Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่7 พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร - Coggle Diagram
บทที่7
พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร
1.สรีรวิทยาของระบบทางเดินอาหาร
1.อวัยวะที่สำคัญที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอาหาร (Alimentary tract)
เริ่มจากปาก หลอดคอหรือลำคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และทวารหนัก
อวัยวะที่ช่วยอาหาร ได้แก่ ต่อมน้ำลาย ตับ และตับอ่อน
หน้าที่ของระบบทางเดินอาหารตามสรีรวิทยา
1.เป็นทางผ่านของอาหาร และของเหลวต่างๆ (Ingestion)
ย่อยอาหาร (Digestion) ให้อยู่ในสภาพที่ดูดซึมได้
มีการดูดซึม (Absorption) สารอาหารเข้าสู่กระแสโลหิต
มีการเคลื่อนไหว (motility) ของทางเดินอาหารและขับของเสียออกจากร่างกายทางอุจจาระ
กระบวนการเมตาบอลิซึม
2.1 ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
การย่อยอาหารมี 2 ขั้นตอน
การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion)
เป็นกระบวนการทําให้อาหารเล็กลงแต่ยังไม่ เล็กที่สุด เพื่อสะดวกต่อการเคลื่อนที่ โดยการบดเคี้ยว และการบีบตัวของทางเดินอาหาร
การย่อยทางเคมี (Chemical digestion) เป็นการย่อยอาหาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน ให้มีขนาดเล็กที่สุด โดยเอนไซม์หรือนําย่อยเข้าเร่งปฏิกิริยาได้สารโมเลกุลเล็กที่สุด ดูดซึมเข้าสู่เซลล์ ส่งนเกลือแร่ และวิตามิน สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง
2.2 การดูดซึมอาหารในลำไส้เล็ก
การดูดซึมอาหาร หมายถึง กระบวนการที่นําอาหารที่ผ่านการย่อยจนได้เป็นสารโมเลกุลเดี่ยว เช่น กลูโคส กรดอะมิโน กรดไขมัน กลีเซอรอล ผ่านผนังทางเดินอาหาร ลําไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือด ไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ลําไส้เล็ก (Small Intestine) ผลิตนําย่อยมอลเทส ย่อยนําตาลมอลโทสให้กลายเป็น น้ำตาลกลูโคส น้ำย่อยซูเครส ย่อยน้ำตาลซูโครสให้เป็นน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลฟรักโทส น้ำย่อยแลกเทสย่อยน้ำตาลแลกโทสให้เป็นน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลกาแลกโตส น้ำย่อยอะมิโนเพปทิเดส ย่อยโปรตีนสายสั้นให้เป็นกรดอะมิโน
2.3 การดูดซึมในลำไส้ใหญ่
อาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้ เช่น เซลลูโลส ถูกสางไปยังลําไส้ใหญ่ เซลล์ที่บุผนังลําไส้ใหญ่ ดูดนํา แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคสจากกากอาการเข้ากระแสเลือด ทําให้กากอาหารข้นขึน จนเป็น ก้อนกากอาหารผ่านไปถึงไสิตรง และผนังภายในลําไสิใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นก้อนอาหาร
ภาวะโภชนาการที่ผิดปกติ
ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition)
แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ภาวะที่มีโภชนาการเกิน (Overnutrition)
สาเหตุของโรคอ้วน
-พันธุกรรม
-รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วไม่มีเวลาออกกําลังกาย
-พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันที่ไม่เหมาะสม มีการใช้พลังงานต่ำ
-โรคบางชนิด เช่น Cushing ‘s Syndrome เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายทําให้อ้วนบริเวณใบหน้า ลําตัว ต้นคอด้านหลังแต่แขนขาเล็ก
โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน
โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน
ภาวะขาดสารอาหาร (Under nutrition or nutritional deficiency)
2.1 การขาดโปรตีนและพลังงาน (Protein energy malnutrition; PEM หรือ protein calorie malnutrition; PCM) ได้แก
Kwashiorkor โรคที่เกิดจากการขาดสารอาหารโปรตีนเรื้อรัง เด็กเจริญเติบโตช้า สีผมจาง ผิวหนังเป็นผื่นอักเสบ ระดับ albumin ในเลือดต่ำ บวม (edema)
Marasmus โรคที่เกิดจากการขาดพลังงานและโปรตีนเป็นเวลานาน การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง ผอมมากหนังหุ้มกระดูก ผิวหนังแห้งและเหี่ยว
2.2 Anorexia nervosa and bulimia เป็นความผิดปกติของการกิน (eating disorder) ซึ่งพบบ่อยในวัยรุ่น โดยเฉพาะเพศหญิง ผู้ป่วย Anorexia จะหมกมุ่นอย่างมากในเรื่องการกินอาหาร
ภาวะการขาดวิตามิน
โรคขาดวิตามินเอ ขาดวิตามินเอ จะทําให้เกิดอาการตาบอดกลางคืน เยื่อบุตาขุ่นเหลว และตาบอดในที่สุด
โรคขาดวิตามินบีหนึ่ง
โรคเหน็บชาในเด็กโตและผู้ใหญ่ แบ่งเป็น 3 ประเภท
มีอาการชา โดยไม่บวม (Dry beriberi) ชาปลายมือปลายเท้า กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีแรง
มีอาการชาและบวม (Wet (cardiac) beriberi) ชาปลายมือปลายเท้า มีน้ำคั่งในช่องท้องและช่องปอด บางรายหอบเหนื่อย หัวใจโตและเต้นเร็ว
มีอาการทางหมอง เรียกว่า Wernicke – Korsakoff (cerebral) syndrome พบในผู้ใหญ่ี่เป็นโรคพิสุราเรื้อรัง อาการทางสมอง คือ การเคลื่อนไหวของลูกตาทําได้น้อย เดินเซ
การป้องกันโรคขาดวิตามินบี 1
การบริโภคอาหารที่ให้วิตามินบี 1 ได้แก่ จมูกข้าว ยีนต์ เนื้อหมูสุก เนื้อเป็ด ปลาทูนึ่ง
โรคขาดüิตามินบีสอง เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินบีสองไม่เพียงพอ คนที่ขาดวิตามินบีสองมักจะเป็นแผลหรือรอยแตกที่มุมปากทั้งสองข้างหรือซอกจมูกมีเกล็ดใสเล็กๆ ลิ้นมีสีแดงกว่าปกติและเจ็บ
โรคขาดวิตามินซีเกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินซีไม่เพียงพอ คนที่ขาดวิตามินซีมักจะเจ็บป่วยบ่อยเนื่องจากมีความต้านทานโรคต่ำ เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย ถ้าเป็นมากฟันจะโยกรüน และมีเลือดออกตามไรฟันง่าย อาการเหล่านี เรียกว่าเป็น โรคลักปิดลักเปิด
โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส เกิดจากการกินอาหารที่มีแคลเซียม และฟอÿฟอรัÿไม่เพียงพอ คนที่ขาดแคลเซียมและฟอสฟอรัสจะเป็นโรคกระดูกอ่อน
โรคขาดธาตุเหล็ก เกิดจากการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอหรือเกิดจากความผิดปกติในระบบการย่อยและการดูดซึม คนที่ขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจาง เนื่องจากร่างกายสร้างเฮโมโกลบินได้น้อยกว่าปกติ ทําให้ร่างกายอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีความต้านทาน โรคต่ำ เปลือกตาขาวซีด
โรคขาดธาตุไอโอดีน เกิดจากการกินอาหารที่มีไอโอดีนต่ำหรืออาหารที่มีสารขัดขวางการใช้ไอโอดีนในร่างกาย คนที่ขาดธาตุไอโอดีนจะเป็นโรคคอพอก และต่อมไทรอยด์ บวมโต
พยาธิสรีรวิทยาโรคระบบททางเดินอาหาร
ความผิดปกติของผนังอาหาร
1.1 Hiatal hernia
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
1) sliding (direct) hiatal hernia
Sliding hiatal hernia อาจเกิดจากหลอดอาหารสั้นมาแต่กําเนิด หรือ การได้รับบาดเจ็บหรือความอ่อนแอของกล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณรอยต่อของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
2) paraesophageal (rolling) hiatal hernia
อาการและอาการแสดงช่วงแรก มักไม่มีอาการแสดง ต่อมามีอาการขย้อน (reflux) กลืนลําบาก จุกเสียดอกหรือปวดบริเวณ epigastrium โดยมักมีอาการแน่นใต้ sternum หลังรับประทานอาหาร
การตรวจวินิจฉัยbarium Swallowing, endoscopy และ chest X-ray
การรักษา sliding hiatal hernia รักษาแบบประคับประคอง - รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยครั้งนอนในท่า semi-fowler position ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในท่านอนชันเข่า (recombent position) หลังรับประทานอาหาร
ให้ยา antacids เพื่อลด reflux esophagitis
กรณีรักษาแบบประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได้ จําเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด
กระเพาะอาหารอักเสบและแผลในทางเดินอาหาร
กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis)
การเกิดพยาธิสภาพ
1.กระเพาะอาหารจะมี mucosal barrier ป้องกันการย่อยตัวเอง โดยมี prostaglandin เป็นตัวช่วยป้องกันแต่ถ้ากลไกการป้องกันล้มเหลว
2.เมื่อการหลั่ง histamine มีการกระตุ้น cholinergic nerve hydrochloric acid จะสามารถซึมผ่านเข้าไปใน mucosa และทําให้เกิดอันตรายต่อเส้นเลือดเล็กๆ (Small vessels) ทําให้เกิดการบวม (edema) เลือดออก (hemorrhage) และรอยถลอก
1.1 กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute gastritis) สาเหตุเกิดจาก
1.การรับประทานกรด ด่าง ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
ยาบางชนิด เช่น aspirin, reserpine, cytotoxic agents เป็นต้น
3.การติดเชื้อ เช่น Staphylococci, Salmonella
1.2 กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic gastritis) สาเหตุเกิดจาก- การท้นกลับของน้ำดี พบในผู้ป่วยซึ่งเป็นแผลในทางเดินอาหาร ได้รับสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง เช่น การดื่มเหล้า การรับประทานยาบางชนิด เช่น salicylates การิดเชื้อ helicobacter pylori
Type A พบการอักเสบบริเวณ fundus
Type B (environmental gastritis) เป็นการอักเสบเรื้อรังทั่วทั้งกระเพาะอาหาร สาเหตุิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ การเกิด ภาวะกรดไหลย้อนจากการขย้อน การใช้ยาบางชนิด และการติดเชื้อ H. pylori
แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
Superficial gastritis มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพจํากัดเฉพาะทีส่วนบนประมาณ1/3 ของ mucosa
Atrophic gastric มีพยาธิสภาพลึกทั้งหมดของ mucosa ทําให้มีการฝ่อ (atrophy) ของ
gastric glands มีการสูญเสีย chief และ parietal cells
Gastric atrophy มีการสูญเสีย gastric glands ทั้งหมด แต่มีการอักเสบเพียงเล็กน้อย
mucosa จะบาง
อาการ ผู้ป่วยกระเพาะอาหารอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจมีภาวะซีดเนื่องจากเสียเลือดเป็นเวลานาน ตรวจพบเลือดในอุจจาระหรืออาเจียนมีเลือดปน
1 more item...
แผลในทางเดินอาหาร (Peptic Ulcer)กลไกการเกิดพยาธิสภาพเกิดจากการขาดสมดุลของสารคัดหลั่งจากกระเพาะอาหาร คือ hydrochloric acid และpepsin กับฝ่ายทําหน้าที่ป้องกัน คือ เยื่อเมือกที่บุทางเดินอาหาร และเกิดจากความสามารถในการควบคุมยับยั้งการหลั่งน ้ำย่อยของลําไส้เล็ก เป็นต้น
ชนิดของแผลในระบบทางเดินอาหาร แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
แผลในทางเดินอาหารจากภาวะเครียด (Stress ulcer)
ภาวะ ischemia เมื่อเยื่อบุขาดเลือดไปเลี้ยง กรดอาจทําลายกัดกร่อนเยื่อบุอักเสบ
การเพิ่ม back-diffusion ของ H+ เยื่อบุไวต่อ pepsin และ hydrochloric acid เนื่องจากสารเคมี อาหาร ยา การย้อนกลับของน้ำดีจากลําไส้เล็กสู่กระเพาะอาหาร หรือสาเหตุอื่นๆ
อาการ
ไม่มีอาการปวดหรืออาการนํามาก่อน ในรายที่มีการทะลุของเยื่อบุ อาการแสดงที่สำคัญ คือ ีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นในเวลา 3-7 วัน หรือภายในเวลา 21 วันหลังการบาดเจ็บ
การรักษา มุ่งเน้นไปในการควบคุมการเสียเลือด ป้องกันแก้ไขภาวะช็อค และ รักษาตาม
สาเหตุของ stress ulcer
Inflammatory bowel disease
Crohn's disease
อาการท้องเสียเป็นพักๆ ปวดบิด (Colicky pain) พบบ่อยบริเวณท้องด้านขวาล่าง น้ำหนักลด
มีความไม่สมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยท์ อ่อนเพลีย
Ulcerative colitis
อาการ ถ่ายเป็นเลือดและท้องเสีย มีไข้ ปวดท้อง
เสี่ยงต่อการเกิด toxic megacolon และ perforation
อาการ
ระยะการอักเสบเฉียบพลัน ต้องได้รับยาพวก Corticosteroids ในรูปการสวนหรือเหน็บทางทวารหนัก และยาปฏิชีวนะพวก sulfa salazine (azulidine)
ผู้ป่วย ulcerative Colitis อาจต้องผ่าตัด rectum และ Colon ileostomy, ileoanal anastomosis ตามความจําเป็น
ผู้ป่วย Crohn's disease ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีไขมันปน และมีความบกพร่องในการดูดซึม ขาดสารอาหาร จึงควรได้รับอาหารที่มีแคลอรีสูง วิตามิน และโปรตีน งดอาการประเภทไขมัน
Diverticula disease
พยาธิสภาพการเกิดโรคเกิดบริเวณที่ผนังของ Colon มีความอ่อนแอซึ่งเส้นเลือดแดงจะสามารถแทรกผ่าน tunicamuscularis เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยง mucosal layer ได้ mucosa ของ colon จะเลื่อนผ่านกล้ามเนื้อเรียบ
อาการ 1. ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ บางรายที่มีอาการแสดง เช่น อาการปวดเหมือนถูกบีบบริเวณช่องท้องส่วนล่าง ท้องเสีย ท้องผูก แน่นท้องหรือท้องอืด
diverticula อาจมีการอักเสบจนเป็นฝี ตรวจพบเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น กดเจ็บบริเวณด้านซ้ายของท้องส่วนล่าง
ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว
Gastroesophageal reflux disease (GERD)
การป้องกันเพิ่มประสิทธิภาพของ peristaltic Contraction ของหลอดอาหาร เสริมแรงโน้มถ่วงของโลกและเร่งการสลายกรดให้เป็นกลางโดย bicarbonate ในน้ำลาย
การรักษานะนํารับประทานอาหารที่ละน้อยแต่บ่อยครั้ง ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันต่่ำ
Achalasia
ป็นความผิดปกติของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อของĀลอดอาหาร ทําให้กลืนลําบาก
เนื่องจากขณะที่กลืนกล้ามเนื้อเรียบของหลอดอาหารไม่สามารถบีบตัวตามปกติ (peristaltic Contraction) และกล้ามเนื้อหูรูดของทางเดินอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว ทําให้หลอดอาหารขยายโต
ขึ้น (dilatation and hypertrophy)
ท้องผูก (constipation)
สาเหตุเกิดจาก
ความผิดปกติทางระบบประสาทของลำไส้ใหญ่
ความผิดปกติของการทำาหน้าที่
การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย
แบบแผนการดำเนินชีวิต
ยาบางชนิด
ท้องเสีย (Diarrhea)
ท้้องเสียแบ่งตามกลไกการเกิดได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้
Osmotic diarrhea เกิดจากการที่สารซึ่งไม่สามารถดูดซึมได้ในลําไส้ดูดน้ำกลับสู่โพรงลำไส้ (lumen) โดยวิธี Osmosis 2. Secretory diarrhea เป็นการถ่ายอุจจาระที่มีปริมาตรมาก 3. Motility diarrhea
Intestinal Obstruction
simple obstruction พบบ่อยที่สุด เป็นการอุดตันที่เกิดจากการที่มีความผิดปกติกีดขวางอยู่ภายใน lumen ของลําไส้ 2. Functional obstruction เป็นการสูญเสียหน้าที่ในการเคลื่อนไหว
ความผิดปกติในการดูดซึม (malabsorption Syndromes)คüามผิดปกติในการดูดซึมÿารอาĀารในลําไส้เล็ก แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ มีความผิดปกติใน
การย่อย (maldigestion) และความผิดปกติในการดูดซึม (malabsorption)
Dumping syndrome
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดบางส่วนของกระเพาะอาหารออกไป (Gastrectomy) เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือมะเร็งของกระเพาะอาหารทําให้มีการทําหน้าที่ของกระเพาะบางสูญเสียไป
Jaundice
ประเภทของ jaundice แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
prehepatic jaundice 2. intrahepatic
posthepatic
Ascites
สาเหตุเกิดจาก1.โรคตับเรื้อรังโดย ตับแข็ง (cirrhosis) พบบ่อยและมากที่สุด2. มะเร็งหัวใจด้านขวาล้มเหลว
ตับอ่อนอักเสบ
Portal hypertension
พยาธิสรีรวิทยาPortal hypertension เกิดจากความผิดปกติซึ่งทำให้เกิดการอุดตันส่วนประกอบของ portal venous System
ตับอักเสบ (Hepatitis)
Viral Hepatitis1.1 Hepatitis A หรือ infectious hepatitis ติดต่อทาง fecal-oral route 1.2 Hepatitis B ติดต่อทาง parenteral route และ body Secretions 1.3 Hepatitis C มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis B 1.4 Hepatitis D Āรือ Delta hepatitis เกิดจาก HDV 1.5 Hepatitis E มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis A คือติดต่อทาง fecal-oral route
Drug-Induced Hepatitisเกิดจาก toxic reaction ต่อ liver cells ทั้งจากยาและ metabolites ของยา
Alcoholic hepatitistoxic effect ของ alcohol ขึ้นกับจํานวนและระยะเüลาที่ดื่ม ผู้ป่วยที่มีค่า serumtransaminase และค่า prothrombin time สูงขึ้น มีค่า albumin ต่ํา แสดงการสูญเสียหน้าที่ของตับ
ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute hepatitis)1. Prodromal illness มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ปวดศีรษะ มีไข้ 37.5-38.5 C คัดจมูก เจ็บคอ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร มึนซึม ปวดท้องเล็กน้อยโดยเฉพาะบริเวณ right hypochondrium
ตับอักเสบแบบเรื้อรัง (chronic hepatitis)ลักษณะของตับอักเสบแบบเรื้อรังมี 2 ชนิด คือ chronic persistent hepatitis และ chronic active hepatitis ซึ่งวินิจฉัยแยกชนิดได้จากการทํา liver biopsy
Cirrhosis เป็นความผิดปกติของตับที่เกิดจากการอักเสบ มี fibrosis และมีnodular regeneration ทําให้มีความผิดปกติท้งโครงสร้างและหน้าที่ของตับ อาจทําให้เกิดการอุดตันของทางเดินน้ำดี เกิด jaundice ตามมา
Hepatic failureภวะตับวาย (hepatic failure) เกิดได้จากโรคตับชนิดต่างๆ cirrhosis และ chronic active
hepatitis
สาเหตุ เกิดจาก1. สารเคมี เช่น carbon tetrachloride และ halothane ทําให้มี massive liver necrosis 2. alcoholism ทําให้เกิด Reyes Syndrome, fatty liver 3. ยาบางชนิด เช่น tetracycline ทําให้มีความบกพร่องในการทําหน้าที่ของตับ
Fulminant hepatic failureÿาเĀตุ เกิดจากการติดเชื้อ ยา สารพิษ ischemia, hypoxia, metabolic-disorder,autoimmune Conditions และอื่นๆ
Hepatorenal syndromeพยาธิสรีรวิทยาเกิดจากเลือดไปเลี้ยงไตลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากเสียเลือดจํานวนมากจากเลือดออกในระบบทางเดินอาหารหรือความดันโลหิตต่ำเพราะตับวาย อาจเกิดจากการใช้ยาขับปัสสาวะจํานวนมาก เพื่อรักษา ascites
Hepatic encephalopathyพยาธิสรีรวิทยาเป็นผลจากความผิดปกติของ biochemical ที่มีผลต่อ neurotransmission การที่ตับมีความบกพร่องหรือสูญเสียหน้าที่และมี collateral vessels รับเลือดจากบริเวณโดยรอบของตับเข้าสู่Systemic circulation จะทําให้สารพิษถูกดูดซึมจากทางเดินอาĀารเข้าสู่กระแสเลือด