่อทำให้รู้สึกเย็นลง
รักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย โดยต่อมไขมันจะผลิตน้ำมาเลี้ยงผิวหนังในชั้นของหนังกำพร้าทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่นเต่งตึง ไม่แห้งกร้าน เหงื่อที่ถูกขับออกมามีส่วนช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง นอกจากนี้ผิวหนังยังป้องกันไม่ให้น้ำจากภายนอกซึมเข้าไปในร่างกายและไม่ให้น้ำภายในละเหยออกไปง่ายๆ
ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายในรูปแบบของเหงื่อ เช่น ยูเรีย ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่ภายในร่างกายไม่ต้องการ
เป็นแหล่งสร้างวิตามินดีให้กับร่างกาย โดยอาศัยแสงแดดช่วยสังเคราะห์สาร 7 –ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล (7-dehydrocholesterol) ที่อยู่ในผิวหนังให้เป็นวิตามินดีสามได้ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกอ่อน
เป็นอวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ โดยมีประสาทรับรู้ความรู้สึกหลายชนิดและจำนวนมากอยู่ในบริเวณหนังแท้ เช่น ความรู้สึกร้อน เย็นหรือความรู้สึกเจ็บปวด
ความผิดปกติของผิวหนัง
ความผิดปกติของผิวหนังอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากโรคภัยไข้เจ็บ จากอุบัติเหตุต่างๆ ตลอดจนการทำงานของต่อมภายในร่างกายที่ผิดปกติ ซึ่งความผิดปกติที่พบบ่อยได้แก่
สิว (acne) เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศในช่วงวัยรุ่น ส่งผลให้ต่อมไขมันขับไขมันออกมามาก เมื่อไขมันแข็งตัวอุดตันต่อมไขมันและรูขนก็จะทำให้เกิด สิวเสี้ยน และถ้าถูกไขมันขับออกมาใหม่ดันจนนูนขึ้นจะเป็น หัวสิว ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียคุกคามเข้าไปยังต่อมไขมันละรูขนที่เป็นสิวนั้นจะเกิดการอักเสบ บวมแดง และเป็นหนอง ซึ่งบางคนเรียกสิงชนิดนี้ว่า สิวหัวช้าง นอกจากนี้ สิวยังอาจเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ที่อยู่ในต่อมไขมันใต้ผิวหนังมีมากผิดปกติ อากาศที่ร้อนชื้นทำให้เหงื่อออก ผิวหนังสกปรก ภาวะตึงเครียด หงุดหงิด การใช้เครื่องสำอางที่เป็นน้ำมันหรือครีมอาจทำให้มีการอุตันของรูขนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ เมื่อเป็นสิวควรล้างด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆอย่าใช้มือแกะหรือบีบ หัวสิวเพราะทำให้สกปรก ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารมันๆหรือหวานจัด นอกจากนี้พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกวิตกกังวล และหากเป็นสิวมากควรปรึกษาแพทย์
ตาปลา (corn) เกิดจากแรงกดหรือมีแรงเสียดสีผิวหนังบริเวณนั้นบ่อยๆทำให้ผิวหนังค่อยๆด้านหรือหนาขึ้น มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆแข็งๆ และเจ็บปวดมากเมื่อเม็ดกลมๆนั้นกดลงบนเนื้ออ่อนที่อยู่ด้านล่างลงไป โดยทั่วไปตาปลามักจะเกิดบริเวณนิ้วเท้าหรือฝ่าเท้าเนื่องจากใส่รองเท้าคับเกินไป วิธีป้องกันไม่ให้เกิดตาปลาที่ดีที่สุด คือ การสวมรองเท้าที่ไม่คับหรือบีบเท้า และเมื่อเป็นแล้วหากจะตัดทิ้งหรือคว้านออกต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดเพราะอาจเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อโรคได้
กลิ่นตัว (odour) เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของกรดไขมันจากต่อมเหงื่อ เซลล์บุผิวที่ตายแล้ว เหงื่อรวมกับแบคทีเรียและความชื้นเกิดเป็นกลิ่นตัวขึ้น หากมีกลิ่นตัวควรอายน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ฟอกสบู่โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ขาหนีบ ใต้คอ หลังหู แล้วเช็ดตัวให้แห้ง ถ้ามีกลิ่นตัวแรง อาจใช้ก้อนสารส้มหรือลูกกลิ้งระงับกลิ่นเหงื่อทาบริเวณรักแร้หลังอาบน้ำทุกครั้ง
2.โครงสร้างของเล็บ
โครงสร้างของเล็บ
เล็บ (nails) เป็นส่วนของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าที่ตายแล้ว ซึ่งเจริญ
เปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ที่มีชีวิตในชั้นล่างที่เลื่อนขึ้นมาอัดแน่นเป็นแผ่นแข็ง ยืดหยุ่นได้ อยู่ทางด้านหลังของปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ปล้องสุดท้ายมหน้าที่ป้องกันปลายนิ้วไม่ให้ไก้รับอันตราย เล็บมีลักษณะโปร่งแสง มีส่วนที่ยืนพ้นปลายนิ้ว ซึ่งไม่มีหลอดเหลือกและประสาทมาเลี้ยง เวลาเราตัดเล็บจึงไม่รู้สึกเจ็บ ส่วนของเล็บที่ฝังอยู่ในหนังเรียกว่า รากเล็บ สองข้างของเล็บจะมีผิวหนังยื่นมาคลุมเล็กน้อย ข้างล่างมีปลายประสาทรับความรู้สึกมากมายและมีหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก ดังนั้น
เมื่อมีดบาดหรือหนามตำใต้เล็บจึงเจ็บปวด ในคนที่มีสุขภาพดี สีของเล็บจะเป็นสีชมพู่เรื่อๆ ตามสีของเลือดที่สะท้อนผ่านเล็บขึ้นมา แต่ถ้าเป็นโรคโลหิตจางเล็บจะมีสีขาวซีด ร่องระหว่างแผ่นเว็บกับผิวหนังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและความสกปรกต่างๆ หนังที่คลุมเหนือโคนเล็บจึงเป็นด่านแรกที่ช่วยป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรคต่างๆไม่ให้เข้าไปในโคนเล็บ
เวลาตัดเล็บจึงไม่ควรตัดหนังข้างเล็บออก เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย การตัดเล็บควรตัดให้ปลายโค้งมน อย่าตัดชิดนิ้วเกินไป และหมั่นรักษาเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ
หน้าที่ของเล็บ
1.ช่วยป้องกันการถูกกระทบกระเทือนที่ปลายนิ้วและช่วยส่งเสริมสุขภาพ
2.ช่วยให้การหยิบจับสิ่งต่างๆได้สะดวกขึ้น
3.ใช้สำหรับแคะ แกะ เกา ข่วน และช่วยป้องกันตัวเอง
4.ช่วยให้การเดิน วิ่ง มีประสิทธิภาพ จะพบว่าเมื่อนิ้วเท้าถูกถอดเล็บจะทำให้เดินไม่ถนัด
5.ช่วยไม่ให้ปลายนิ้วมื้อนิ้วเท้าได้รับอันตรายโดยง่าย
6.ช่วยในการวินิจฉัยโรคบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในร่างกาย
ความผิดปกติเกี่ยวกับเล็บ ได้แก่
เล็บขบ( ingrown nail ) มักเป็นนิ้วหัวแม่เท้าที่เกิดจากการงอกของเล็บที่กดลึกเข้าในบริเวณซอกเล็บ ทำให้เกิดความเจ็บปวดอาจเป็นแผล ถ้าติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบ ให้ตัดเล็บเป็นแนวตรง ไม่ควรตัดสั้นจนเกินไป ถ้ามีอาการเล็บขบให้ทำความสะอาดมุมเล็บ และใช้สำลีชุบยาฆ่าเชื้ออุดไว้ใต้เล็บ
เชื้อราที่เล็บ ( tinea unguium) ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ทำงานที่ต้องเปียกน้ำอยู่ประจำ หรือเท้าอยู่ในที่อับชื้น
อาการส่วนมากจะเป็นที่ซอกเล็บก่อน แล้วลามออกไปยังผิวหนังข้างเล็บและตัวเล็บ เล็บจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นหรือสีเหลือง เกิดมีขุยสะสมอยู่ใต้เล็บทำให้เล็บแยกออกจากเนื้อแล้วค่อยๆกร่อนลงที่ปลายแล้วลามต่อไปจนถึงโคนเล็บ การป้องกันรักษาทำได้โดยหมั่นตัดเล็บให้สั่น รักษาเล็บให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ
ไม่ควรใช้เล็บเกาบริเวณที่เป็นเชื้อราเพราะเชื้อราจะติดเล็บมาได้ ถ้ามือต้องถูกน้ำบ่อยหรือแช่น้ำเป็นเวลานานให้ใช้ถุงมือยางสวมก่อนถุงเท้า รองเท้าควรรักษาให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น ถ้าเล็บเป็นเชื้อราให้ใช้ขี้ผึงรักษาเชื้อราบริเวณที่เป็น ถ้ามีอาการมากควรปรึกษาแพทย์
โครงสร้างของขนหรือผม
โครงสร้างของขนหรือผม
ขนหรือผม (hair) งอกมาจากขุมขน ซึ่งเป็นส่วนที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ที่มีชีวิตของชั้นหนังกำพร้าส่วนลึก ที่โคนได้รับเลือดจากหลอดเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยงและมีเส้นประสาทคลุมอยู่ด้วย ส่วนที่โผล่พ้นผิวหนังขึ้นมาเป็นส่วนของเซลล์ที่ตายแล้ว ขนมีอยู่ทั่วร่างกาย ยกเว้นในบางที่ เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า สะดือ หัวนม ริมฝีปาก ขนทุกเส้นประกอบด้วยเส้นขน รากขนและขุมขน เส้นขนจะมีต่อมสีในเซลล์เส้นผมที่ผลิตเม็ดสีลงไปในแต่ละเซลล์ของเส้นผม เม็ดสีเหล่าจะมีสีต่าง ๆ คือ ดำ น้ำตาลเข้ม และเหลืองปนแดง สีของเส้นผมขึ้นอยู่กับเม็ดสีเหล่านี้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน คนเราเมื่ออายุมากขึ้น การสร้างเม็ดสีในเซลล์ของเส้นขนจะลดน้อยลงจนกระทั่งหยุดสร้าง ผมจะเริ่มมีสีอ่อนลงและหงอกขาวในที่สุด เส้นผมแต่ละเส้นมีอายุประมาณ 7 ปีแล้วจะหลุดร่วงไป และจะมีเส้นใหม่งอกขึ้นมาแทนที่ในรูขุมขนเดิม
หน้าที่ของเส้นผม
เส้นผมมีหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้หนังศีรษะได้รับความร้อนหรือความเย็นมากเกินไปและยังช่วยลดความรุนแรงจากอันตรายต่าง ๆ ที่มากระทบศีรษะ นอกจากนี้เส้นผมยังช่วยเสริมความงามให้แก่ใบหน้า และซับเหงื่อหรือสิ่งสกปรกหรือช่วยป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย
ความผิดปกติของเส้นผม ได้แก่
ผมร่วง (alopecia) เส้นผมของคนเราจะร่วงได้ตามธรรมชาติแล้วงอกขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าหากร่วงมากกว่าปกติอาจจะมีสาเหตุมากจากการขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยด้วยโรคเชื้อรา การแพ้ยาสระผม
หรือเกิดจากต่อมน้ำมันที่โคนผมไม่ผลิตน้ำมันมาหล่อเลี้ยงเส้นผม การป้องกันรักษาอาการผมร่วงแก้ไขได้โดยการรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการจะช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเป่าผมด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงการย้อมผม หรือการดัดผม และเมื่อเกิดความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
รังแค (dandruff) เกิดจากผิวหนังหรือเซลล์ที่ตายแล้วแห้งหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นหรือเป็น
ขุย ๆ มักเกาะติดอยู่กับเส้นผม ทำให้คันศีรษะและเป็นสาเหตุให้ผมร่วงได้
การป้องกันรักษาหมั่นสระผมเป็นประจำด้วยยาสระผมแบบอ่อน ๆ หวีหรือแปลงผมบ่อย ๆ งดใช้น้ำมันหรือครีมใส่ผม
หากรังแคยังไม่หายควรรีบปรึกษาแพทย์
การบำรุงรักษาระบบห่อหุ้มร่างกาย
ระบบห่อหุ้มร่างกายมีความสำคัญต่อร่างกาย เราจึงควรบำรุงรักษาให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนี้
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนโดยเฉพาะสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของผิวหนัง เช่น พวกโปรตีน ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ วิตามินบีและวิตามินซี
ออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ต่อมต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ทำงาน และการได้รับสงแดดอ่อน ๆในตอนเช้าและตอนเย็นร่างกายจะได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังแข็งแรงสมบูรณ์ และมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส
ชำระล้างร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ โดยการอาบน้ำ การกำจัดกลิ่นตัว การะสระผมและการตัดเล็บ
โดยเฉพาะการอาบน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดของกล้ามเนื้อและทำความสะอาดผิวหนังได้ดี
นอกจากนี้ยังทำให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังได้มากขึ้น ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปี้กระเปร่า
และการใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่สะอาดยังช่วยป้องกันการเกิดโรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลาก เกลื้อน ได้อีกด้วย
เลือกใช้เครื่องสำอาง เช่น ยาสระผม สบู่ ครีมบำรุงผิว ให้เหมาะสมกับสภาพผิวหนังของตนเอง มิฉะนั้นอาจเกิดอาการแพ้ เป็นผื่นคัน หรือเกิดสิวได้
พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่างเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
ระบบกระดูก
กระดูก (bone) ในร่างกายเราระยะแรกจะเจริญในรูปของกระดูกอ่อน เมื่อมีอายุมากขึ้นกระดูกอ่อนจะเปลี่ยนเป็นกระดูกที่แข็งแกร่งรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น ยกเว้นบางส่วนที่ยังคงเป็นกระดูกอ่อน เช่น ใบหู ปลายจมูก หลอดลม ในเด็กแรกเกิดจะมีกระดูกมากถึง 350 ชิ้น เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่กระดูกบางส่วนจะเชื่อมติดกันเหลือเพียง 206 ชิ้น ซึ่งสามารถจำแนกกระดูกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
กระดูกแกน (Axial skeleton) คือ กระดูกที่เป็นแกนกลางของลำตัวมีอยู่ 80 ชิ้น ประกอบด้วยกะโหลกศีรษะ 29 ชิ้น มีหน้าที่ห่อหุ้มและสมอง
กระดูกสันหลัง 26 ชิ้น เป็นส่วนของกระดูกแกนที่ช่วยค้ำจุนและรองรับน้ำหนักของร่างกาย และกระดูกทรวงอก ซึ่งประกอบด้วยกระดูกหน้าอก 1 ชิ้น
และกระดูกซี่โครงอีก 12 คู่ ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยในการหายใจและป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะที่อยู่ภายใน เช่น ปอด หัวใจ และอวัยวะอื่น
กระดูกรยางค์ (appendicle skeleton) คือ กระดูกที่นอกเหนือไปจากกระดูกลำตัวมีอยู่ 126 ชิ้น ประกอบด้วยกระดูกแขน 64 ชิ้น กระดูกขา 62 ชิ้น
กระดูกแขนจะทำหน้าที่เป็นฐานเชื่อมโยงกับกระดูกส่วนอื่นๆ ส่วนกระดูกขาซึ่งเป็นกระดูกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงมากจะทำหน้าที่รับน้ำหนักของร่างกาย
ชนิดของกระดูก
กระดูกคนเราจะมีลักษณะและรูปร่างต่างๆ กันไป แยกตามรูปร่างที่ปรากฏได้ 4 ชนิด คือ
กระดูกยาว (long bones) พบได้ที่กระดูกต้นแขน แขนท่อนปลาย ต้นขา และขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นิ้วมือ และนิ้วเท้า เป็นกระดูกยาวขนาดเล็ก ในส่วนลำของกระดูกยาวเรียงตัวกันเป็นรูปทรงกระบอก ตรงกลางเป็นโพรง ที่ขอบๆ กระดูกเป็นเนื้อแน่นปลายของกระดูกยาวมักโตกว่าส่วนลำ มีกระดูกเนื้อแน่นบางๆ อยู่ที่ขอบ ภายในเป็นกระดูกชิ้นเล็กๆ ติดต่อกันคล้ายฟองน้ำเรียกว่า
กระดูกพรุน กระดูกพรุนชนิดนี้มีไว้สำหรับรับน้ำหนักของร่างกายและเคลื่อนไหวมากกว่ากระดูกชิ้นอื่นๆ ซึ่งมีทั้งหมด 90 ชิ้น
กระดูกสั้น (short bones) มีอยู่ตามร่างกายส่วนที่แข็งแรงสำหรับออกแรงเมื่อเวลาทำงานที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมาก ได้แก่ กระดูกข้อมือ และข้อเท้า กระดูกเหล่านี้เป็นท่อนสั้นๆ ไม่มีส่นลำแต่จะมีกระดูกเนื้อแน่นบางๆ อยู่ที่ขอบภายในเป็นกระดูกฟองน้ำ กระดูกสั้นมีทั้งหมด 30 ชิ้น
กระดูกแบน (flat bones) มีลักษณะเป็นแผ่นแบนกว้างออกไป ประกอบด้วยกระดูกเนื้อแน่น 2 แผ่นเชื่อมติดกัน ภายในเป็นกระดูกพรุน กระดูกชนิดนี้จะช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตรายง่าย ได้แก่ กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกซี่โครง กระดูกสะบัก กระดูกหน้าอกและกระดูกเชิงกราน กระดูกแบนมีทั้งหมด 40 ชิ้น
กระดูกที่มีรูปร่างไม่แน่นอน (irregular bones) หรือมีรูปร่างแปลกๆ ได่แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ กระดูกขากรรไกร กระดูกโคนลิ้น กระดูกหู ฯลฯ กระดูกชนิดนี้มีแง่ มีเหลี่ยมหรือช่องโค้งไปมามากเพื่อให้เหมาะกับการประกอบเข้าได้กับกระดูกชิ้นอื่นที่เป็นโครงร่างของร่างกาย กระดูกชนิดนี้มีทั้งหมด 46 ชิ้น
กระดูกอ่อน
กระดูกอ่อน (cartilage) จัดเป็นเนื้อเยื่อยึดเหนี่ยวชนิดนึง ซึ่งสารระหว่างเซลล์เหนียวหนืดมีหน้าที่รองรับเนื้อเยื่ออ่อนๆและช่วยทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น กระดูกอ่อนไม่แข็งแรงเท่ากระดูก เพราะไม่มีแร่ธาตุ แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่ากระดูก มีเยื่อหุ้มกระดูกอ่อนเช่นเดียวกับกระดูก
กระดูกอ่อนแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1.กระดูกอ่อนขาว ปรากฏเป็นสีขาวปนสีน้ำเงิน พบได้ที่ด้านข้อต่อของกระดูก กระดูกอ่อนซี่โครง กระดูกอ่อนออกเสียง และกระดูกอ่อนหลอดลม
2.กระดูกอ่อนยืดหยุ่น สีค่อนข้างเหลือง ยืดหยุ่นได้มาก เพราะมีเส้นใยมาก พบได้ที่กระดูกอ่อนใบหู และฝาปิดกล่องเสียง
3.กระดูกอ่อนผังพืด มีเส้นใยผังพืดมาก พบได้ที่หมอนรองกระดูกสันหลัง และข้อต่อหัวหน่าว
3.ข้อต่อและเอ็นเชื่อมกระดูก
ข้อต่อ (joint) เกิดจากกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไปที่อยู่ใกล้กันมาเชื่อมหรือต่อกัน โดยมีเอ็นและกล้ามเนื้อช่วยยึดเสริมความแข็งแรงให้แก่ข้อต่อ ทำให้โครงกระดูกยืดหยุ่นส่วนต่างๆของร่างกายเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกเนื่องจากกระดูกที่มาต่อกันนั้นอยู่ในลักษณะต่างๆกัน ข้อต่อต่างๆในร่างกายจึงแตกต่างกันทั้งรูปร่าง ลักษณะและหน้าที่ทำให้แยกประเภทของข้อต่อได้ดังนี้
1.ข่อต่อเอ็น เป็นข้อต่อที่ยึดกันด้วยเอ็นผังพืดขาว ได้แก่ ข้อต่อระหว่างกระดูกกะโหลกศีรษะส่วนบน ข้อต่อชนิดนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหวเลย
ลักษณะของข้อต่อเอ็น
ที่มา:
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=8&chap=2&page=t8-2-infodetail04.html
2.ข้อต่อกระดูกอ่อน เป็นข้อต่อที่เชื่อมกันด้วยกระดูกอ่อนและมีเอ็นช่วยเสริมด้วยทำให้สามารถเคลื่อนไหวเล็กน้อย ได้แก่ ข้อระหว่างกระดูกอ่อนซี่โครงซี่ที่ 1 กับการกระดูกหน้าอกและข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลัง
3.ข้อต่อซินโนวียล เป็นข้อต่อที่พบมากในร่างกายเรา ด้านข้อต่อของกระดูกคลุมด้วยกระดูกอ่อนขาวหรือกระดูกอ่อนพังผืดทำให้เคลื่อนไหวได้คล่อง มีเอ็นรอบข้อ ชั้นนอกเป็นเยื่อพังผืดสีขาว ชั้นในเป็นเยื่อซินโนเวียล ซึ่งเป็นที่สร้างน้ำไขข้อสำหรับช่วยในการหล่อลื่น เพราะกระดูกมีการเสียดสีอยู่เป็นเวลานาน และยังทำหน้าที่นำอาหารจากหลอดเลือดมาสู่กระดูกอ่อนที่คลุมปลายกระดูกด้วย
ข้อต่อซินโนเวียลนี้มีโพรงข้อ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน และมีผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะที่แตกต่างกันด้วย ดังนี้
1) ข้อที่เคลื่อนไหวได้ทิศทางเดียว เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อระหว่างกระดูกนิ้วมือและข้อต่อระหว่างกระดูกนิ้วเท้า และข้อต่อระหว่างนิ้วเท้า เคลื่อนไหวได้เพียงแต่งอเข้าหรือยืดออกเหมือนบานพับ
2) ข้อที่เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง คือ ข้อต่อที่กระดูกข้อมือต่อกับฝ่ามือของนิ้วมือของนิ้วหัวแม่มือมีลักษณะเหมือนอานม้า ซึ่งปลายกระดูกข้างหนึ่งเว้า และปลายกระดูกอีกข้างหนึ่งนูนรับกัน จึงเคลื่อนไหวได้ 2 แบบ คือ การงอเข้ายืดออก และการหมุน ซึ่งจะดำเนินไปพร้อมกันทำให้เราสามารถงอนิ้วหัวแม่มือมาสู่ฝ่ามือในการกำของได้