Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
PBL 4 Job Development of Nurse Director - Coggle Diagram
PBL 4 Job Development of Nurse Director
คำศัพท์ยาก
strategic Planning การวางแผนเชิงกลยุทธ์
budget งบประมาณ การจัดการงบประมาณ/financail Management
assignment and responsibilities การมอบหมายงานและความรับผิดชอบ
changing management การบริหารการเปลี่ยนแปลง
Planing การวางแผน
Resource management การจัดการทรัพยากร
(Planning) การวางแผนปฏิบัติการประจำปี
แผนปฏิบัติการประจำปีจะต้องตอบสนองและสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์
แผนปฏิบัติการประจำปีควรเป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานทั้งในลักษณะงาน
ประจำที่ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก เน้นการปฏิบัติงานเชิงรุก
แผนปฏิบัติการประจำปีนอกจากจะประกอบด้วยกิจกรรมของโครงการต่าง ๆ แล้ว ควรใช้เป็น
ข้อมูลพื้นฐานในการขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป
แผนปฏิบัติการได้กำหนดให้มีลักษณะยืดหยุ่นและมีกลไกในการปรับแผนที่ชัดเจน
(แผนการปฏิบัติการประจำปี. (2562).แผนการปฏิบัติการประจำปี:มหาวิทยาทักษิณ.
ขั้นตอนการวางแผนปฏิบัติการประจำปี
วิเคราะห์ความจำเป็นของการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี
ความจำเป็นในการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีของแต่ละหน่วยงาน มาจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
ㆍ แผนปฏิบัติการประจำปีขององค์กร
ㆍ เป้าหมายประจำปีของหน่วยงาน
จัดลำดับความสำคัญของแผนปฏิบัติการเนื่องจากในบางปีมีแผนปฏิบัติการที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรมีการวิเคราะห์เพื่อจัดลำดับความสำคัญของแผน ถ้ามีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา จะได้ทราบว่าควรจะทำแผนไหนก่อนหรือหลัง และจะช่วยเป็นข้อมูลในการปรับเพิ่ม/ลดงบประมาณของแต่ละแผนงานได้อีกด้วย
ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการ การจัดทำโครงการ/กิจกรรม
(กองแผนงาน สํานักงานอธิการบดี.(2557).คู่มือแนวทางการจัดทําแผนปฏิบัติราชการประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2557 มหาวิทยาลัยขอนแก่น)
ลักษณะของแผนปฏิการประจำปีที่ดี มีลักษณะดังนี้
เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วมในการวางแผน
มีรายละเอียด เนื้อหาสาระครบถ้วน ชัดเจน และจำเพาะเจาะจง โดยสามารถตอบ
มีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ต้องสอดคล้องกับ หลักการและเหตุผล วิธีดำเนินการต้อง
ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้
ก่อให้เกิดการพัฒนาทั้งเฉพาะส่วนและการพัฒนาโดยส่วนรวมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ได้ตรงจุดตรงประเด็น
รายละเอียดในแผนมีแนวทางให้ผู้อื่นอ่านแล้วเข้าใจและสามารถดำเนินการตาม
แผนได้
เป็นแผนที่ปฏิบัติได้และสามารถติดตามและประเมินผลได้
ประโยชน์ของการวางแผน
ประหยัดแรงงาน วัสดุ และเวลา
ถ้าทุกฝ่ายได้ร่วมวางแผน จะเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของงานนั้น
ผู้นิเทศสามารถ
ควบคุม ติดตาม และประเมินผลงานได้ดี
เกิดระเบียบในการปฏิบัติงาน
เสนาะ ติเยาว์ (2563). หลักการบริหารและการวางแผน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศวัฒนา.
strategic Planning การวางแผนเชิงกลยุทธ์
การจัดการเชิงกลยุทธ์ คือ ชุดของการตัดสินใจ และการกระทำที่ส่งผลให้เกิดการจัดทำแผนและการ ปฏิบัติตามแผน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
การจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติการเพื่อให้องค์การประสบผลสำเร็จในการ ดำเนินงานระยะยาว
การจัดการเชิงกลยุทธ์มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์การ ดังนี้
ช่วยให้องค์การมีกรอบและทิศทางที่ชัดเจน
ช่วยให้ผู้บริหารคิดอย่างเป็นระบบ
ช่วยสร้างความพร้อมให้องค์การ
ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการแข่งขัน
ช่วยให้การทำงานเกิดความสอดคล้องในการปฏิบัติหน้าที่
ช่วยให้องค์การมีมุมมองที่ครอบคลุม
ลักษณะสำคัญของการจัดการเชิงกลยุทธ์มีดังนี้
เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นถึงอนาคต (Future - Oriented)
เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นการจัดการต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์การ (Change - Oriented)
เป็นการบริหารองค์การแบบองค์รวม (Holistic Appro
เป็นการบริหารองค์การที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ในการดำเนินงาน (Result – Based Focus)
เป็นการบริหารที่ให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์การ (Stakeholder - Oriented)
เป็นการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการวางแผนระยะยาว (Long – Range Planning)
budgetการจัดการงบประมาณ
ความหมาย
แนวทางการพิจารณาและช่วงเวลาของงบประมาณแสดงให้ทราบถึงรูปแบบความรับผิดชอบที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของอำนาจทางเมือง หรือ หมายถึง แผน เบ็ดเสร็จซึ่งแสดงออกมาในรูปของตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะเวลาหนึ่ง แผนนี้รวมถึงการ กะประมาณบริการ กิจกรรม โครงการและการใช้จ่ายตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุนการ ดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผน
ชนิดของงบประมาณ
งบบุคลากร หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ได้แก่ รายจ่ายที่ จ่ายในลักษณะของเงินเดือน ค่าจ้างประจำ ค่าจ้างลูกจ้าง ค่าจ้างชั่วคราว สัญญาจ้าง รวมถึงรายจ่ายที่ กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นๆ
เงินเดือน (salary) หมายถึง เงินที่จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ พนักงานของรัฐทุกประเภทที่เป็นการ ว่าจ้างและจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน โดยมีอัตราที่กำหนดไว้แน่นอนในบัญชีการถือจ่ายเงินเดือนประจำปีที่ กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบยืนยันว่าถูกต้อง รวมถึงเงินที่กระทรวงการคลังกำหนดเป็นเงินเพิ่มอื่นๆ ที่จ่ายควบ กับเงินเดือน
ค่าจ้างประจำ หมายถึง เงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างประจำของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีอัตรา ตามที่กำหนดไว้แน่นอนในบัญชีการถือจ่ายค่าจ้างประจำ ที่กรมบัญชีกลางได้ตรวจสอบยืนยันว่าถูกต้องรวมถึง เงินที่กระทรวงการคลังเป็นเงินเพิ่มอื่นๆ ที่จ่ายควบคู่กับค่าจ้างประจำ
ได้แก่ เงินเพิ่มสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) และเงินเบี้ยกันดาร (บ.ก.)
ค่าจ้างชั่วคราว หมายถึง เงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานภาครัฐ
งบดำเนินการ หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจำ ได้แก่ รายจ่ายที่ต้อง จ่ายเป็นค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าสาธารณูปโภค รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นๆ
ค่าตอบแทน หมายถึง เงินที่จ่ายตอบแทนให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติงานให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าตอบแทนในตำแหน่งและเงินอื่นๆ ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ค่าใช้สอย หมายถึง ราจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งบริการ(ยกเว้น บริการสาธารณูปโภค สื่อสาร และ โทรคมนาคม) เป็นรายจ่ายเกี่ยวกับการรับรองและพิธีการ เช่น การเลี้ยงรับรองทางราชการ ค้าใช้จ่ายในพิธี ศาสนา
ค่าวัสดุ หมายถึง รายจ่ายเพื่อซื้อ แลกเปลี่ยน จ้างทำ ทำเองหรือกรณีใดๆ ที่ให้ได้มาซึ่งสิ่งของ ได้แก่ สิ่งของเมื่อใช้แล้วสิ้นเปลือง สิ่งของที่มีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี
ค่าสาธารณูปโภค หมายถึง ค่าใช้จ่ายซึ่งบริการสาธารณูปโภค การสื่อสารและโทรคมนาคม ได้แก่ ค่า ไฟฟ้า ค่าประปา ค่าโทรศัพท์ ค่าบริการทางด้านโทรคมนาคม
งบลงทุน หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดไว้ให้จ่ายเพื่อการลงทุน
ค่าครุภัณฑ์(วัสดุ/อุปกรณ์ ที่ มีอายุการใช้งานนานกว่า 1 ปี และมีราคามากกว่า 5,000 บาท) ค่าที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง
งบเงินอุดหนุน หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดจ่ายเป็นค่าบำรุง หรือเพื่อการช่วยเหลือสนับสนุนการ ดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับของรัฐ องค์กรมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กร ระหว่างประเทศ นิติบุคคล เงินอุดหนุนพระมหากษัตริย์ เงินอุดหนุนศาสนา เป็นต้น โดยมีงบเงินอุดหนุนทั่วไป
งบเงินสด เป็นการจัดทำงบเงินเพื่อให้ทราบถึงกระแสเงินสดทั้งที่เป็นรายรับและรายจ่าย ทำให้ สามารถวางแผนทางการเงินเพื่อควบคุมการดำเนินงานขององค์การได้
งบแผนงาน เป็นงบที่หน่วยงาน องค์กรได้วางแผนในแต่ละปีตามแผนการปฏิบัติงาน
การจัดการงบประมาณ มี 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ
ขั้นตอน
1) ขั้นเตรียม งบประมาณ(Budget preparation)
ประกอบด้วยการดำเนินการ 4 ขั้นตอนคือ
การกำหนดวัตถุประสงค์ หรือจัดทำแผน โครงการต่างๆ ประมาณการรายจ่าย
การรวบรวมปัญหา วิเคราะห์การใช้จ่ายในแต่ละโครงการของแต่ละงาน
แก้ไขปรับปรุงยอดรายจ่าย ซึ่งอาจมีการพิจารณาตัดทอน หรือเพิ่มเติม
เสนอแผนงบประมาณต่อฝ่ายบริหาร
ปัญหาในขั้นเตรียมการงบประมาณ ซึ่งส่งผลทำให้ไม่ได้รับการอนุมัติงบประมาณ
ได้แก่ ขาดการ วางแผนงานที่ดี ขาดข้อมูลสนับสนุนในคำของบประมาณ ขาดการประมาณการงบประมาณ เนื่องจากขาด หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในการประมาณกลาง
2) ขั้นตอนอนุมัติงบประมาณ (Budget adoption)
เป็นอำนาจของผู้บริหาร (คณะกรรมการบริหาร) หรือของรัฐสภาโดยรัฐสภาจะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นพิจารณางบประมาณที่ฝ่ายบริหารเสนอมา ดังนั้นการ จะให้งบประมาณได้รับการอนุมัตินั้นผู้นำเสนอจะต้องใช้กลยุทธ์ เช่น การหาเสียงสนับสนุนจากบุคคล ฝ่าย ต่างๆ โดยการหาข้อมูลเหตุผลมาสนับสนุนโน้มน้าว ให้ทีมอนุมัติเข้าใจเห็นความจำเป็น
3)ขั้นการ บริหารงบประมาณ(Budget execution)
เมื่องบประมาณได้รับการอนุมัติก็เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารหรือหน่วยงานที่จะกำกับดูแลให้การดำเนินงานในโครงการต่างๆ เป็นไปตามที่เสนอ ด้วยการ บริหารรายรับ รายจ่ายให้เป็นไปตามงบประมาณที่ได้รับ รวมทั้งการตรวจสอบควบคุมกำกับ และนำเสนอ รายงานผลการดำเนินงาน และรายจ่ายทั้งหมดต่อผู้บริหารต่อไป
การบริหารงบประมาณ มี หลักการที่สำคัญคือ
เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณ จึงต้องมีการควบคุมและแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องใน การใช้จ่าย
เพื่อไม่ให้เกิดความชะงักในการปฏิบัติงาน ในโครงการต่างๆต้องให้เป็นไปตามตารางเวลาที่ กำหนด
เพื่อธำรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของฝ่ายบริหารที่อนุมัติงบประมาณ เพื่อให้งานได้ดำเนินไปตามแผน
เพื่อให้มีการใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินที่ได้รับอนุมัติ
เพื่อความยืดหยุ่นของงบประมาณ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการบริหารงบประมาณ เพราะหากมี
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง อย่างไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน ก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง งบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยการยืดหยุ่นในการใช้จ่ายงบประมาณ ประเภทของระบบงบประมาณ
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณสอดคล้องเป็นไปตามแผนงาน โครงการที่ได้รับอนุมัติ
เพื่อให้มีความยืดหยุ่นได้ในทุกระดับของการบริหาร สามารถใช้จ่ายเงินงบประมาณในการ ดำเนินงาน โครงการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้รับอนุมัติ
ปัญหาในขั้นตอนการบริหารงบประมาณ
1.ขาดประสิทธิภาพในการบริหาร
2.ขาดการตรวจสอบ และควบคุมกำกับที่ดี
3.การดำเนินการหยุดชะงักไม่เป็นไปตามแผน
4.การใช้จ่ายเงินไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ กำหนดไว้
5.ขาดความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน
6.ขาดความรู้ประสบการณ์ในการปรับเปลี่ยนแผนให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ ทำให้แผนงานไม่สำเร็จตามเป้าประสงค์
การจัดการงบประมาณสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ
1.งบประมาณแบบเน้นการควบคุม เป็นงบประมาณที่แสดงรายการข้อมูลของงบประมาณ (Line item budget) เป็นการเสนองบประมาณแบบเก่า (Conventional budget) ซึ่งจะเน้นการควบคุมมากกว่า รูปแบบอื่นๆ
ข้อเด่นคือใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมฝ่ายบริการ หรือเป็นเครื่องมือ ของฝ่ายที่จะควบคุมกำกับหน่วยงานต่างๆ เพราะได้มีการจัดทำงบประมาณที่ได้จำแนก หมวดหมู่ของ ค่าใช้จ่ายไว้อย่างละเอียด ชัดเจนและเป็นระเบียบ ง่ายต่อการจัดทำ ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
ข้อเสียคือ ขาดความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะจะทำการโอนค่าใช้จ่ายระหว่างหมวดหมู่ก็ทำได้ยากและ ขาดรายละเอียดของข้อมูลเพื่อการประเมินผลงาน
งบประมาณแบบเน้นการจัดการ(Management oriented budget) งบประมาณที่แสดง ลักษณะงาน(function budget) แสดงกิจกรรม (activity budget) แสดงผลงาน (performance budget) หรือแสดงแผนงาน(program budget) โดยจะเน้นที่การจัดการ มีบทบาทลักษณะสำคัญ
อดีของงบประมาณรูปแบบนี้ คือ สามารถแสดงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างผลงานที่ได้รับกับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปว่าคุ้มค่าหรือไม่ สามารถ จะประเมินผลการดำเนินงานได้ทุกระยะ ทุกระดับงาน ถ้าใช้ในฝ่ายนิติบัญญัติสามารถพิจารณาผลงานได้ ง่ายขึ้น เพราะงบประมาณได้แสดงวัตถุประสงค์ การดำเนินงานไว้อย่างชัดเจนแล้ว และช่วยให้หน่วยงานต่างๆ จัดทำงบประมาณได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อการเตรียมจ่ายอย่างมีแผน และช่วยให้หน่วยงานดำเนินการตาม แผนและ เป้าหมายหลักที่กำหนดไว้ ทำให้ช่วยการประสานระหว่างหน่วยงานเป็นไปตามเป้าหมายหลักร่วมกัน เกิด ความคล่องตัวในการใช้จ่ายเพราะเป็นการควบคุมผลงาน จึงไม่ต้องไปควบคุมที่การจัดซื้อหรือการบริหารแต่ ละรายการ
ข้อเสีย จะเกิดจากกิจกรรมบางอย่างไม่สามารถวัดผลงานออกมาให้เห็นชัดเจนได้ เช่น การ สร้างสวนสาธารณะ เพื่อให้คนมีสุขภาพจิตดี ก็ไม่สามารถวัดว่าคนมีสุขภาพจิตที่ดีได้ในทันที นอกจากนี้ จาก มาตรฐานงบประมาณที่กำหนดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยมาประกอบให้เหมือนๆ กันเพื่อสะดวกและลดความ เบี่ยงเบนในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ และไม่สามารถที่จะนำเสนองบประมาณแบบผลงานในระบบที่ใช้ เกณฑ์งบประมาณแบบงบเงินสด
งบประมาณแบบเน้นการวางแผน (Planning –programming budget หรือ PPB) หรืออาจ เรียกว่า PPBS หมายถึง Planning-programming budget system ซึ่งงบประมาณแบบเน้นการวางแผน ได้ แสดงให้เห็นการผสมผสานกันอย่างเป็นระบบในการวางแผนและการจัดทำงบประมาณ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วย ให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมีลักษณะที่เน้นการวางแผนล่วงหน้าในระยะยาว เน้น การระบุรายละเอียดของกิจกรรม และการวิเคราะห์ผลได้ ผลเสีย โดยมีการเปรียบเทียบทางเลือกของงาน/ โครงการ
ข้อดีของงบประมาณแบบเน้นการวางแผน คือ มีความต่อเนื่องในการดำเนินงานด้วยระบบ PPBS ขจัดความซ้ำซ้อนของการดำเนินกิจกรรม ทำให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนขึ้น
ข้อเสียของงบประมาณแบบเน้นการวางแผน เป็นการรวมอำนาจการตัดสินใจไว้ที่ศูนย์กลาง ยังผลให้การปฏิบัติงานในระดับล่างลงมาขาดความเป็นอิสระในการตัดสินใจ ปัญหาการกำหนดมาตรฐานใน การรวบรวมข้อมูลที่วางระบบไว้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบงานหรือโครงการ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลงานและกระบวนการตัดสินใจที่สิ้นเปลืองเวลาในการจัดทำ ที่มี แบบฟอร์มต่างๆ มากมาย
งบประมาณที่เน้นการแก้ปัญหาข้อจำกัดทางทรัพยากร หรือ งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Based Budgeting หรือ ZBB) เป็นงบประมาณที่ไม่นำค่าใช้จ่ายในปีก่อนมาเป็นข้อผูกพัน หรือเป็นฐานในการ ตัดสินใจ โดยเริ่มต้นใหม่หมด ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือ เป็นเครื่องมือที่ใช้พิจารณางบประมาณที่ไปเป็นอย่าง สมเหตุสมผล ที่ช่วยให้รัฐบาลหรือผู้บริหารสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า เพราะ งบประมาณฐานศูนย์ ได้ระบุเป้าหมายที่ชัดเจน มีการกำหนดหน่วยการตัดสินใจและจัดทำชุดการตัดสินใจไว้ ด้วย
ข้อดีของงบประมาณฐานศูนย์ ได้แก่ สามารถจัดสรรงบประมาณในช่วงเวลาที่มีปัญหาหรือ ข้อจำกัดทรัพยากรได้เหมาะสม โดยรวมการวางแผนเข้ากับงบประมาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้เงื่อนไข ที่จำกัดทรัพยากร ซึ่งจะช่วยให้ปรับการจัดสรรงบประมาณในรอบปีใหม่ให้ดีกว่าและมีความยืดหยุ่น รวมทั้งมี ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นด้วย
ข้อเสียของงบประมาณฐานศูนย์ ในการกำหนดเป้าหมายนั้นๆ อาจ เกิดปัญหาที่ไม่ตรงกับความต้องการแท้จริง การจัดลำดับชุดการตัดสินใจอาจเป็นปัญหาในการจัดลำดับ ความสำคัญว่าโครงการใดสำคัญที่สุด และในการกำหนดค่าใช้จ่ายต่ำสุดในงบประมาณซึ่งก็ต้องมีการกำหนด ค่าใช้จ่ายต่ำสุดในชดการตัดสินใจด้วย
บทบาทผู้บริหารการพยาบาล หรือหัวหน้าพยาบาล ในการจัดการงบประมาณ มีดังนี้
ร่วมกำหนดพันธกิจ นโยบาย เป้าหมายในการจัดทำและจัดสรรงบประมาณ
จัดทำงบประมาณของกลุ่มการพยาบาล
ร่วมเป็นคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
บริหารงบประมาณ ควบคุมค่าใช้จ่าย
จัดทำคู่มืองบประมาณ
วางแผน/จัดให้มีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกันการเงินและงบประมาณ
บทบาทหัวหน้าหอผู้ป่วย ต้องมีความรู้และเข้าใจในเรื่องต้นทุนทางการพยาบาล สามารถ วิเคราะห์ต้นทุนการพยาบาลในหน่วยงาน ภาระงานและสามารถให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับต้นทุน การรักษาพยาบาลได้
การจัดสรรงบประมาณทางด้านสุขภาพ
แบบงบยอดรวม(Global budget/Block grant) เป็นงบประมาณยอดรวมแบบปลายปิด ที่กำหนดไว้ แล้วว่าจะให้เท่าไร มีฐานข้อมูลจากจำนวนเตียงผู้ป่วย จำนวนผู้ป่วยนอก/ใน ปัญหาพื้นที่ โรคต่างๆ หรือ อื่นๆ มาเป็นตัวกำหนด เป็นการจ่ายงบประมาณก่อนที่จะมีการปฏิรูประบบสุขภาพ และเปลี่ยนมาใช้หลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ
แบบเหมาจ่ายรายหัวประชากร (Capitation) เป็นงบประมาณที่กำหนดมาจากจำนวนประชากรใน พื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยกำหนดค่าราคาต่อหัวประชากรไว้เท่ากันทุกคน ทั่วทั้งประเทศ เป็นงบประมาณที่ใช้ใน ระบบบริการสุขภาพภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
แบบรายกิจกรรม มีหรือไม่มีราคากลาง (Fee-for-service and price schedule) กำหนดค่าราคาใน แต่ละกิจกรรม (Procedure/Service) ที่ให้กับผู้ป่วยในแต่ละประเภท
แบบตามรายโรคที่ป่วย ดูตาม DRGs(Cases-based budget) ซึ่งเป็นวิธีการจัดกลุ่มการวินิจฉัยโรค ร่วมและใช้น้ำหนักสัมพัทธ์ ในการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน โดยการกำหนดอัตราราคาพื้นฐาน(Base rate) ไว้ล่วงหน้า (Prospective payment system) โดยให้อัตรานั้นเท่ากับหนึ่งหน่วย RW ซึ่งในการเบิกจ่าย ขึ้นอยู่กับค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ หรือ Adjusted RW (AdjRW) ตามวันนอน (Length of stay = LOS) และตาม Medical & Surgical DRGs
แบบอัตราคงที่ เช่น การรับเข้านอนโรงพยาบาล (Fixed rate)
แบบรายวัน เช่น บริษัทประกันชีวิต ค่าชดเชยรายวัน (Daily rate)
การจัดอัตรากำลังคน (Staffing)
หมายถึง
การจัดอัตรากำลังคน เพื่อให้หน่วยงานมีกำลังคนทำงานอย่างเพียงพอ คนมีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถที่จะปฏิบัติงานเพื่อให้ผู้รับบริการหรือผู้ป่วยปลอดภัย
เป็นการคาดการคาดคะเน หรือวิเคราะห์จำนวนความต้องการขององค์กร
หลักการสำคัญในการจัดอัตรากำลัง
แบบแผนหรือรูปแบบในการจัดอัตรากำลัง และการจัดบริการพยาบาล ไม่ขึ้นกับประเภทหรือกลไกของการจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่ขึ้นอยู่กับชนิด ประเภทและความรุนแรงของผู้ป่วย
การจัดอัตรากำลัง ต้องอยู่บนพื้นฐานการมุ่งผลสัมฤทธิ์ด้านประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า คุณภาพ การดูแลผู้ป่วย ตอบสนองพันธกิจ และสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่โรงพยาบาลมุ่งหวัง
การประเมินผลการจัดอัตรากำลังต้องประเมินทั้งด้านคุณภาพการดูแลผู้ป่วยและคุณภาพชีวิต การทำงานของบุคลากร โดยสามารถประกันคุณภาพการพยาบาลได้
มีระบบการจัดเตรียมบุคลากรทดแทนให้เพียงพอในกรณีบุคลากรป่วยมีเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือมีปริมาณงานเพิ่มขึ้น(ผู้ป่วยมาก)และมีแผนการลดจำนวนบุคลากรเมื่อมีปริมาณงานลดลง
กระบวนการในการจัดอัตรากำลังทางการพยาบาล
การวางแผนอัตรากำลัง (Staffing plan) เป็นการคาดการณ์เกี่ยวกับ ประเภท คุณภาพ คุณสมบัติของบุคลากร เพื่อตอบสนองเป้าหมายขององค์กร
2.การจัดตารางการปฏิบัติงาน(Scheduling)เป็นกระบวนการควบคุมและประเมนกิจกรรม การจัดอัตรากำลัง เพื่อให้มีอัตรากำลังที่เหมาะสม เพียงพอในการให้บริการพยาบาล ตลอดช่วงเวลาของการ บริการ รวมทั้งการกำหนดวัน เวลาการปฏิบัติงาน และวันหยุดของบุคลากรทางการพยาบาล
3.การกระจายอัตรากำลัง(Staff allocation)เป็นกระบวนการกระจาย และการผสมผสานอัตรากำลังในแต่ละประเภทที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยงานให้เหมาะสมเพียงพอกับปริมาณภาระงานและความ ต้องการการพยาบาลของผู้ป่วยในช่วงเวลาปฏิบัติการนั้น
วัตถุประสงค์ในการจัดอัตรากำลัง
เพื่อกำหนดปริมาณอัตรากำลังให้มีบุคลากรทางการพยาบาลดูแลผู้ป่วยและให้บริการสุขภาพ อย่างเพียงพอ เหมาะสม และสมดุลกับภาระงานในแต่ละช่วงเวลาตลอด 24 ชั่วโมง
เพื่อสรรหาบุคลกรทางการพยาบาลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ ความชำนาญของบุคลากรทางการพยาบาลอย่างเต็มที่ และจัดสัดส่วนการผสมผสานอัตรากำลัง (Staffing mixed) อย่างเหมาะสม
เพื่อออกแบบการจัดตารางเวลาการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการพยาบาลให้เหมาะสมกับ ภารกิจของหน่วยงาน หรือ กำลังคนในแต่ละวันหรือแต่ละผลัด
การกระจายกำลัง (Staff allocation)
การกระจายอัตรากำลัง เป็นระบบการบริหารงานบุคคลที่สำคัญ เพื่อให้มีบุคลากรที่เพียงพอในการ ปฏิบัติงาน ทั้งจำนวนและความรู้ความสามารถ โดยใช้เครื่องมือทางการบริหารการพยาบาล คือการคิดภาระ งานและหาค่าร้อยละผลิตภาพ (Productivity) แล้วนำค่าผลิตภาพของแต่ละงานมาวิเคราะห์ ดูปัญหา ความ เป็นไปเปรียบเทียบกันทุกหน่วย จากนั้นผู้บริหารการพยาบาล ก็มาวางแผนเพื่อจัดการเกลี่ยพยาบาลให้มีภาระ งานอยู่ในระดับที่พอๆ กัน จะพิจารณาคนเก่าให้โยกย้ายแผนก หรือสรรหาพยาบาลใหม่มาทดแทนโดยเติมให้ เต็มในส่วนที่ขาด นอกจากอาจมีการวิเคราะห์งานนั้นร่วมด้วย แล้วจัดการในส่วนภาระงานที่ขาด ซึ่งอาจ กำหนดให้งานบางอย่างที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ปรับโยกไปเป็นงานของผู้ช่วยเหลือคนไข้แทน และพยาบาล มาทำหน้าที่ในการเป็นผู้ควบคุมกำกับ
ก่อนที่ผู้บริหารจะจัดอัตรากำลัง จำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องทราบและเข้าใจปัจจัยที่เกี่ยวข้อง กับคนทำงาน ดังต่อไปนี้
อายุ อายุเฉลี่ยของกำลังคนที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะในบริการพยาบาลที่ต้องจัดให้มีพยาบาล ปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น แนวโน้ม ของอายุเฉลี่ยของพยาบาลในหน่วยงานเป็นอย่างไร เพื่อการวาง แผนการจัดอัตรากำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพศ เป็นสิ่งสำคัญ แต่ก่อนพยาบาลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ในการจัดอัตรากำลังต้องจัดหรือ วาง แผนเผื่อการลาป่วยและลากิจ จากภาระกิจการดูแลบุตรเมื่อบุตรเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันได้มีพยาบาลเพศ ชายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ผู้บริหารการพยาบาลสามารถวางแผนการจัด กระจายพยาบาลเพศชายหรือหญิงให้ เหมาะสมกับงานมากยิ่งขึ้น
การผสมผสานวัฒนธรรม ปัจจุบันการสื่อสารวัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ถึงกันได้รวดเร็วมาก ทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้รับบริการมีสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เช่น ไทยพุทธ และไทยมุสลิม ต่างก็เป็นคนไทย และเป็นคนในพื้นที่ ตำบล อำเภอ หรือจังหวัดเดียวกัน แต่มีการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในการจัดและกระจายอัตรากำลัง ต้องพิจารณาในเรื่องวัฒนธรรม เข้ามาร่วมด้วย เพื่อจะให้มีคน ปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างแรงจูงใจ ที่จะให้ผู้ปฏิบัติงานได้ลาพักผ่อนหรือลาหยุด ไปร่วมทำกิจกรรมตามวัฒนธรรมหรือประเพณีของตนได้ โดยที่หน่วยงานยังมีบุคลากรปฏิบัติงาน
คนทำงานที่ไม่ได้ผลงานตามคาดหวัง ผู้บริหารควรทราบข้อมูลปัญหาการปฏิบัติงานระดับสมรรถนะของบุคลากรในหน่วยงานเพื่อจัดเตรียมให้การพัฒนาแก้ไขเพื่อให้บุคลากรสามารถทำงานได้ตามที่ต้องการผู้บริหารควรประเมินสมรรถนะและผลการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติอย่างจริงจัง และควรจัดคนที่ไป ปฏิบัติงานให้เหมาะสม ตรงตามสมรรถนะของแต่ละบุคคล
คุณค่า ความเชื่อมั่น ความศรัทธาในการทำงานแต่ละคนจะแตกต่าง ดังนั้นผู้บริหาร ควร ตระหนักและหล่อหลอมอย่างไรให้ ผู้ปฏิบัติงานทุกคนยึดมั่นผูกพัน และภักดีต่อองค์กร เทคนิคการจูงใจ การ ให้รางวัล การลงโทษทางวินัย ต่างๆ เหล่านี้อาจไม่ต้องนำมาใช้ หากผู้บริหารได้สร้างคุณค่า ต่อไปนี้โดยให้การ ยอมรับในความสามารถ ความสำเร็จ ให้การชื่นชม การนับถือ ให้เกียรติ ให้อิสระในการปฏิบัติงาน ให้ผู้ปฏิบัติ มามีส่วนร่วม รับรู้และตัดสินใจในงาน ให้เกิดความภาคภูมิใจในงาน มีความมั่นคงด้านการเงิน ให้ได้รับการ พัฒนาตนเอง อีกทั้งการดูแลในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่บ้าง
สรุป
การมอบหมายงานและความรับผิดชอบ
(Delegation and Responsibility)
การมอบหมายงาน
ความหมาย
เป็นการกำหนดความรับผิดชอบ อำนาจ ภายในขอบเขตที่กำหนด โดยตัวผู้บังคับบัญชาให้แก่ ผู้ร่วมงาน
การเขียนการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ในการพยาบาลผู้ป่วยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรับผิดชอบ โดยพิจารณาจาก ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์และความต้องการการพยาบาลของผู้ป่วย - เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ (authority) ความรับผิดชอบ (responsibility) และ ภ าระหน้าที่ (accountability) โดยการมอบ หมายงานจะเป็น การเสริมพ ลังอำนาจให้ แก่ผู้อื่น (empowerment) และสร้างความไว้วางใจ (trust)
การมอบหมายงานในหอผู้ป่วยในลักษณะ ดังนี้
การมอบหมายงานเป็นหน้าที่ โดยแบ่งไว้ว่าในเวรนี้ใครมีหน้าที่อะไรบ้าง ดังเช่น หน้าที่วัด สัญญาณชีพ หน้าที่ฉีดยา จัดยา แจกยา หน้าที่ทำแผล หน้าที่รับใหม่ จำหน่าย หน้าที่สอนสุขภาพ หน้าที่ รับผิดชอบ complete chart ตาม round แพทย์เป็นต้น
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อดี คือ สามารถพัฒนาทักษะจนชำนาญในเรื่องนั้น ประหยัดเวลา อุปกรณ์ ใช้บุคลากรน้อยลงแต่สามารถให้บริการผู้ป่วยจำนวนมาก อาจจะเหมาะสำหรับการปฏิบัติงานใน ระยะสั้นๆ
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อเสีย คือ อาจไม่ได้บูรณาการเป็นองค์รวม มีการขาดตอนตามงาน มุ่ง งานมากกว่ามุ่งคน เกิดผิดพลาดได้ง่ายเพราะรับผิดชอบลำพังคนเดียว เป็นการทำตามหน้าที่ของตนเองเท่านั้น สัมพันธภาพกับผู้ป่วยไม่ดีทำให้ขาดการเรียนรู้ของใหม่
การมอบหมายงานเป็นรายบุคคล (case method) เป็นการมอบหมายงานให้พยาบาล รับผิดชอบให้การพยาบาลผู้ป่วยโดยใช้พยาบาลหนึ่งคนหรือมากกว่า และต้องให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยที่ รับผิดชอบแบบองค์รวม ครบถ้วน
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อดี คือ พยาบาลได้ใกล้ชิดผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยหนัก สามารถ ช่วยเหลือได้ทันท่วงทีเข้าใจปัญหาของผู้ป่วย มีความไว้วางใจต่อกันมากขึ้น
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อเสีย คือ ต้องใช้พยาบาลและเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก จะรู้จักเฉพาะ
การมอบหมายงานแบบทีม (Team Method) ในทีมหนึ่งจะประกอบไปด้วย พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค เจ้าหน้าที่พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล นักศึกษาพยาบาล โดยมีพยาบาลวิชาชีพเป็นหัวหน้าทีม มี การวางแผนการทำงานร่วมกันและให้การพยาบาลอย่างครบถ้วนแก่ผู้ป่วยที่ได้รับมอบหมายตลอดจนการ ประเมินผลร่วมกันโดยพยาบาลวิชาชีพเป็นผู้นำทีม
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อดี คือ สามารถให้การพยาบาลได้ครบถ้วนและมีคุณภาพ ได้ใช้ความรู้ ความสามารถตรงตามศักยภาพและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี ทุกคนมีความสำคัญ มีคุณค่าเท่าเทียมกันทั้งทีม ช่วยให้มีความกระตือรือร้นมากขึ้น
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อเสีย คือ หากลืมหรือเกิดความไม่ทั่วถึงในการให้การบริการพยาบาลแก่ ผู้ป่วยอาจหาคนที่ต้องรับผิดชอบในงานนั้นๆ ได้ยาก ส่วนใหญ่วิธีการนี้มีผลเสียน้อยหากทุกคนรู้บทบาทของ ตนเองเป็นอย่างดีและมีความรับผิดชอบสูง
การมอบหมายงานแบบเจ้าของไข้ (Primary Nursing) การมอบหมายแบบนี้คล้ายกับการ พยาบาลรายบุคคล แต่ต่างกันตรงที่แบบเจ้าของไข้นี้พยาบาลจะต้องวางแผนให้การพยาบาลที่ได้รับมอบหมาย ตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องรับผิดชอบตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล และต้องประสานกับทีม สุขภาพ เช่น แพทย์พยาบาล นักโภชนากร นักสังคมสงเคราะห์ตามสถานการณ์
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อดีคือ พยาบาลได้เข้าใจปัญหาของผู้ป่วยและสามารถให้การพยาบาลได้ อย่างต่อเนื่องและสมบูรณ์แบบ มีการทำงานประสานกับวิชาชีพอื่นๆ ในทีมสุขภาพเพื่อประโยชน์แก่ผู้ป่วย เป็นการกระจายอำนาจ ความรับผิดชอบของหัวหน้าให้แก่พยาบาล
การมอบหมายงานวิธีนี้มีข้อเสีย คือ ต้องใช้พยาบาลจำนวนมากจึงจะเพียงพอกับผู้ป่วย มีความ ยุ่งยากในการจัดเวรดูแลผู้ป่วย
การมอบหมายงานแบบผสม (Multiple Method) เป็นการผสมผสานกันหลายๆ แบบ เช่น แบบ ทีมร่วมกันกับแบบตามหน้าที่ แบบรายบุคคลร่วมกับแบบทีม ซึ่งอาจแก้ปัญหาพยาบาลไม่เพียงพอได้ การมอบหมายงานในแต่ละรูปแบบก็มีทั้งจุดดีและจุดด้อย บางหน่วยงานอาจเหมาะกับแบบหนึ่งแต่ อีกหน่วยงานหนึ่งอาจไม่เหมาะต่อการมอบหมายงานแบบนี้อาจมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง หลายอย่าง เช่น นโยบาย ของผู้บริหาร ลักษณะของหอผู้ป่วย ความรุนแรงและความซับซ้อนของปัญหาผู้ป่วย ปริมาณของพยาบาลและผู้ป่วย
ลักษณะของความรับผิดชอบ
บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรที่มีต่อองค์กร
ทำความกระจ่างชัดกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กร
คิดว่างานที่ได้รับมอบหมายเป็นงานที่ท้าทายความรู้ ความสามารถและศักยภาพของ ตนเอง
ช่วยกันดูแลทรัพยากรที่มีอยู่ให้นำไปใช้ประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด ไม่ฉวยโอกาส จากองค์กร
ร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ร่วมกัน ส่งเสริมให้มีการกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าลงมือทำ
ร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ร่วมกัน ส่งเสริมให้มีการกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าลงมือทำ
การจัดการทรัพยากร
พัฒนาระบบบริหาร จัดการทรัพยากร และกำหนดโครงสร้างด้านทรัพยากรบุคคล ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และภารกิจหลักของโรงพยาบาล ครอบคลุมด้านการวางแผนอัตรากำลัง
การสรรหา คัดเลือก บรรจุ และการประเมินผลการปฏิบัติงาน
โดยมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากร มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม สอดคล้องกับภารกิจหลัก ของหน่วยงานและโรงพยาบาล มีการประเมินความต้องการ และกำหนดเนื้อหาในการพัฒนา
มีแผนพัฒนาบุคลากร มีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าประจำการ การเพิ่มพูนความรู้ระหว่างการปฏิบัติงาน ตลอดจนมีการประเมินแผนพัฒนาบุคลากรเป็นระยะ
พัฒนาระบบการประเมินภาระงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างยุติธรรม เสมอภาค โปร่งใส และตรวจสอบได้
ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของบุคลากร เพื่อทำให้เกิดแรงจูงใจ ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพ โดยจัดให้มีการศึกษาความต้องการ และประเมินความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งมีการตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม (งานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล)
โรงพยาบาลราชวิถี,(2563)
การบริหารการเปลี่ยนแปลง
(Change Management)
หมายถึง
การบริหารการเปลี่ยนแปลง หมายถึง การจัดการกับเหตุการณ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเหมาะสม และทำให้เกิดการพัฒนาองค์กรทั้งเชิง ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
พอล เอฟ. วิลสัน และคณะ การบริหารการเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการปรับปรุงหรือทบทวน
การออกแบบการปฏิบัติการเทคนิค หรือระบบ รวมทั้งส่วนที่เป็นโครงสร้าง และไม่ใช่โครงสร้าง เช่น กระบวนการ องค์กร การทบทวนเอกสาร โดยอาศัยการวางแผนการเปลี่ยนแปลง
การบริหารการเปลี่ยนแปลง อาจหมายถึง “ความสามารถของผู้บริหารระดับกลาง ในการดึงความ ร่วมมือของผู้บริหารระดับสูง และลดการต่อต้านจากบุคลากร ระดับปฏิบัติการ เพื่อสร้างสรรค์การ เปลี่ยนแปลง” เนื่องจากโดยทั่วไป บุคลากรในหน่วยงาน จะมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
“การบริหารการเปลี่ยนแปลง” เป็นการรวมพลังของหลักการบริการทั้ง 4 หลัก คือ บุคลากร เงิน วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการ เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่การเปลี่ยนแปลง โดยมี“การจัดการ” เป็นแกนกลางใน การดึงพลังจากบุคลากร ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง จัดสรรงบประมาณที่สามารถสนับสนุนให้บุคลากรมี ความเต็มใจ ที่จะปฏิบัติตาม และสรรหาวัสดุอุปกรณ์ในการดำ เนินการอย่างเพียงพอ
รูปแบบของการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงเชิงรุก (Proactive
เป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อนที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลง จากผู้อื่นซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์สถานการณ์ และแนวโน้มสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อเตรียมการรองรับถึงผลที่จะเกิดขึ้นหากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มีผลในเชิงลบก็จะทำให้เกิดผลที่ไม่รุนแรง
การเปลี่ยนแปลงเชิงรับ (Reactive)
เป็นการถูกเปลี่ยนแปลงโดยผู้อื่น อาจจะเป็นในเชิงจาก หน่วยงานต้นสังกัด หรือเป็นนโยบายระดับองค์กร ระดับประเทศก็ได้ ทั้งๆ ที่ บุคคลในองค์กรอาจไม่ยอมที่จะ เปลี่ยนแปลง หรือมีความคิดติดยึดในแบบเดิมๆมานาน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อาจมีผลกระทบต่อผู้ที่ ได้รับการเปลี่ยนแปลง มีการต่อต้านได้ หากไม่ได้รับการสื่อสาร การประสานงาน หรือการเตรียมตัวให้พร้อม มาก่อน
มีกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง
ช่วงละลายพฤติกรรม (Unfreezing) เป็นความพยายามละลายระบบ หรือรูปแบบพฤติกรรมเดิม เปรียบเสมือนละลายน้ำแข็งให้เป็นน้ำ ทั้งนี้ จะต้องทำให้บุคคลรู้สึกมีความมั่นคง โดยจะหลีกเลี่ยงการคุกคามหรือทำให้มีความเสี่ยงโดยใช้วิธีการจูงใจทั้งเชิงบวกและเชิงลบในการบริหารงาน
ช่วงการเปลี่ยนแปลง(Changing)เป็นช่วงที่เป็นการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่จน นำไปสู่พฤติกรรมที่องค์กรพึงปรารถนา โดยผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การสอนงาน การพัฒนา ฝึกอบรม
ช่วงตกผลึกอีกครั้ง(Refreezing)เป็นช่วงที่พฤติกรรมใหม่ที่ได้จากการเรียนรู้เริ่มจะอยู่ตัวจึงต้อง มีการเสริมแรงให้พฤติกรรมธำรงอยู่อย่างยั่งยืน โดยการจัดทำเป็นระบบ มาตรฐานและมีกระตุ้นและจูงใจให้ บุคคลปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
การตอบสนองของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น สามารถแยกออกเป็น 3 รูปแบบคือ
การตอบสนองของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น สามารถแยกออกเป็น 3 รูปแบบคือ
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อาจย้อนกลับมาทำลายทั้ง บุคคล และหน่วยงานนั้นได้
การไล่ตามการเปลี่ยนแปลง ขณะที่การไล่ตามการเปลี่ยนแปลง เป็นวิธีการที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะ หน่วยงานที่จะตามทันการเปลี่ยนแปลง ต้องมีศักยภาพที่ไม่ต่างจาก อัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนั้น หากเปรียบเป็นนักวิ่ง ควรจะมีฝีเท้าที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งหากหน่วยงานนั้น มีสมรรถนะที่ตํ่ากว่าการ เปลี่ยนแปลง อาจทำ ให้หน่วยงานต้องสูญเปล่า กับการไล่ตามการเปลี่ยนแปลง
การนำ การเปลี่ยนแปลงมาใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นรูปแบบการตอบสนองที่สร้างความปลอดภัย
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลง
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง อาจย้อนกลับมาทำลายทั้ง บุคคล และหน่วยงานนั้นได้
การไล่ตามการเปลี่ยนแปลง ขณะที่การไล่ตามการเปลี่ยนแปลง เป็นวิธีการที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะ หน่วยงานที่จะตามทันการเปลี่ยนแปลง ต้องมีศักยภาพที่ไม่ต่างจาก อัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนั้น หากเปรียบเป็นนักวิ่ง ควรจะมีฝีเท้าที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งหากหน่วยงานนั้น มีสมรรถนะที่ตํ่ากว่าการ เปลี่ยนแปลง อาจทำ ให้หน่วยงานต้องสูญเปล่า กับการไล่ตามการเปลี่ยนแปลง
3.การนำ การเปลี่ยนแปลงมาใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นรูปแบบการตอบสนองที่สร้างความปลอดภัย ที่สุด
ลักษการต่อต้านต่อการเปลี่ยนแปลง
(1) การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง (Denial) บุคคลประเภทนี้จะหลีกหนีการร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น วิธีการแก้ไขที่ดีคือ ใช้การชี้แจงถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง และประโยชน์ที่จะได้รับ
(2) การต่อต้านเงียบ (Passive Resistance) บุคคลประเภทนี้จะแสดงตนเหมือนพร้อมให้ความ ร่วมมือ แต่เมื่อต้องปฏิบัติงาน จะไม่ให้ความร่วมมือ สังเกตได้ว่าไม่ค่อยเข้าร่วมประชุม หรือมักจะถ่วงเรื่อง ต่างๆ ไว้ให้ทุกอย่างดำ เนินไปอย่างล่าช้า วิธีการแก้ไขคือ ต้องเปิดโอกาสให้ได้แสดงความรู้สึก หรือความ คิดเห็นออกมา ดีกว่าเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นไว้
(3) การต่อต้านอย่างเปิดเผย (Active Resistance) บุคคลประเภทนี้จะแสดงความไม่เห็นด้วย อย่างเปิดเผย และมักจะโน้มน้าวให้ผู้อื่นคล้อยตามตนเอง อาจสังเกตได้ว่าจะแสดงความไม่พอใจโดยบันทึกข้อความส่งถึงผู้บริหารหรือผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์วิธีการที่รับมือดีที่สุดคือการตอบกลับบุคคลเหล่านี้อย่างใจเย็นมีเหตุผลและหนักแน่นอย่าโต้ตอบด้วยความรุนแรงกลับไปการใช้กล่องรับฟังความคิดเห็นเพื่อลดแรงต่อต้านและนำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์ปรับเปลี่ยนแผนการเปลี่ยนแปลงในกรณีที่จำเป็น
ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมก่อให้เกิดโอกาส ใหม่ๆ เสมอ
1.สาเหตุภายนอก
2.สาเหตุภายใน
ทำไมองค์กรจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่อบุคลากรและองค์กรอย่างไร
เพื่อพัฒนาบุคคลากรในองค์กร และผู้บริหารให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มมากขึ้น
เพื่อปรับให้เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน
เพื่อเกิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ
เพื่อปรับปรุงนโยบายต่างๆให้ไปในทางที่ดีขึ้น
เพื่อปรับปรุงนโยบายต่างๆให้ไปในทางที่ดีขึ้น
เพื่อปรับปรุงแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบาย
เพื่อสนองความต้องการของบุคคลากร
เกิดวัฒนธรรมใหม่ๆในองค์กร
เกิดระตุ้นการทำงานของคนในองค์กร หรือ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ของคนในองค์กร
มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และ มีการปรับตัวให้อยู่ในองค์กรนั้นๆได้
บุคคลากรเกิดการพัฒนาในองค์กร
บุคคลากรมองเห็นถึงเป้าหมายของการทำงานมากขึ้น
นโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหาทรัพยาบุคคลากรทางการพยาบาลอย่างไร เพราะเหตุใด
พัฒนาระบบบริหาร จัดการทรัพยากร และกำหนดโครงสร้างด้านทรัพยากรบุคคล ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ และภารกิจหลักของโรงพยาบาล ครอบคลุมด้านการวางแผนอัตรากำลัง การสรรหา คัดเลือก บรรจุ และการประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากร มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม สอดคล้องกับภารกิจหลัก ของหน่วยงานและโรงพยาบาล มีการประเมินความต้องการ และกำหนดเนื้อหาในการพัฒนา มีแผนพัฒนาบุคลากร มีการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าประจำการ การเพิ่มพูนความรู้ระหว่างการปฏิบัติงาน ตลอดจนมีการประเมินแผนพัฒนาบุคลากรเป็นระยะ
พัฒนาระบบการประเมินภาระงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างยุติธรรม เสมอภาค โปร่งใส และตรวจสอบได้
ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของบุคลากร เพื่อทำให้เกิดแรงจูงใจ ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพ โดยจัดให้มีการศึกษาความต้องการ และประเมินความพึงพอใจของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งมีการตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม
งานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
โรงพยาบาลราชวิถี,(2563)