Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร, ทฤษฎีการบริหารคลาสสิค (Classical…
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารคลาสสิค (Classical organizational theory)
เป็นทฤษฎีการบริหารที่ประกอบด้วยแนวคิด/หลักการที่สำคัญ ได้แก่ หลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์ หลักการจัดการตามหลักการบริหารและหลักการจัดการตามระบบราชการ
หลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์(Scientific Management)
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีการขยายโรงงานเพิ่มขึ้นและต้องการเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น จึงได้กําหนดรูปแบบและวิธีการการทํางานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งผู้เสนอแนวคิด ได้แก่ Frederick Winlow Taylor ได้เสนอหลักการบริหารไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1) Scientific Job Analysis
2) Selection of Personnel
3) Management Cooperation
4) Functional Supervising
หลักการจัดการตามหลักการบริหาร (Administrative Management) ผู้เสนอแนวคิดนี้ ได้แก่ Henri Fayol Fayol เป็นผู้คิดค้นหลักการ 14 หลักการ จนได้ชื่อว่าเป็น“ผู้ริเริ่มหลักการจัดการตามหลักการบริหาร”
หลักการจัดการตามระบบราชการ (Bureaucracy management) ผู้เสนอแนวคิดคือ Max Weber โดยให้ความสําคัญกับการจัดการตามระบบราชการเนื่องจากเชื่อว่าหลักการจัดการตามระบบราชการเป็นวิธีที่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน และเป็นวิธีการจัดการที่เหมาะสมกับองค์การขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างองค์การซับซ้อน Max Weber เสนอหลักการจัดการตามระบบราชการ 7 หลักการคือ
1) การแบ่งงานกันทํา (division of work) ตามความรู้ ความชํานาญ (specialization)
2) การจัดตําแหน่งตามสายบังคับบัญชา (scalar chain) จากระดับสูงมายังระดับรอง
3) การกําหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน
4) บุคคลทําหน้าที่ที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยไม่ยึดความเป็นส่วนตัว
5) การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ (professional qualities)
6) มีความก้าวหน้าในอาชีพ (career aspects)
7) มีอํานาจตามกฎหมาย (legal authority)
ทฤษฎีการบริหารตามแนวมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations)
เริ่มต้นจากการศึกษา Hawthorne ที่ Hawthorne Plant of Western Electric ซึ่งการศึกษาเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกวางขวางว่าเป็นงานวิจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อทฤษฎีการบริหาร ดังรายละเอียดต่อไปนี้ การศึกษาHawthorne (The Hawthorne Studies) ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวิน
การศึกษาHawthorne (The Hawthorne Studies) โดย Elton Mayo และ Fritz Roethlisberger ซึ่งการศึกษา Hawthorne ประกอบด้วยการทดลองหลายอย่าง ได้แก่ Relay Assembly Test Room, Relay Assembly Group
รวมทั้งการสัมภาษณ์พนักงานจํานวน 21,126 คน เพื่อศึกษาว่าพนักงานชอบและไม่ชอบสภาพแวดล้อมการทํางานอย่างไร ซึ่งผลการสัมภาษณ์และการสังเกตในระหว่างการทดลอง ชี้ให้เห็นว่าการเพิ่มผลผลิตเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มและการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าความต้องการของนายจ้าง ซึ่งผลการศึกษา Hawthorne ชี้ให้เห็นถึงความสําคัญของการทําความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมกลุ่ม
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวิน โดย Kurt Lewin นักจิตวิทยาสังคมชาวเยอรมัน ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถูกพัฒนามาจากหลักการทฤษฎีสนาม Kurt Lewin ทําการวิจัยเพื่อศึกษาอิทธิพลของสัมพันธภาพระหว่างผู้ร่วมงานและบรรยากาศในการทํางานที่มีต่อพฤติกรรม ของผู้ปฏิบัติงาน ผลจากการวิจัยแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของบุคคลเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมี 3 ระยะ ได้แก่ พฤติกรรมของบุคคลในระยะการละลายพฤติกรรม ระยะการการเปลี่ยนแปลง ระยะรักษาดุลยภาพการเปลี่ยนแปลง
1) ระยะการละลายพฤติกรรม (Unfreezing) เป็นระยะเริ่มแรกที่บุคคลรับรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ในระยะนี้บุคคลจะต่อต้าน
2) ระยะการการเปลี่ยนแปลง (Changing) เป็นระยะที่บุคคลเข้าใจความจําเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง จึงลดปฏิกิริยาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและมีเจตคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลง
3) ระยะรักษาดุลยภาพการเปลี่ยนแปลง (Refreezing) เป็นระยะที่บุคคลเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลง
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวิน ยังอธิบายว่าในสภาวะปกติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถือเป็นสภาวะสมดุล (state of equilibrium or status quo) ที่แรงขับเคลื่อน (driving force) เท่ากับแรงต่อต้าน (restraining force) ส่วนระยะที่กําลังดําเนินการเปลี่ยนแปลงแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงซึ่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและ แรงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงซึ่งขัดขวางการเปลี่ยนแปลงจะปะทะกัน หากแรงขับเคลื่อนมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าแรงต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นจะประสบผลสําเร็จ หากแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าแรงต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ประสบผลสําเร็จ
ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Theory)
ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เป็นแนวคิดทฤษฎีที่ศึกษาพฤติกรรมของบุคคลหรือการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การโดยมุ่งทําความเข้าใจเกี่ยวกับคนเป็นหลักและเน้นเรื่องคุณภาพของคนมากกว่าเรื่องงาน ซึ่งทฤษฎีการบริหารที่เชิงพฤติกรรมศาสตร์ ประกอบด้วยแนวคิดและทฤษฎีที่สําคัญ ได้แก่ ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ และทฤษฎีสองปัจจัย
ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (Maslow’s Motivation Theory) โดย Abraham Maslow นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation Theory) มีสาระสําคัญ คือ
1) มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด
2) มนุษย์พยายามหาวิธีการต่างๆ ที่จะทําให้ตนเองได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการ
3) ลําดับขั้นความต้องการของมนุษย์มี 5 ลําดับขั้นดังนี้
ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกายภาพ
ขั้นที่ 2 ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย
ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของสังคมขั้นที่ 4 ความต้องการการยอมรับนับถือ
ขั้นที่ 5 ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต
ทฤษฎีสองปัจจัย (Two-Factor Theory) พัฒนาโดย Frederick Herzberg ในปี ค.ศ. 1950-1959 ซึ่งทฤษฎี 2 ปัจจัย ประกอบด้วยปัจจัยจูงใจหรือปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นในการทํางาน และปัจจัยสุขอนามัยหรือปัจจัยที่ช่วยลดความไม่พึงพอใจในการทํางาน 1) ปัจจัยจูงใจ (motivation factors) เป็นปัจจัยภายในหรือความต้องการภายในของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานทํางานด้วยความพึงพอใจ และเป็นปัจจัยที่จะนําไปสู่ทัศนคติทางบวกและการจูงใจท่ีแท้จริง ประกอบด้วยปัจจัย 10 ด้าน คือ
1] นโยบายและการบริหารขององค์การ
2] การบังคับบัญชาและการควบคุมดูแล
3] ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน
4] ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
5] ความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา
6] ตําแหน่งงาน
7] ความมั่นคงในการทํางาน
8] ชีวิตส่วนตัว
9] สภาพการทํางาน
10] ค่าตอบแทนและสวัสดิการ
2) ปัจจัยอนามัย (hygiene factors) เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดข้ึนได้
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จําเป็นที่ต้องได้รับการสนองตอบ ปัจจัยอนามัยประกอบด้วยปัจจัย 5 ด้าน คือ
1] ความสําเร็จในการทํางาน
2] การได้รับการยอมรับ
3] ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
4] ลักษณะงานที่ทํา
5] ความรับผิดชอบ
ทฤษฎีการบริหารยุคการจัดการร่วมสมัย (Contemporary Management Era)
ทฤษฎีการบริหารยุคการจัดการร่วมสมัย ประกอบด้วยแนวคิดและทฤษฎีที่สําคัญ ได้แก่ ทฤษฎีระบบ และทฤษฏีการบริหารเชิงสถานการณ์
ทฤษฎีระบบ (System Theory) พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1920 โดยบุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มพัฒนาทฤษฎีระบบคือ Ludwig von Bertalanffy ซึ่งการนําทฤษฎีการบริหารเชิงระบบมาใช้ในการบริหาร ด้วยเหตุผลที่ว่าในปัจจุบันองค์การมีการขยายตัวสลับซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นการยากที่พิจารณาถึงพฤติกรรมขององค์การได้หมดทุกแง่ทุกมุม นักทฤษฎีบริหารสมัยใหม่จึงหันมาสนใจการศึกษาพฤติกรรมขององค์การ เพราะคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบองค์การ และองค์การเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม ดังนั้น คําว่า “ระบบ” ในเชิงบริหาร จึงหมายถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันและมีส่วนกระทบต่อปัจจัยระหว่างกันในการดําเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ซึ่งองค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีระบบ มี 4 ประการ ได้แก่ 1) สิ่งนําเข้า (input) 2) กระบวนการจัดการ (process) 3) ผลผลิตหรือผลลัพธ์ (output) 4) ข้อมูลย้อนกลับหรือการป้อนกลับของข้อมูล (feedback)
องค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีระบบ มีดังนี้
1) สิ่งนําเข้า (input) หมายถึง ทรัพยากรที่นํามาใช้ประโยชน์ในกระบวนการจัดการ เช่น เงิน คน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร วิธีการทํางาน เป็นต้น
2) กระบวนการจัดการ (process) หมายถึงกระบวนการนําสิ่งนําเข้ามาใช้ในการจัดการ เช่น การวางแผน การจัดการองค์การ การอํานวยการ การควบคุม เป็นต้น
3) ผลผลิตหรือผลลัพธ์ (output) หมายถึง ผลลัพธ์โดยตรงที่เป็นผลจากกระบวนการจัดการ โดยวัดหรือประเมินจากสิ่งต่างๆ เช่น ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ คุณภาพ ความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงาน ความพึงพอใจของผู้รับบริการ เป็นต้น
4) ข้อมูลย้อนกลับหรือการป้อนกลับของข้อมูล (feedback) เป็นการนําข้อมูลจากผลผลิตหรือผลลัพธ์ย้อนกลับไปยังสิ่งนําเข้าเพื่อนําไปใช้ในการปรับปรุงกระบวน การบริหารอย่างต่อเนื่อง
ทฤษฏีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory)
เป็นทฤษฎีที่ใช้หลักการจัดการที่ว่าองค์การเป็นระบบเปิด และสภาพภายในและภายนอกองค์การมีการเปลี่ยนแปลงตามบริบทของโลก ดังนั้น ผู้จัดการหรือผู้บริหารต้องใช้ดุลยพินิจในการนําวิธีการจัดการมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งมีสาระสําคัญของการบริหารเชิงสถานการณ์ ดังนี้
1) การบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
2) ผู้บริหารจะต้องสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด
3) สถานการณ์จะเป็นตัวกําหนดการตัดสินใจและรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม
4) เป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิดและยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
5)คํานึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอัน ดีเลิศมาใช้ในการทํางาน โดยใช้ปัจจัยด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย
6) การออกแบบองค์การต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
7) ผู้บริหารต้องรู้จักการพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน