Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
นศพต.ศุภิสรา พงศ์หล่อพิศิษฏ์ เลขที่ 63, :tada:แนวคิดและทฤษฎีการพยาบาล …
นศพต.ศุภิสรา พงศ์หล่อพิศิษฏ์ เลขที่ 63
:tada:แนวคิดและทฤษฎีการพยาบาล :tada:
ทฤษฎีการพยาบาลรอย
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
บุคคล
บุคคล หมายถึง ชีวะ-จิต-สังคม ที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในระบบของบุคคลนั้น เมื่อมีสิ่งเร้ามากระทบ บุคคลจะเกิดกระบวนการปรับตัว (Coping process) ซึ่งผลลัพธ์ของการปรับตัวจะแสดงออกเป็นพฤติกรรมการปรับตัว (Behavior) ของแต่ละบุคคลนั่นเอง
สุขภาพ
สุขภาพ ในแนวคิดของรอย หมายถึง ความคาดหวังของมิติการเป็นอยู่ของบุคคล การแสดงออกถึงสุขภาพและการเจ็บป่วยตามสภาพที่บุคคลเป็นอยู่จริง
การพยาบาล
การช่วยเหลือที่ให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และการพยาบาล มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีการปรับตัวที่เหมาะสมของบุคคลและการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นสาเหตุเพื่อบรรลุซึ่งการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต กระบวนการพยาบาลตามขั้นตอนที่ รอย เสนอไว้ มี 6 ขั้นตอน
4)การกำหนดเป้าหมายการพยาบาล (Goal setting)
เป็นข้อความที่บอกชัดเจนว่าผลลัพธ์ที่เป็นพฤติกรรม หรือการตอบสนองที่ควรจะเกิดขึ้นและเป็นผลจากการปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือให้บุคคลปรับตัวได้คืออะไร
2)การประเมินสิ่งเร้า (Assessment of stimuli)
เป็นขั้นตอนในการค้นหาสิ่งเร้าตรง สิ่งเร้าร่วม หรือสิ่งเร้าแฝง โดยเฉพาะสิ่งเร้าตรงเนื่องจากส่งผลต่อระบบของบุคคลมากที่สุด ผู้ประเมินจึงต้องรอบคอบ และต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งเร้าประเภทต่างๆ
5) การกำหนดการบำบัดทางการพยาบาล (Intervention)
การกำหนดเป้าหมายทางการพยาบาล เป็นการกำหนดว่าพยาบาลจะทำอะไรบ้างเพื่อทำให้บุคคลหรือกลุ่มคนมีการปรับตัวได้สำเร็จ
1)การประเมินพฤติกรรมการปรับตัว (Assessment of behavior)
หมายถึง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล ในเรื่องของการปรับตัว จากนั้นพยาบาลจึงตัดสินใจว่าพฤติกรรมที่รวบรวมได้นั้นเป็นพฤติกรรมที่เป็นการปรับตัวได้สำเร็จ หรือปรับตัวอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
6) การประเมินผล (Evaluation)
การประเมินผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายภายหลังจากที่พยาบาลปฏิบัติการพยาบาลแล้ว พยาบาลต้องประเมินพฤติกรรมการปรับตัวของผู้ป่วยอีกครั้ง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของระบบการปรับตัวเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้
3)การกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เป็นขั้นที่พยาบาลตัดสินว่า สถานการณ์ปรับตัวของระบบปรับตัวกลุ่มใด เรื่องใดไม่มีประสิทธิภาพ โดยต้องระบุพฤติกรรมที่สังเกตได้ควบคู่ไปด้วย
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่อยู่รอบๆ ทั้งภายในและภายนอกบุคคล ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวของบุคคลทั้งทางตรงและทางอ้อมในที่นี้จะเรียกสิ่งแวดล้อมทีส่งผลต่อบุคคลนี้ว่า “สิ่งเร้า (Stimuli)”
สิ่งนำเข้า (Input)
: เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกบั สิ่งแวดล้อมก่อให้เกิดสิ่งนำเข้าสู่ระบบการปรับตัวของบุคคล เรียกว่า
สิ่งเร้า(Stimuli)
ซึ่งมาจากสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกตัวบุคคล การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมจะกระตุ้นให้บุคคลเกิดปฏิกิริยาการปรับตัวตอบสนอง โดยสิ่งเร้าแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
2) สิ่งเร้าร่วม (Contextual stimuli)
หมายถึง สิ่งเร้าที่อยู่เบื้องหลัง แต่เสริมสร้างหรือมีส่วนร่วมให้สิ่งเร้าตรงมีผลกระทบต่อบุคคลมากขึ้นหรือลดลง
เช่น การรักษาด้วยรังสีในผู้ป่วยมะเร็ง หรือการล้างไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง
3) สิ่งเร้าแฝง (Residual stimuli)
หมายถึง สิ่งเร้าที่มากระทบบุคคลแล้ว ไม่ทราบปัจจัยที่มากระทบต่อบุคคลชัดเจน แต่อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลโดยไม่ทราบหรือระบุความรุนแรงได้แน่ชัด
เช่น ความเชื่อในการรักษาด้วยยาผีบอกในคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย ความเชื่อที่บอกต่อกันมาเรื่องการกินสมุนไพรเพื่อขับน้ำในคนไข้โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
1) สิ่งเร้าตรง (Focal stimuli)
หมายถึง สิ่งที่มากระทบบุคคลโดยตรงและส่งผลให้บุคคลนั้นมีการตอบสนองต่อสิ่งนั้นในทันทีทันใด
เช่นการเกิดโรค หรือ การเจ็บป่วยในคน เช่น โรคมะเร็งเต้านม โรคไต ฯลฯ
สิ่งนำออก(Output)
: สิ่งนำออกจากระบบการปรับตัวของบุคคลคือปฏิกิริยาตอบสนองซี่งเป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกต ตรวจสอบ หรือบอกได้ โดยอาจเป็นพฤติกรรมการปรับตัวได้(Adaptive behavior) หรือพฤติกรรมการปรับตวัที่ไม่มีประสิทธิภาพ(Ineffective behavior)พฤติกรรมการปรับตัวที่ดีจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงของบุคคลให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโต การมีชีวิตอยู่รอด สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์และเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้และพฤติกรรมที่ไม่ส่งเสริมให้บุคคลบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะเป็นพฤติกรรมการปรับตัวที่ไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งนำออกจากระบบจะป้อนกลับ (Feedback process) ไปเป็นสิ่งนำ เข้าระบบเพื่อการปรับตัวที่เหมาะสมต่อไป
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
ทฤษฎีของรอยเน้นถึงการปรับตัวและเน้นให้เห็นถึงคุณค่าของผู้ป่วย ซึ่งเป็นผู้รับบริการที่พยาบาลต้องให้ความสำคัญการส่งเสริมศักยภาพของผู้ป่วยนับว่าเป็นบริการจากพยาบาลที่มีคุณประโยชน์ต่อบุคคลในสังคม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
รู้จักการปรับตัวตามสถานการณ์ต่างๆ
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
คาลิสตา รอย หรือ Sister Callista Roy, CSJ เป็นภิกษุณีชาวอเมริกัน, นักทฤษฎีการพยาบาล,ศาสตรจารย์ และผู้แต่งหนังสือ รอยเป็นที่รู้จักในการสร้างรูปแบบการปรับตัวของการพยาบาล และศาสตราจารย์พยาบาลที่วิทยาลัยบอสตันก่อนจะเกษียณในปี 2560 รอยถูกกำหนดให้เป็น Living Legend ปี 2007 โดย American Academy of Nursing
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
กระบวนการเผชิญปัญหา (Coping process)
กลไกการควบคุม (Regulator subsystem)
เป็นกลไกที่ควบคุมการทำงานของร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ด้วยสมอง ได้แก่ ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเคมีต่างๆในร่างกาย
กลไกการคิดรู้ (Cognator subsystem)
เป็นกลไกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสมองในการสั่งการ ได้แก่ อารมณ์ การรับรู้ การเรียนรู้ การรับข้อมูล การตัดสินใจเป็นต้น ทั้งสองระบบนี้จะทำงานร่วมกันเสมอเพื่อให้ร่างกายมีการปรับตัวซึ่งรูปแบบของการปรับตัวของบุคคลจะแบ่งเป็น 4 ด้าน
การปรับตัวด้านร่างกาย (Physiologic mode)
หมายรวมถึงรูปแบบความต้องการพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต ได้แก่ อากาศ น้ำ สารอาหาร กิจกรรม การพักผ่อนนอนหลับ รวมถึงการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย
การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self-concept mode)
เป็นการผสมผสานความรู้สึก ความเชื่อเกี่ยวกับตนเองทั้งด้านภาพลักษณ์ ความคิด บุคลิกภาพ จิตวิญญาณ ความเชื่อรวมถึงศาสนา
1. อัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย (Physical self)
เป็นความรู้สึกของตนเองต่อร่างกายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาการทา หน้าที่ของอวยัวะต่างๆ ภาวะสุขภาพ และสมรรถภาพทางเพศอัตมโนทัศน์ด้านร่างกายแบ่งเป็น 2 ส่วน
การรับความรู้สึกของร่างกาย (Body sensation)
เป็นการปรับตัวเกี่ยวกัความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อภาวะสุขภาพ สมรรถภาพการทา งานของอวยัวะต่างๆ
ภาพลักษณ์ (Body image)
เป็นการมองการรับรู้ และยอมรับภาพที่ปรากฏของตน
2. อัตมโนทศัน์ด้านส่วนบุคคล(Personal self)
เป็นความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกบัความคาดหวงัค่านิยม อุดมคติ
ความั่นคงในตนเอง (Self-consistency)
เป็นความรู้สึกมั่นคงเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลงของบุคคล
อุดมคติแห่งตน (Self-idea)
เป็นสิ่งที่บุคคลมุ่งหวังที่จะทำ
ศีลธรรม จรรยา และจิตวิญญาณแห่งตน (Moral-ethical-spiritual self)
เกี่ยวข้องกบัความเชื่อในด้านศีลธรรม จรรยาศาสนา และค่านิยมของบุคคล
การปรับตัวด้านบทบาทหน้าที่ (The role function mode)
บทบาทหน้าที่ของบุคคล แบ่งเป็น 3 ระดับ
บทบาทปฐมภูมิ (Primary role)
เช่น บทบาททางเพศ
บทบาททุติยภูมิ (Secondary role)
เป็นบทบาททางสังคมของบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับบทบาทปฐมภูมิ เช่น บทบาทการเป็นมารดา บทบาทการเป็นครู บทบาทการเป็นลูกที่ดี บทบาทเหล่านี้บุคคลต้อง
ทำหน้าที่ตามบทบาทตลอดเวลา
บทบาทตติยภูมิ (Tertiary role)
เป็นบทบาทชั่วคราวที่เกิดขึ้นในบางช่วงของชีวิตที่บุคคลต้องทำหน้าที่ตามบทบาทนั้น เช่น การดำรงบทบาทของนายกรัฐมนตรี การดำรงบทบาทประธานศาล เป็นต้น บทบาทที่กล่าวมานี้มีผลต่อการปรับตัวของบุคคลทั้งสิ้น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้ตามบทบาทของตนเอง
การปรับตัวด้านการพึ่งพาอาศัย (Interdependence mode)
การปรับตัวด้านนี้ให้ความสำคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นไปตามบริบททางสังคมของบุคคลเกี่ยวข้องกับบุคคลเอง และสังคม โดยชนิดของความสัมพนัธ์ระหว่างบุคคลแบ่งไดเ้ป็น 2 ลักษณะ คือ
.
1 บุคคลที่มีความสำคัญ (Significant others)
เป็นผู้ที่มีความสำคัญหรือมีความหมายต่อชีวิตของบุคคลน้้น มากที่สุด
2 ระบบสนับสนุน (Support systems)
เกี่ยวข้องในการที่จะช่วยให้บรรลุถึงเป้าหมายการพึ่งพาระหวา่งกันของบุคคล
ระดับการปรับตัว (Adaptive level)
ตามแนวคิดทฤษฎีของรอยเชื่อว่า การปรับตัวเป็นการตอบ สนองภายในระบบ เมื่อมีเหตุการณ์เข้ามากระทบ การปรับตัวมีการ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งร่างกายจิตใจ อารมณ์ และสังคม ไม่สามารถแยกจากกันได้ บุคคลจะมีการ ปรับตัวเพื่อให้เกิดความปกติสุขหรือมีภาวะสุขภาพที่ดีแบ่งเป็น 3ระดับ
2)ระดับทดแทน (Compensatory)
เป็นระดับการปรับตัวของบุคคลขณะที่กำลังถูกท้าทายจากสิ่งเร้าภายนอก ทำให้บุคคลต้องมีการปรับตัว ปรับเปลี่ยนตนเอง เพื่อรักษาภาวะสมดุลของร่างกาย
3)ระดับเสียสมดุล (Compromised)
เป็นระดับการปรับตัวที่ร่างกายไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะสมดุลได้ หรือล้มเหลว ทำให้กระทบต่อภาวะสุขภาพและการดำรงชีวิต การทำงาน การทำหน้าที่
1) ระดับแข็งแกร่ง (Integrated)
เป็นระดับที่การปรับตัวของบุคคลขณะที่โครงสร้างและการทำหน้าที่สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างเป็นองค์รวม และสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของบุคคลได้
พฤติกรรมการปรับตัว
หมายถึง ผลลัพธ์ของการปรับตัว เป็นการแสดงออกหรือตอบสนองของบุคคลเมื่อได้รับสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อม แบ่งได้เป็น 2 แบบ
พฤติกรรมการปรับตัวที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Ineffective responses)
เป็นการตอบสนอง/พฤติกรรมต่อสิ่งเร้าในแบบที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งของระบบ แต่ทำให้ระบบเสียสมดุล ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของการปรับตัวอย่างหนึ่งอย่างใดได้
พฤติกรรมการปรับตัวสำเร็จ (Adaptive response)
เป็นพฤติกรรมการตอบสนองในเชิงบวก ส่งเสริมให้เกิดความแข็งแกร่งของบุคคล มุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย การมีชีวิตอยู่รอด (Survival) การเจริญเติบโต (Growth) สามารถสืบเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ มีความก้าวหน้า สามารถปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ (Mastery)
ทฤษฎีการพยาบาลไนติงเกล
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สุขภาพ
ความสามารถของผู้ป่วยที่จำดำรงภาวะสุขภาพที่ดี ด้วยพลังอำนาจของแต่ละบุคคล
สิ่งแวดล้อม
สถานการณ์และแรงผลักดันภายนอกของคุคคลที่จะมีผลโดยตรงต่อชีวิตและการพัฒนาแต่ละบุคคล
บุคคล
ผู้ป่วยที่เข้ามาทำการปฎิบัติรักษาการพยาบาลนั้น มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับบุคลทำให้มีศักยภาพในการซ่อมแซมสุขภาพ และสามารถฟื้นคืนสภาพได้
การพยาบาล
การจัดสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยให้สะอาด เงียบสงบ มีความอบอุ่น มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยมีพลังที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ ( Vital power ) วัตถุประสงค์หลักของการพยาบาลคือ การจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดการเยียวยาโดยธรรมชาติ
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
การพูดคุยและคอยสังเกตผู้ป่วยเพื่อให้ทราบถึงความต้องการของผู้ป่วย เช่น ภายในห้องมีเสียงรบกวนมากเกินไปหรือไม่
การให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมทำให้ผู้ป่วยสามารถคลายความวิตกกังวล
การทำความสะอาดห้องให้สะอาด และได้รับแสงแดดที่มากเพียงพอไม่อบอ้าวจนเกินไป อากาศที่ได้เท
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
หลักการพื้นฐานของทฤษฎี
เน้นสิ่งแวดล้อมที่เป็นสถานการณ์และแรงผลัดดันภายนอก ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตและพัฒนาการของบุคคล และการจัดหาสิ่งแวดล้อมเชิงคุณภาพให้บุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานและส่งเสริมให้เกิดการฟื้นหาย โดยมี องค์ประกอบ 5ประการ ที่ช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพ
1.ขั้นตอนการประเมิน : การสังเกตผู้ป่วย
1.1 สภาพและผลของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่อผู้ป่วย
มีเสียงดังรบกวนเกินไป ทำให้ผู้ป่วยพักผ่อนไม่ได้ หรือไม่
ภายในห้องผู้ป่วยอบอุ่นเพียงพอ มีแสงสว่างเพียงพอหรือไม่ มากหรือน้อยเกินไป
สิ่งแวดล้อมทั่วไปสะอาด และปราศจากภยันตรายใด ๆ
1.2อาหารและเครื่องดื่ม
อาหารนั้นมีคุณค่าอาหารเพียงพอเหมาะสมหรือไม่
ช่วงเวลาไหน ที่ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารได้เป็นพิเศษ
1.3ระดับความวิตกกังวล หรือความตื่นกลัว
พยาบาลตอบสนองต่ออาการวิตกกังวลต่าง ๆ ของผู้ป่วยอย่างไร
ผู้ป่วยแสดงออกถึงความวิตกกังวลอย่างไร ทั้งจากพฤติกรรมที่แสดงออก และจากคำพูดโดยตรงของผู้ป่วย
ญาติ หรือผู้ที่มาเยี่ยมมีความคาดหวังอย่างไร พูดคุยกับผู้ป่วยในลักษณะอย่างไร
1.4 ผลของความเจ็บป่วยต่อภาวะจิตใจ
พฤติกรรมเป็นอย่างไร เมื่อมีไข้
ผู้ป่วยมีปฎิกิริยาต่อความเจ็บปวดอย่างไร
2.ขั้นตอนวินิจฉัยทางการพยาบาล : เน้นไปที่ความต้องการของผู้ป่วย และระดับพลังชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม
ผู้ป่วยต้องการความอบอุ่น การถ่ายเทอากาศ การพักผ่อนนอนหลับ และอาหารอย่างเพียงพอ เหมาะสม
ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากความเจ็บปวด
3.ขั้นตอนการวางแผนการพยาบาล: การสื่อสารกับผู้ป่วยเพื่อวางแผนร่วมกัน
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าที่สบายและให้มีกิจกรมที่เหมาะสม
พยายามลดสิ่งรบกวนที่จะทำให้ผู้ป่วยตื่น
พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการกลับฟื้นคืนสภาพโดยเร็วของผู้ป่วย
4.ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาล : การปรับเปลี่ยนกิจกรรมการพยาบาล และสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย
จัดหาอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วย
ปรึกษาหารือกับครอบครัวญาติผู้ป่วย เพื่อลดความสิตกกังวลของผู้ป่วย
ขั้นตอนการประเมินผลปฏิบัติการพยาบาล ใช้หลักการสังเกตประเมินจากผลที่เกิดขึ้น
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ทฤษฎีการพยาบาลของไนติงเกล(Nightingale’s Environmental Theory)
ผู้คิดค้นคือ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล(Florence Nightingale)
เป็นชาวอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม คศ. 1820
ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 90 ปี ขณะนอนหลับในวันที่ 13 สิงหาคม คศ. 1910
ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล เริ่มชีวิตการเป็นพยาบาลที่ไคซ์เวิร์ธ ประเทศเยอรมันนีในปี
ค.ศ. 1851 ซึ่งไนติงเกลได้มีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยโดยการจัดการในเรื่องความสะอาด
การใช้ผ้าพันแผล ดูแลเตียงให้สะอาดและทำอาหารที่สดสะอาดทำให้สุขภาพดีขึ้น
จากประสบการณ์นี้ทำให้มีอิทธิพลต่อปรัชญาการพยาบาลซึ่งไนติงเกลบอกไว้ในหนังสือ Note on nursing : What It Is and What It Is Not ตัวอย่างฐานคติที่ปรากฏในหนังสือ เช่น
“ในบางระยะของการเจ็บป่วย ความร้อนของร่างกายจะลดต่ำลง ความร้อนของร่างกายที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ แสดงถึงการสูญสิ้นของพลังชีวิต ทำให้ไม่สามารถรักษาความร้อนในร่างกายไว้ได้” ( หน้า 17 )
“ผู้ป่วยที่ตื่นขึ้นหลังจากที่ได้หลับพักไปหลายชั่วโมง มีแนวโน้มที่จะหลับต่อมากกว่าผู้ป่วยที่ตื่นขึ้นหลังจากหลับไปชั่วไม่กี่นาที” ( หน้า 44 ) เป็นต้น
ฟลอเรนซ์ ไนติงเกลผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำและผู้บุกเบิกให้เกิดวิชาชีพการพยาบาลสมัยใหม่(modern nursing ) ท่านได้รับสมญานามเป็นที่รู้จักกันในนามของ
“สุภาพสตรีแห่งดวงประทีป” (Lady with the lamp)"
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
จุดเน้นของทฤษฎี
จุดเน้นของทฤษฎีทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการพยาบาลกับการแพทย์อย่างชัดเจน วิชาพยาบาลการปฏิบัติการพยาบาลที่เกิดขึ้น มุ่งไปที่บุคคลที่ประสบภาวะเจ็บป่วย และเป็นโรค คำว่า โรคเป็นกระบวนการกลับฟื้นคืนสภาพ ( Repatative process ) ปกติไม่ได้มีความหมายเฉพาะเพียงความผิดปกติในหน้าที่หรือการทำงานของอวัยวะในร่างกายเท่านั้น การหายจากโรคเป็นกลไกของธรรมชาติใจตัวผู้ป่วยเอง
หน้าที่ของพยาบาลคือ ส่งเสริมสนับสนุนให้กระบวนการหายจากโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ทฤษฎีการพยาบาลโอเรม
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
โดโรธี โอเรม (Dorothea Orem) เกิดที่เมืองมัลติเบอร์ รัฐแมรี่แลนด เกิด: 15 กรกฎาคม 1914 เสียชีวิตเมื่อ: 22 มิถุนายน 2007
โอเรมเริ่มทํางานในวิชาชีพ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1935 หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนพยาบาลจากโรงเรียนพยาบาลของโรงพยาบาลโพรวิเด็น ในกรุงวอชิงตันดีซี ได้รับการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโท สาขาการพยาบาลที่ Catholic University of America หลังจบการศึกษาระดับปริญญาเอก โอเรมได้ทําการสอน การให้คําปรึกษา เป็นนักศึกษาและ นักพัฒนาทฤษฎี โอเรมได้พิมพ์เผยแพร่หนังสือเกี่ยวกับแนวคิดของการดูแลผู้รับบริการโดยการช่วยเหลือให้บุคคลดูแล ตนเอง และช่วยให้สมาชิกในครอบครัวดูแลผู้เจ็บป่วยตั้งแต่ปีค .ศ.1956 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา หลักสูตรการพยาบาล ซึ่งแนวคิดถูก นํามาพัฒนาเป็นทฤษฎีที่รวมมโนมติสําหรับปฏิบัติการพยาบาลโดยเน้นการดูแลตนเองของผู้รับบริการเป็น เป้าหมายหลัก ในปีค.ศ. 1971 โอเรม ได้เสนอแนวคิดการทางการพยาบาลที่อธิบายแนวคิดการดูแลตนเอง ระบบการพยาบาล และปัจจัยพื้นฐาน และมีการเพิ่มเติมแนวคิด ความสามารถในการดูแลตนเอง ความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
ทฤษฎีความพร่องในการดูแลตนเอง (Theory of self-care deficit) ภาวะไม่สมดุลระหว่างความสามารถในการดูแลตนเองกับความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมดความพร่องในการดูแลตนเองจําแนกออกเป็น
ความพร่องในการดูแลตนเองอย่างสมบูรณ์ คือ ไม่สามารถดูแลตนเองได้เลย
ความพร่องในการดูแลตนเองบางส่วน คือ ภาวะที่บุคคลมีข้อจํากัดในการดูแลตนเองบางส่วน
เป็นแนวคิดหลักในทฤษฎีของโอเรม เพราะจะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการ ดูแลตนเองและความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นมีได้ ใน 3 แบบ ดังนี้
ในความสัมพันธ์ของ 2 รูปแบบแรกนั้นบุคคลสามารถบรรลุเป้าหมายความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด ได้ถือว่าไม่มีภาวะพร่อง(no deficit )
ความสัมพันธ์ในรูปแบบที่ 3 เป็นความไม่สมดุลของความสามารถที่มีไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมดจึงมีผลทําให้เกิดความบกพร่องในการดูแล ตนเอง ความพร่องในการดูแลตนเองเป็นได้ทั้งบกพร่องบางส่วนหรือทั้งหมด
ความต้องการน้อยกว่าความสามารถ (Demand is less than abilities: TSCD SCA )
ความต้องการมากกว่าความสามารถ ( Demand is greater than abilities : TSCD> SCA )
ความต้องการที่สมดุล (Demand is equal to abilities: TSCD = SCA )
3.ทฤษฎีระบบการพยาบาล (Theory of nursing system)
ทฤษฎีระบบพยาบาล เป็นระบบของการกระทําที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความสามารถและความต้องการการดูแลตนเองของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ โอเรมแบ่งระบบการพยาบาลออกเป็น 3 ระบบ คือ
ระบบทดแทนทั้งหมด (Wholly compensatory nursing system)
ระบบสนับสนุนและให้ความรู้ (Educative supportive nursing system)
ระบบทดแทนบางส่วน (Partly compensatory nursing system)
นอกจากนี้โอเรมยังได้อธิบายวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วย 5 วิธี
การชี้แนะ
การสอน
การกระทําให้
การสนับสนุน
การสร้างสิ่งแวดล้อม
ทฤษฎีการดูแลตนเอง (Theory of self-care)
การดูแลตนเองเป็นสิ่งจําเป็นในการมีชีวิตอยู่แนวคิดหลักของทฤษฎีนี้คือ การดูแลตนเอง (self care) เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นโดยความสมัครใจ เป็นการกระทําอย่างจงใจ และเรียนรู้ได้จากการมีปฏิสัมพันธ์
และการสื่อสารกับบุคคลอื่นโดยมีเป้าหมายเพื่อความสมบูรณ์ในโครงสร้างและหน้าที่การทํางานของร่างกายรวมทั้งพัฒนาการของมนุษย์ บุคคลที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่เป็นผู้มีสิทธิและความรับผิดชอบต่อการดูแลตนเอง เพื่อดํารงความเป็นเจ้าของชีวิตและสุขภาพของตนเองรวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อบุคคลที่อยู่ในความรับผ
1.ผู้ที่จะดูแล(Self care agency)ความสามารถในการดูแลตนเองเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างจงใจของบุคคลที่เปลี่ยนแปลงตาม ระยะพัฒนาการตั้งแต่วัยทารก จนถึงวัยชรา หรือเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะสุขภาพและปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โครงสร้างความสามารถในการดูแลตนเองมี3ระดับคือ
1) ความสามารถในการปฏิบัติการเพื่อการดูแลตนเองเป็นความสามารถในการคาดการณ์ ปรับเปลี่ยน และการลงมือปฏิบัติ
2) พลังความสามารถในการดูแลตนเอง
3)ความสามารถและคุณสมบัติขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นความสามารถที่จะรู้ที่จะทํา และคุณสมบัติหรือปัจจัยที่มีผลต่อการแสวงหาเป้าหมายของการกระทําแต่หากประเมินความสามารถโดยใช้การประเมินผู้ดูแลสามารถประเมินตามแนวคิดทฤษฎีความสามารถในการดูแลบุคคลอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบ เรียกว่า dependent care agency มี 3 ระดับ คือ
3.2พลังความสามารถ 10 ประการ
(Ten power component )
เป็นคุณลักษณะที่จําเป็นและ
เฉพาะเจาะจง สําหรับการกระทําอย่างจงใจเป็นตัวกลางเชื่อมการรับรู้และการกระทําประกอบด้วย
ความสนใจและเอาใจใส่ในตนเองในฐานะที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบ
ความสามารถที่จะควบคุมพลังงานทางด้านร่างกายของตนเองให้สามารถปฏิบัติกิจกรรม
ความสามารถที่จะควบคุมส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อการเคลื่อนไหวที่จําเป็นเพื่อการดูแลตนเอง
ความสามารถที่จะใช้เหตุผล
มีแรงจูงใจที่จะกระทําในการดูแลตนเอง
มีทักษะในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลตนเองและปฏิบัติตามการตัดสินใจ
มีความสามารถในการเสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองจากผู้ที่เหมาะสมและสามารถนําความรู้ไปใช้ได้
มีทักษะในการใช้กระบวนการทางความคิดและสติปัญญา การรับรู้ การจัดกระทํา
มีความสามารถในการจัดระบบการดูแลตนเอง
มีความสามารถที่จะปฏิบัติการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่องและสอดแทรกการดูแลตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งในแบบแผนการดําเนินชีวิต
3.3ความสามารถในการปฏิบัติเพื่อดูแลตนเอง (Capabilities for self – care operations)
2.ความสามารถในการปรับเปลี่ยน
ความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสามารถและควรกระทํา เพื่อตอบสนองความต้องการและความจําเป็นในการดูแลตนเอง
3.ความสามารถในการลงมือปฏิบัติ
เป็นความสามารถในการทํากิจกรรมต่างๆรวมถึงการเตรียมการเพื่อการดูแลตนเอง
1.ความสามารถในการคาดคะเน
ความสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลความหมายและความจําเป็นของการกระทํา รู้ปัจจัยภายในภายนอกที่สําคัญ เพื่อประเมินสถานการณ์
3.1ความสามารถและคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน (Foundational capabilities and disposition)
เป็นความสาของมนุษย์ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการรับรู้และการเกิดการกระทำ ซึ่งแบ่งออกเป็นความสามารถที่จะรู้ (Knowing) ความสามารถที่จะกระทำ (Doing) และคุณสมบัติหรือปัจจัยที่มีผลต่อการแสวงหาเป้าหมายของการกระทำ ประกอบด้วย
การรับรู้ในเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกตนเอง
การเห็นคุณค่าในตนเอง
นิสัยประจําตัว
ความห่วงใยในตนเอง
การจัดลําดับความสําคัญของการกระทํารู้จักเวลาในการกระทํา
หน้าที่ของประสาทรับความรู้สึกทั้งการสัมผัส มองเห็น ไ้ด้กลิ่นและรับรส
ความตั้งใจและสนใจสิ่งต่างๆ
ความเข้าใจในตนเองตามสภาพที่เป็นจริง
การยอมรับในตนเองตามสภาพความเป็นจริง
ความสามารถที่จะจัดการเกี่ยวกับตนเอง
ความสามารถและทักษะในการเรียนรู้ ได้แก่ ความจํา การอ่าน เขียน การใช้เหตุผลอธิบาย
ความต้องการการดูแล (Self care requisites)
2.1 ความต้องการโดยทั่วไปที่บุคคลทุกคนต้องการ (Universal self-care requisites)
การคงไว้ซึ่งอากาศ น้ํา และอาหารที่เพียงพอ
การคงไว้ซึ่งการขับถ่ายและการระบายให้เป็นไปตามปกติ
การป้องกันอันตรายต่อชีวิต หน้าที และสวัสดิภาพ
2.2 ความต้องการเฉพาะในแต่ละระยะของพัฒนาการ (Developmental self-care requisites)
เป็นการดูแลตนเองที่เกิดขึ้นจากกระบวนการพัฒนาการของชีวิตมนุษย์ในระยะต่างๆ เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และเหตุการณ์ที่มีผลเสียอุปสรรคต่อพัฒนาการ เช่นการเสียคู่ชีวิต
2.3 ความต้องการที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะสุขภาพและการดูแลสุขภาพ (Health deviation self-care requisites)เป็นการดูแลเองเมื่อมีความพิการ หรือความเจ็บป่วย การดูแลตนเองในภาวะนี้มี 6อย่างคือ
แสวงหาและคงไว้ซึ่งความช่วยเหลือจากบุคคลที่เชื่อถือได้
รับรู้ สนใจ และดูแลผลของพยาธิสภาพรวมทั้งผลที่กระทบต่อพัฒนาการ
3.ปฏิบัติตามแผนการรักษา การวินิจฉัย การฟื้นฟูสภาพและการป้องกันโรค
4.รับรู้และสนใจที่จะคอยปรับและป้องกันความไม่สุขสบายจากผลข้างเคียงของการรักษา
5.ดัดแปลงอัตมโนทัศน์และภาพลักษณ์ในการที่จะยอมรับภาวะสุขภาพของตนเอง
6.เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับผลของพยาธิสภาพ หรือผลของการวินิจฉัย
3.ความสามารถในการดูแล( Therapeutic self care demand)
กิจกรรมการดูแลตนเองทั้งหมดที่บุคคลควรจะต้องกระทำในระยะเวลาใดและระยะเวลาหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการการดูแลที่จำเป็นของตนในสถานการณ์นั้นหรือเป็นงานทั้งหมดที่ต้องกระทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งสุขภาพ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมเป็น สิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากบุคคลได้ สิ่งแวดล้อมจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคลลตลอดเวลาสิ่งแวดล้อมอาจมีผลกระทบในทั้งทางบวก และทางลบ ต่อชีวิต สุขภาพ ความสุข ของแต่ละบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์กันและสามารถควบคุมได้ และแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็น 4ประเภท
สิ่งแวดล้อมทางด้านกายภาพ
สิ่งแวดล้อมด้านเคมี
สิ่งแวดล้อมด้านชีวภาพ
สิ่งแวดล้อมด้านสังคม
สุขภาพ
สุขภาพ เป็นสภาพการทำงานร่วมก่อให้เกิดภาวะที่ความสมบูรณ์ของโครงสร้างการทำหน้าที่กายและจิตใจ สังคม
บุคคล
โอเรมใช้คำว่า Human being ในความหมายของบุคคลและอธิบายบุคคลว่าเป็นหน่วยเดียวของกายและจิต เป็นองค์รวมที่เป็นระบบเปิดและเป็นพลวัตร มีศักยภาพในการกระทำอย่างจงใจและมีเป้าหมาย มีความสามารถในการเรียนรู้ เกี่ยวกับตนเอง และสามารถวางแผนระบบระเบียบ ในการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการดูแลตนเองได้
การพยาบาล
การพยาบาลเป็นการช่วยเหลือทางสุขภาพที่มีลักษณะที่เฉพาะแตกต่างจากการช่วยเหลือผู้อื่นๆที่บุคคลได้รับเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายและจงใจเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ไม่สามารถดูแลตนเองหรือผู้ที่อยู่ใต้ความรับผิดชอบอันเนื่องมาจากสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ให้สามารถดูแลตนเองและบุคคลที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่องเพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตสุขภาพและการหายจากโรคหรือการบาดเจ็บการปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบของการเกิดโรคหรือการบาดเจ็บในสิ่งแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
โอเรม กล่าวถึงข้อตกลงพื้นฐานเกี่ยวกับมนุษย์หรือบุคคล (Human being) ดังนี้
2) ความสามารถของบุคคล (Human agency) เป็นความสามารถในการกระทําอย่างจงใจในรูปของการดูแลเพื่อตอบสนองความต้องการสําหรับตนเองและผู้อื่น
3) บุคคลมีโอกาสที่จะประสบกับข้อจํากัดในการดูแลตนเองและดูแลบุคคลที่อยู่ ภายใต้ความรับผิดชอบในการ
ดํารงไว้ซึ่งชีวิตและหน้าที่ของตนเอง
1) บุคคลต่องการสิ่งกระตุ้นที่มีระบบระเบียบและเจาะจง (deliberate inputs) ให้กับตนเองและสิ่งแวดล้อมของตนอย่างต่อเนื่องเพื่อการมีชีวิตรอดและทําหน้าที่ได้ตามความสามารถของแต่ละคน
4) บุคคลใช้ความสามารถในการค้นหา พัฒนา และถ่ายทอดวิธีการสนองตอบต่อความต้องการของตนเองและผู้อื่น
5) กลุ่มบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันอย่างมีโครงสร้าง แบ่งงานกันรับผิดชอบเพื่อที่จะดูแลสมาชิกในกลุ่ม
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
ระยะของการใช้สติปัญญา
การวินิจฉัยและกําหนดปัญหา
การกําหนดระบบพยาบาลและการวางแผนการพยาบาล
ระยะของการปฏิบัติ
การวินิจฉัยและการกําหนดปัญหา
1.1 การประเมินสภาพโดยการรวบรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
สถานทางสุขภาพ
แนวคิดของผู้ป่วยต่อสถานสุขภาพของตนเอง
ความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด
ความสามารถและข้อจํากัดหรือข้อบกพร่องในการกระทํากิจกรรมการดูแลตนเองทั้งหมดของผู้ป่วย
1.2 การวินิจฉัยปัญหา และกําหนดปัญหา
วินิจฉัยความต้องการการดูแลตนเองทั้งหมด
วินิจฉัยความสามารถในการดูแลตนเอง
วินิจฉัยความสามารถในการดูแลตนเอง โดยประเมินปริมาณและคุณภาพการดูแลตนเองของ
ผู้ป่วยว่าเพียงพอ หรือไม่และประเมินสาเหตุที่ทําให้ขาดความสามารถในการดูแลตนเอง
กําหนดระบบพยาบาลและวางแผนการพยาบาล
เลือกระบบการพยาบาลที่เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วย จากนั้นจึงเลือกวิธีการช่วยเหลือตามความเหมาะสม เช่น การชี้แนะ การให้คําปรึกษา และการจัดสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทฤษฎีการพยาบาลวัตสัน
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ทฤษฎีการดูแลของวัตสัน (Watson’s Caring theory) เป็นทั้งปรัชญา และทฤษฏีทางการพยาบาล ที่มีจุดเน้นที่การดูแล (Caring) ซึ่งพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 ภายใต้อิทธิพลทางด้านมานุษยวิทยา รวมทั้งความรู้สึกผูกพันต่อบทบาทการดูแลเพื่อการฟื้นหายของผู้ป่วย ประกอบกับประสบการณ์ของวัตสันขณะเผชิญความเจ็บป่วย เผชิญการสูญเสีย ปัจจุบันทฤษฎีนี้ได้รับการพัฒนาจนวัตสันเรียกว่าเป็น ศาสตร์การดูแลมนุษย์ (Human Caring Science) และมีการจัดตั้งศูนย์การดูแลมนุษย์ (Human science caring center) ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด รวมทั้งได้จัดตั้งสถาบันวิทยาศาตร์การดูแลวัตสัน (The Watson Caring Science Institute) ซึ่งมีลักษณะเป็นมูลนิธิที่มุ่งเน้นการพัฒนาทฤษฎีการดูแล การปฏิบัติการพยาบาล การวิจัย บนปรัชญาการดูแลมนุษย์ ทฤษฏีการดูแลของวัตสันได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำไปใช้ในการพยาบาลที่เน้นรูปแบบการดูแลที่เข้าถึงจิตใจกันระหว่างคนสองคน (Transpersonal caring model) เพื่อให้เกิดการฟื้นหาย (Healing) และมีการใช้เป็นแนวคิดเพื่อการศึกษาวิจัยในวงกว้างทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
การดูแลและความรักเป็นพลังสากล
การดูแลเป็นแกนกลางของการพยาบาล และเป็นจุดเน้นในการปฏิบัติการพยาบาล
การดูแลเชิงมนุษย์นิยมไม่ว่ารายบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ได้รับความสนใจจากระบบบริการสุขภาพน้อยลง
การพยาบาลต้องยึดถือการดูแลความเป็นมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพดีและการเจ็บป่วย
ค่านิยมเกี่ยวกับการดูแลของพยาบาลถูกบดบังไว้ เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ค่านิยม/อุดมคติการดูแลที่เน้นความเป็นมนุษย์จึงอยู่ในภาวะวิกฤต
ก่อนให้การดูแลบุคคลอื่น เราต้องตั้งเจตนาดูแลตนเองด้วยความสุภาพอ่อนโยน และรักษา ศักดิ์ศรีของตนเองเราจึงจะสามารถเคารพและให้การดูแลผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยนและเคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่น
การอนุรักษ์ไว้ และการศึกษาเรื่องการดูแลมนุษย์ให้มีความก้าวหน้า เป็นประเด็นสำคัญของวิชาชีพการพยาบาลทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การพยาบาลเป็นวิชาชีพที่ให้การดูแล การรักษาไว้ซึ่งค่านิยมนี้มีผลต่อพัฒนาความมีอารยธรรมของมวลมนุษย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของวิชาชีพต่อสังคม
10 การดูแลมนุษย์ทำได้โดยการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเท่านั้น จึงเป็นการสอนให้ค้นพบความเป็นมนุษย์
มนุษย์ต้องการความรักและการดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตแต่ก็มักละเลยที่จะประพฤติปฏิบัติต่อกัน จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้มีมากขึ้น เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีอารยธรรม
11 ประโยชน์ของวิชาชีพการพยาบาลต่อสังคมโดยรวมอยู่ที่การยึดมั่นในอุดมการณ์การดูแลเชิงมนุษย์นิยมทั้งด้านทฤษฎี การปฏิบัติ และการวิจัย
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
1.การดูแลที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล (Transpersonal Caring)
ผู้รับการดูแลและผู้ดูแลสามารถเข้าถึงความรู้สึกและสัมผัสจิตใจซึ่งกันและกัน จิตวิญญาณหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (A spiritual Union Occurs Between the Two Persons)
ตัวตน (Self)
บุคคลมีตัวตนทั้งลักษณะที่เป็นอยู่จริง (Self as it is) และตัวตนในอุดมคติ (Ideal Self)ที่บุคคลอยากจะเป็น รวมทั้งมีตัวตนสูงสุดคือ จิตวิญญาณ (Spiritual Self) ซึ่งเป็นแหล่งที่เกิดความตระหนัก
สนามปรากฏการณ์ (Phenomena Field)
หมายถึงภูมิหลังหรือประสบการณ์
การดูแลที่เกิดขึ้นจริง (Actual Caring Occasion)
เป็นการดูแลขณะเวลาที่พยาบาลผู้ให้การดูแลและผู้รับการดูแลรับรู้ตรงกันหรือเข้าใจถึงความรู้สึกซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ซึ่งนับเป็นการทำงานร่วมกันอย่างเสมอภาค (co-participant)
2. ปัจจัยการดูแล (Carative Factors)
เป็นปัจจัยที่เป็นตัวเชื่อมต่อ ตามแนวคิดของวัตสันอาศัยปัจจัยการดูแล 10 ประการ ดังนี้
5.การยอมรับการแสดงออกของความรู้สึกทั้งทางบวกและทางลบ (Expressing Positive and Negative Feelings)
6.การใช้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการดูแล (Creative Problem-Solving Caring Process)
4 .การสร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือไว้วางใจ (Helping-Trusting Human Caring Relationship)
7.การส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล (Transpersonal Teaching and Learning)
3.ความไวต่อความรู้สึกของตนเอง และบุคคลอื่น (Sensitivity of Self and others)
การสร้างความไวต่อความรู้สึกนี้ ช่วยให้บุคคลมีการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ
8. การประคับประคอง สนับสนุน และแก้ไขสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ จิตสังคม และ จิตวิญญาณ (Supportive, Protective, and/or Corrective Mental, Physical, Societal and Spiritual Environment)
9 .การช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล (Human Needs Assistance)
10.การเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณในการมีชีวิตอยู่ (Existential-Phenomenological-spiritual Forces)
1. ระบบคุณค่าการสร้างประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ (Humanistic Altruistic System of values)
การดูแลอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าสากล คือ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ และคุณค่าการเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น คุณค่าของมนุษย์ได้แก่ ความเมตตา ความห่วงใย ความเห็นใจ ความรักต่อตนเองและผู้อื่น ส่วนคุณค่าการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น
2. ความศรัทธา และความหวัง (Faith-Hope)
การสร้างความเชื่อ และสิ่งที่มีความหมายต่อผู้ป่วยเพื่อจะช่วยส่งเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพ
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
ใช้ในการดูแลผู้ป่วย และต้องมีเจตนาดูแลผู้ป่วยด้วยความสุภาพอ่อนโยน และเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วย
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
ขั้นประเมินสภาพ ( Assessment )
ความต้องการด้านกายและจิตใจ (Psycho-physical needs)
ความต้องการด้านจิตสังคม (Psycho-social needs)
ความต้องการด้านกายภาพและชีวภาพ (Biophysical needs)
ความต้องการการพัฒนาภายในตน (Intrapersonal needs)
ขั้นวินิจฉัยทางการพยาบาล ( Nursing Diagnosis )
การวินิจฉัยการพยาบาลเป็นการวินิจฉัยปัญหาในกรอบความต้องการจากการประเมินสภาพร่างกายและการตรวจทางห้องทดลอง
ขั้นวางแผนการพยาบาล ( Nursing plan )
การวางแผนการพยาบาลจะวางแผนร่วมกับผู้ป่วย โดยมีการตกลงในจุดมุ่งหมายร่วมกัน และกำหนดกิจกรรมที่เหมาะสม
ขั้นปฏิบัติการพยาบาล ( Implementation )
การปฏิบัติการที่จะให้ได้ตามแผนนั้นพยาบาลต้องใช้ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ และแนวคิดปัจจัยการดูแล 10 ประการเป็นตัวเชื่อมให้เกิดรับรู้ซึ่งกันและกัน
ขั้นประเมินผล ( Evaluation )
การประเมินจะดำเนินการหลังการปฏิบัติการพยาบาลโดยประเมินตามจุดมุ่งหมาย
ทฤษฎีการพยาบาลคิง
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
สร้างโย IMogene M. King พยาบาลชาวอเมริกา ปีค.ศ.1917 ได้เสนอ มโนทัศน์ระบบปฏิสัมพันธ์ (The Interacing Systeam framework) พัฒนามโนทัศน์เป็นทฤษฎีในปี ค.ศ.1981
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
6.บทบาท (Role)
การเจริญเติบโตและพัฒนาการ (Growth and Development)
5.การปฏิสัมพันธ์อย่างมีเป้าหมาย (Transaction)
8.กาละ (Time) กาละหรือเวลาแสดงถึงระยะระหว่างเหตุการณ์หนึ่งกับอีกเหตุการณ์หนึ่ง
4.การสื่อสาร (Communication)
การปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
2.อัตตา (Self) คือ การที่บุคคลปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
1.การรับรู้ (Perception)
10.ภาวะเครียด (Stress)
9.อาณาบริเวณ (Space)
ระยะใกล้ชิด (Intimate distance)
ระยะส่วนบุคคล (Personal distance)
ระยะทางสังคม (Social distance)
ระยะทางสาธารณชน (Public distance)
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
ทฤษฎีการบรรลุเป้าหมาย (Theory of goal attainment)
3.การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
1.การประเมินสภาพ (Assessment)
2.การวางแผนการพยาบาล (Planning)
4.การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
บุคคล (Person)
1.บุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
2.ทุกคนมีความนึกคิด มีความรู้สึกเป็นของตนเอง
3.ทุกคนมีเหตุผลของตนเอง
4.บุคคลเป็นผู้มีการรับรู้
5.มีความสามารถที่จะแสดงความโต้ตอบ (React) ตามการรับรู้ของตนเอง
6.มีความสามารถที่จะกระทำสิ่งต่างๆ(Action-oriented being)
7.มีความสามารถที่จะวางเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
8.มีความสามารถที่จะตัดสินใจและควบคุมตนเองได้
9.ทุกคนมีเวลาในเรื่องต่างๆที่เหมาะสมเฉพาะของตนเอง
สุขภาพ (Health)
ให้คำกัดกัดความ “ภาวะสุขภาพ” ว่าเป็นความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ ตามบทบาททางสังคมและ “ภาวะเจ็บป่วย” ว่าเป็นภาวะที่มีการเบี่ยงแบนของโครงสร้างร่างกายหรือจิตใจ หรือภาวะที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับสัมพันธภาพของบุคคลในสังคม
การพยาบาล (Nursing)
การช่วยบุคคลและกลุ่มคนให้ฟื้นคืนสภาพ
สิ่งแวดล้อม (Environment)
บุคคลมีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก และอธิบายความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกบุคคลไว้ ดังนี้ บุคคลมีความสามารถในการนำ พลังงานมาช่วยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
หายจากแผลผ่าตัดเร็วที่สุด เพื่อไปทำงาน
การลดความเครียดเพื่อที่จำไม่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม
ทฤษฎีการพยาบาลเพนเตอร์
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ความเป็นมาของทฤษฎี Health Promotion Model ทฤษฎีนี้มีฐานความคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ Albert Bandura ซึ่งสนใจในกระบวนการเรียนรู้ในการเปลี่ยนพฤติกรรม และจากทฤษฎี Fishbein’s theory ซึ่งเป็นทฤษฎีที่บอกการกระทำอย่างมีเหตุผลและบรรทัดฐานสังคม
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
4.บุคคลหาวิธีการที่จะทำให้พฤติกรรมดำเนินไปอย่างดี
วิธีการนำพาตนเองให้มีสุขภาพที่ดี
5.บุคคลมีความซับซ้อนในลักษณะร่างกาย อารมณ์ สังคม ซับซ้อนในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
บุคคลจะมีตัวแปรทั้งภายใน และภายนอกตน ต่อการที่จะเกิดพฤติกรรมใด ๆ
บุคคลมองคุณค่าของการเติบโต
รักษาสมดุลของตน
6.บุคลากรทางสุขภาพ
พยาบาลหรือบุคคลากรทางสุขภาพเป็นปัจจัยภายนอกที่
สำคัญต่อการเกิดพฤติกรรม
2.บุคคลมีความสามารถสะท้อนการตระหนักรู้
บุคคลสามารถทำความเข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งเกี่ยวกับความสามารถของตน
7.การปรับเปลี่ยนมุมมองต่อตนเองระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม
การจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นเริ่ม โดยตัวบุคคลนั้น ๆ
1.บุคคลจะสร้างเงื่อนไขของการดำรงอยู่
มนุษย์ทุกคนมีเป้าหมายสุขภาพที่ดี
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
คุณลักษณะของบุคคล และประสบการณ์ของบุคคล( Individual characteristics and experiences)
พฤติกรรมเดิมที่เกี่ยวข้อง (Prior related behavior)
ทั้งพฤติกรรมโดยตรงและโดยออ้ม
ปัจจัยส่วนบุคคล(Personal factors)
เช่น เพศ อายุ ลักษณะรูปร่าง เป็นต้น
การคิดรู้และอารมณ์ที่จeเพาะต่อพฤติกรรม (Behavioral specific cognitions and affect)
การรับรู้ถึงประโยชน์ของการกระทำ(Perceived benefits of action)
การรับรู้อุปสรรคของการกระทำ (Perceived barriers to action)
การรับรู้ความสามารถของตน(Perceived Self – Efficacy)
การได้รับคำพูดสนับสนุนว่าสามารถทำได้
สภาวะร่างกาย เช่น ความวิตกกังวล กลัว งุ่มง่าม ความสงบ
การมีประสบการณ์จากการสังเกต การปฏิบัติของบุคคลอื่น และการประเมินตนเองและได้รับข้อมูลย้อนกลับ
การที่จะบรรลุสู่พฤติกรรมเกี่ยวข้องกับมาตรฐานของตนเอง หรือการประเมินจากบุคคลอื่น
กิจกรรมและความเกี่ยวเนื่องผลที่ได้ (Activity – related affect)
อิทธิพลความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal influences)
อิทธิพลของสถานการณ์ (Situational influences)
ผลลัพธ์ของพฤติกรรม (Behavioral Outcome)
ความยึดมั่นต่อแผนปฏิบัติ
การยึดมั่นที่จะดำเนินตามการกระทำ
เฉพาะในเวลา สถานที่ และบุคคล
แยกแยะกลยุทธ์ในการที่จะปฏิบัติ การปฏิบัติบนข้อตกลง ด้วยความเข้าใจ
ความต้องการความชอบที่เกิดขึ้นขณะนั้น (Immediate Competing Demands and Preferences)
Competing demands
บุคคลสามารถเอาชนะได้บ้าง เช่น จากสภาพแวดล้อม ครอบครัว งานที่ทำ
Competing preferences
บุคคลมีพลังอ านาจในการที่จะควบคุมเล็กน้อย เช่น
ความชอบในการที่จะกินอาหารไขมันสูง แทนที่จะเลือกไขมันต่ำ
พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (Health promoting behavior)
ข้อความที่เป็นจริงของทฤษฎี (Propositions of Health Promotion Model)
ผ่านการพิสูจน์สามารถนำมาเป็นหลักคิดในการออกแบบกิจกรรมกระบวนการ
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
Health Promotion Model ฉบับปี คศ. 1987 แบ่งส่วนเป็นการรับรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบ นำมาสู่การประยุกต์ตามบุคคล สถานการณ์
1.การเห็นความสำคัญของสุขภาพ (Importance of health)
คือ การที่บุคคลมองว่าสุขภาพคือสิ่งที่มีคุณค่าที่ควรแสวงหา
2. รับรู้ว่าสุขภาพสามารถควบคุมได้(Perceived control of health)
บุคคลรับรู้และเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลงสุขภาพได้ตามต้องการ
3. รับรู้ความสามารถของตน (Perceive self – efficacy)
บุคคลมีความเชื่ออย่างมากกว่าพฤติกรรมสามารถเกิดได้ตามที่บุคคลกำหนด
4. คำจำกัดความของสุขภาพ
มีตั้งแต่การไม่มีโรคจนถึงสุขภาพสูงสุดทำให้บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
5. การรับรู้สภาวะสุขภาพ (Perceived health status)
สภาวะที่รู้สึกดี หรือรู้สึกป่วยสามารถแยกได้จากพฤติกรรมสุขภาพ
6. การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรม (Perceived benefits of behaviors)
บุคคลจะมีความโน้มเอียงสูงที่จะเริ่มหรือทำต่อเนื่องในพฤติกรรมนั้น ๆ ถ้ารับรู้ว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ
7. การรับรู้ถึงอุปสรรคของพฤติกรรม (Perceived barriers to health promoting behaviors)
ถ้าบุคคลรับรู้ว่าพฤติกรรมนั้นยากลำบากจะท าให้มีความตั้งใจลดลงในการปฏิบัติตาม
การมีปฏิสัมพันธ์ และปี ค.ศ.1996 Health Promotion Model ได้ปรับปรุงใหม่ จึงมีแนวคิดดังนี้
1.พฤติกรรมเดิม (Prior related behavior)
คือ พฤติกรรมที่เป็นองค์ประกอบที่มีผลโดยตรงและโดยอ้อม และมีความเชื่อมโยงกับการรับรู้ถึงความสามารถของตน พฤติกรรมในอนาคตจะได้รับอิทธิพลจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการกระทำาที่คล้ายคลึงในอดีต
2. กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผล(Activity-related affect)
ความรู้สึกทั้งด้านบวกและด้านลบในพฤติกรรมบางอย่าง มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม และมีอิทธิพลโดยอ้อมถึงการรับรู้ในความสามารถของตน
3. การยึดมั่นต่อแผนปฏิบัติ(Commitment to a plan of action)
รวมถึงแนวคิดที่ตั้งใจเป็นแผนกลยุทธ์ที่เป็นเหตุนำมาซึ่งความตั้งใจที่จะเป็นแผนในการปฏิบัติซึ่งเกิดขึ้นเองหรือบุคคลอื่นมีส่วนรับรู้
4. ความต้องการ ความชอบที่เกิดขึ้นแทรกทันที(Immediate competing demands and preferences)
ในการที่บุคคลจะเลือกปฏิบัติ ความต้องการที่จะปฏิบัติอาจไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้ ความชอบเป็นสิ่งที่มีพลังสำคัญต่อการเลือกปฏิบัติ เช่น บางครั้งตั้งใจจะไปออกกำลังกาย แต่กลับแวะเดินเที่ยวซื้อของในศูนย์การค้า เป็นต้น
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
การจัดอบรมป้องกันโรคต่างๆ
รณรงค์ให้มีการออกกำลังกาย
จัดกิจกรรมเสริมศักยภาพให้แต่ละบุคคล
แนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวม
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
ด้านร่างกาย(Physical Potential)
ด้านจิตใจ(Mental Potential)
ด้านอารมณ์ (Emotional Potential)
ด้านการตัดสินใจ (Choice Potential)
ด้านความสัมพันธภาพ (Relationship Potential)
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
สหวิชาชีพทำงานร่วมกัน
การดูแลคนไม่ใช่โรค
ทางเลือกอื่นในการดูแลสุขภาพ
การดูแลอย่างต่อเนื่อง
ส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก
สนับสนุนการดูแลตนเอง
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
แนวคิดสุขภาพแบบองค์รวม
ความสมดุล
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความกลมกลืนกัน
แนวคิดศักยภาพมนุษย์
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อม
ทำให้บุคคลมีสุขภาพที่ดีที่สุด
ป้องกันการเจ็บป่วยเท่าที่จะทำได้
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ค.ศ. 1980 สภาคมองค์รวมแห่งสหรัฐอเมริกากำหนดมาตราฐาน
การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ
เรียนรู้การบำบัดเสริม การแพทย์ทางเลือกที่ผู้บริการใช้
บทบาทพยาบาล -การส่งเสริมให้ความรับผิดชอบดูแลชีวิตและสุขภาพของผตนเอง
ส่งเสริมให้ผู้รับบริการมีสภาวะสุขภาพที่ดี และเลือกวิธีในการปฏิบัติตน
แนวคิดการพยาบาลแบบเอื้ออาทร
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.แนวคิดสุขภาพแบบองค์รวม
ความสมดุล
-สมดุลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สิ่งแวดล้อมและ สังคม
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ความกลมกลืนกัน
2.แนวคิดศักยภาพของมนุษย์
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
บุคคล (Person)
เป็นองค์รวมประกอบกายใจและจิตวิญญาณซึ่งจิตวิญญาณเป็นแก่นตัวตน(self)
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการรับรู้และพัฒนาของบุคคลที่อาศัยอยู่ในการดูแลซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล
สุขภาพ (Health)
การเจ็บป่วย(illness)เป็นภาวะที่ไม่มีดุลยภาพของจิตใจร่างกายและจิตวิญญาณ
การพยาบาล(Nursing)
1.การแสดงพฤติกรรมที่ส่งเสริมและปกป้องความเป็นบุคคลของผู้ป่วย(Expressive activity )
การสร้างสัมพันธภาพที่มีความไว้วางใจ เช่น ความเชื่อมั่นศรัทธา ความหวัง เป็นต้น
เกิดการสนับสนุน เช่น การเอาใจใส่ การเฝ้าสังเกต เป็นต้น
2.การแสดงพฤติกรรมที่ปฏิบัติเพื่อตอบสนองการรักษาพยาบาล (Intrumental activities)
พฤติกรรมที่กระทำด้านร่างกาย ด้วยการแนะนำช่วยเหลือ
พฤติกรรมการช่วยเหลือด้านความรู้ เช่น การชี้นำ การสอนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น
3.องค์ประกอบการดูแลอย่างเอื้ออาทร 10ประการ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
เน้นสัมพันธภาพที่เอื้ออาทรจะมีผลต่อภาวะสุขภาพและการหายจากโรคของผู้ป่วย
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
มาจากทฤษฎีของวัตสันต์ วัตสันต์เชื่อว่า การพยาบาลต้องเข้าใจถึงความเป็นตัวตน และความรู้สึก จิตใจของผู้ใช้บริการ รวมถึงปัจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลด้วยความเอื้ออาทร ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือ ณสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมหนึ่ง
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ป่วย
ให้คำแนะนำที่ดีแก่ผู้ป่วย
แนวคิดการพยาบาลแบบต่อเนื่อง
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.ปรับจากการดูแลในระดับบุคคลเป็นการดูแลแบบบูรณาการ
กระบวนการดูแลที่ต่อเนื่อง
3.เน้นการให้บริการเชิงรุกป้องกันไม่ให้โชคพัฒนารุนแรงมากขึ้น
4.ให้ผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลางการดูแล
5.สถานบริการให้การดูแลรักษาอย่างเป็นระบบ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
ยกตัวอย่างให้เห็นถึงแนวคิด ตาม-การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยตาม D-MENTHOD Model
D:Disease การให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรค
M: medication การให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาที่ต้องรับประทาน
E: economic + environment การให้คำแนะนำเกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานะเช่นการติดต่อหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือรวมถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมสภาพแวดล้อม
T: treatment การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
H: health การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทั่วไป
O: out patient การให้คำแนะนำการใช้แหล่งบริการสุขภาพอนามัยในการบำบัด การมาตรวจตามนัด
D : Diet การให้คำแนะนำในเรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรค
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
ดูแลผู้ป่วยที่มีอาการป่วยเรื้อรัง ช่วยลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล ลดภาวะเเทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น และช่วยลดค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันการเกิดโรค หรือเจ็บป่วยในชุมชน
การพยาบาลจะช่วยทำให้ลดรอยต่อระหส่างการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
มีผู้ป่วย
1.กลุ่มโรคไม่คิดต่อเรื้อรัง(Non-Communicable Diseases: NCDs) : เสียชีวิตเป็นจำนวนมากและปัญหากำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
2.กลุ่มอุบัติเหตุ (Accident) : เกิดความพิการหรือเสียชีวิต
3.กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society ) : เป็นกลุ่มวัยที่มีความเสื่อถอย และเกิดโรคต่างๆ ซึงเป็นปัญหาใหญ่
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
กรอบแนวคิดการดุแลด้านวัฒนธรรม
ระดับที่ 1 เป็นมุมมองโลกและระบบสังคม
จุดเล็กที่สุด คือ บุคคลในวัฒนธรรม
ระดับกลาง คือ ปัจจัยที่ซับซ้อนมากขึ้นในวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง
ในมุมกว้าง คือ สถานการณ์ต่างๆ ในวัฒนธรรมที่หลากหลาย
ระดับที่ 2 เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสถาบัน ในระบบบริการสุขภาพที่แตกต่างกัน
ระดับที่ 4 บอกระดับการตัดสินใจเพื่อปฏิบัติการดูแล
ระดับที่ 3 เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบของกลุ่มชนและวิชาชีพการพยาบาลซึ่งปฏิบัติกิจกรรมภายในวัฒนธรรม
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สุขภาพ (Health) เป็นภาวะที่แสดงถึงความผาสุก ซึ่งขึ้นอยู่กับการให้ค่านิยมหรือคุณค่าตามวัฒนธรรม
1.การให้คำจำกัดความ ของคำว่า สุขภาพ ภาวะโรค ความเจ็บป่วย ความไม่สบาย
2.ระบบความเชื่อด้านสุขภาพ
ความเชื่อในศาสนาและอำนาจวิเศษ
ความเชื่อในระบบชีววิทยาการแพทย์
ความเชื่อที่เป็นองค์รวม เชื่อในความสมดุล ความกลมกลืน
3.ความมีศิลปะและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการรักษา
4.ชนิดของการรักษา : ระบบประชาชน ระบบวิชาชีพ และระบบพื้นบ้าน
บุคคล (Person)
“บุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน” หรือที่เรียกว่า “ความ หลากหลายทางชีวภาพ”
บุคคลแต่ละคนมีพฤติกรรมดูแลสุขภาพ
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
สิ่งแวดล้อมทางสังคม
สิ่งแวดล้อมที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
การพยาบาล(Nursing)
1.การดูแลมนุษย์ในปรากฏการณ์ต่างๆ โดยอาศัยวิทยาศาสตร์และศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์
2.การปฏิบัติเพื่อการช่วยเหลือ สนับสนุน เอื้ออำนวย ทั้งในระดับบุคคลและกลุ่ม
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
ขอบเขตและระดับของทฤษฎี
2.ทฤษฎีระดับกว้าง (Grand Theory)
ทฤษฎีนี้ให้กรอบแนวคิดกว้างๆ และให้โลกทัศน์
3.ทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory)
ทฤษฎีนี้มีขอบเขตแคบลงและมโนทัศน์ไม่มาก
4.ทฤษฎีระดับปฏิบัติ(Practice Theory)
1.อภิทฤษฎี(Meta Theory)
ทฤษฎีนี้บอกปรัชญา วิธีการสร้างทฤษฎีทางการพยาบาล
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
จัดการบริการพยาบาลให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม
ช่วยให้บุคคลเผชิญกับความทุพพลภาพและความตายได้
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ทฤษฎีของไลนินเจอร์เป็นทฤษฎีที่มีแนวคิดพื้นฐานมาจากสาขาวิชามานุษยวิทยาและ
สาขาวิชาการพยาบาล ท่านพบว่าผู้ป่วยและผู้ปกครองมีความต้องการที่เตกต่างกันตามวัฒนธรรมของ
ตน ท่านได้พบประสบการณ์“ Cultural Shock” จึงเกิดแนวคิดว่า ควรมีต าราทางการพยาบาลที่เน้นการดูแลผู้ป่วยในมิติของความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ท่านได้เขียนตาราและต่อมาพัฒนาเป็นศาสตร์ใหม่ ชื่อว่า “การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม” หรือ “Transcultural Nursing”
ทฤษฎีการพยาบาล TTM
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ทฤษฎี TTMเป็นรูปแบบที่พัฒนา
จากงานศึกษาวิจัยของ โปรชาสกาและไดคลีเมน ซึ่งเชื่อว่าพฤติกรรมมีความซับซ้อนไม่อาจใช้ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งมาอธิบายพฤติกรรมได้จึงได้บูรณาการแนวคิดทฤษฎีทางจิตวิทยาหลายๆทฤษฎีมาทดลองใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์ โดยการประเมินขั้นของพฤติกรรมก่อและจัดกิจกรรมการดูแลผู้ป่วยให้เหมาะสมตามขั้นของพฤติกรรม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
รูปแบบทรานส์ทิโอเรทิเคิล (Transtheoretical model : TTM) หรือทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม(Transtheoretical model หรือ Stage of Change)
ระดับขั้นความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (stage of change: SOC)
ขั้นเตรียมการ (preparation)
ขั้นของพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติ/ปฏิบัติบ้าง และตั้งใจจะทำทันที
ขั้นปฏิบัติการ (action)
พฤติกรรมที่ปฏิบัติเป็นบางครั้ง/เป็นประจำ
ขั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (contemplation)
ขั้นของพฤติกรรมที่ยังไม่ปฏิบัติแต่มีความตั้งใจว่าอาจจะทำ
ระดับพฤติกรรมคงที่ (main-tenance)
เป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติเป็นประจำนานแล้ว
ขั้นก่อนมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม(precontemplation)
พฤติกรรมที่ยังไม่ปฏิบัติและไม่ตั้งใจปฏิบัติ
2.กระบวนการปรับความรู้สึกนึกคิด (Cognitive or experiential process) และกระบวนการเปลี่ยนพฤติกรรม(Behavioral Process)
การปลุกจิตสำนึก (consciousness raising)
การเร้าอารมณ์และความรู้สึก (dramatic relief)
การประเมินตนเอง (Self-evaluation)
การรับรู้สิ่งแวดล้อมที่สนับสนุน สุขภาพ (Social liberation)
การทำพันธะสัญญากับตนเอง (Self-liberation
การหาแรงสนับสนุนทางสังคม (helping relationships)
การทดแทนด้วยสิ่งอื่น (Counter conditioning)
การประเมินผลของพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและบุคคลรอบข้าง (environmental-reevaluation)
การควบคุมสิ่งเร้า (Stimulus control)
การให้การเสริมแรง (Reinforcement management)
3.การเปรียบเทียบผลดีและผลเสียของพฤติกรรม (decision balance)
4.ความมั่นใจในความสามารถของตัวเอง (self-efficacy)
5.ระดับความเคยชินและสิ่งล่อใจ (habit strength/ temptation)
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลไปใช้ในการพยาบาล
ส่งเสริมให้พยาบาลผู้ที่ดูแลผู้ป่วยมีความรู้และเข้าใจเรื่องโรค
ส่งเสริมผู้ป่วยแต่ละบุคคลเพื่อที่จะสามารถให้การดูแลเป็นรายกรณี
ประเมินขั้นของพฤติกรรมของผู้ป่วย
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
4.บุคคลแสวงหาการควบคุมพฤติกรรมตนเอง
5.บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3.บุคคลให้คุณค่าแก่การเจริญเติบโต
6.บุคลากรด้านสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
2.บุคคลตระหนักรู้ในตนเอง
7.การริเริ่มด้วยตนเองในการสร้างแบบแผนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
1.บุคคลแสวงหาภาวการณ์ของชีวิตที่สร้างสรรค์ด้านสุขภาพของตน
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
การับรู้สมรรถนะแห่งตน(Self -Efficacy)
เป็นความเชื่อมั่นที่บุคคลมีต่อตนเองว่าตนเองมีความสามารถที่จะปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมายได้สำเร็จ
ความสมดุลในการตัดสินใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม(Decisional balance)
การที่บุคคลประเมินสมดุลระหว่างผลดีและผลเสีย ที่จะได้รับจากการปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมาย