Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร, นายนัฐพงศ์ สารีนันท์ 62110222 …
วิวัฒนาการของแนวคิดและทฤษฎีการบริหาร
ทฤษฎีการบริหารยุคคลาสสิก
(Classical organizational theory)
หลักการจัดการตามระบบราชการ
(Bureaucracy management)
Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันผู้เขียนตำราชื่อ“ Theory of Social and Economics Organization”
5) การจ้างงานใช้หลักคุณสมบัติทางวิชาชีพ (professional qualities)
4) บุคคลทำหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการ
โดยไม่ยึดความเป็นส่วนตัว
3) การกำหนดกฎเกณฑ์ระเบียบข้อบังคับและขั้นตอนการปฏิบัติงาน
7) มีอำนาจตามกฎหมาย (legal authority)
2) การจัดตำแหน่งตามสายบังคับบัญชา
(Scalar chain) จากระดับสูงมายังระดับรอง
6) มีความก้าวหน้าในอาชีพ (career aspects)
1) การแบ่งงานกันทำ (division of work)
ตามความรู้ความชำนาญ (specialization)
หลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์
(Scientific Management)
Frederick Window Taylor
“ บิดาแห่งหลักการบริหารตามหลักวิทยาศาสตร์”
ได้เสนอหลักการบริหารไว้ 4 ประการ
2) Selection of Personnel
คือการคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะสมกับงานแต่ละงาน
4) Functional Supervising คือการกำกับดูแลการทำงานโดยผู้บริหารทำหน้าที่วางแผน (planning) จัดองค์การ (organizing) และตัดสินใจ (decision-making) ในขณะที่ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติหน้าที่ของตน
1) Scientific Job Analysis คือการวิเคราะห์งานตามหลักวิทยาศาสตร์โดยผ่านการสังเกตการรวบรวมข้อมูลและการวัดอย่างรอบคอบจนเกิด "วิธีที่ดีที่สุดหรือ one best way" ในการทำงานแต่ละงานซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า
Time-and motion study
3) Management Cooperation คือการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้แน่ใจว่างานที่ทำอยู่นั้นเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
หลักการจัดการตามหลักการบริหาร
(Administrative Management)
Henn Fayo“ ผู้ริเริ่มหลักการจัดการตามหลักการบริหาร (Administrative management principle)”
:pencil2:
การรวมอำนาจ (centralization)
ความมีวินัย (discipline)
ความมีระเบียบ (order)
การให้อำนาจ (authority)
ความมั่นคงของบุคลากร (stability of personnel)
การแบ่งงานกันทำ (division of work)
การจ่ายค่าตอบแทน (remuneration)
ความเท่าเทียมกัน (equity)
6.การถือระโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล
(subordination of individual interest to general interest)
5.หลักการมีทิศทางเดียวกัน (unity of direction)
เอกภาพในการบังคับบัญชา ((unity of command)
สายการบังคับบัญชา (scalar chain)
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (initiative)
หลักความสามัคคี (esprit de corps)
ทฤษฎีการบริหารตามแนวมนุษยสัมพันธ์
(Human Relations)
การศึกษา Hawthorne (The Hawthorne Studies)
Elton Mayo และ Fritz Roethlisberger
ผลการวิจัยพบว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเกิดจาก 2 ส่วน
1.ปัจจัยทางสังคมและมนุษย์ (human-social) เช่นการมีกำลังใจในการทำงานความรู้สึกเป็นเจ้าของเป็นต้น
2) การบริหารจัดการที่มีประสิทธิผลเช่นทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทักษะการสร้างแรงจูงใจการนำการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นต้น
ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมกลุ่ม
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของลีวินโดย
Kurt Levin
ผลจากการวิจัยแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของบุคคลเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งมี 3 ระยะ
1) ระยะการละลายพฤติกรรม (Unfreezing)
เป็นระยะเริ่มแรกที่บุคคลรับรู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งโดยทั่วไปแล้วมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงดังนั้นในระยะนี้บุคคลจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยที่ยังไม่ศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสีย
2) ระยะการการเปลี่ยนแปลง (Changing)
เป็นระยะที่บุคคลเข้าใจความจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจึงลดปฏิกิริยาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและมีเจตคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลง
3) ระยะรักษาดุลยภาพการเปลี่ยนแปลง (Refreezing)
เป็นระยะที่บุคคลเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงนอกจากนี้ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง
ทฤษฎีการบริหารเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Theory)
ทฤษฎีสองปัจจัย (Two-Factor Theory)
ปัจจัยจูงใจ (motivation factors)
ความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา (interpersonal relations with subordinators)
ตำแหน่งงาน (status)
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน (interpersonal relations with peers)
ความมั่นคงในการทำงาน (job security)
ความสัมพันธ์กับหัวหน้างาน (interpersonal relations with supervision)
ชีวิตส่วนตัว (personal life)
การบังคับบัญชาและการควบคุมดูแล (supervision)
สภาพการทำงาน (Working conditions)
นโยบายและการบริหารขององค์การ (company policy and administration)
ค่าตอบแทนและสวัสดิการ (compensations and welfares)
ปัจจัยอนามัย (hygiene factors)
ลักษณะงานที่ทำ (work itself)
ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน (advancement)
ความสำเร็จในการทำงาน (achievement)
การได้รับการยอมรับ (recognition)
ความรับผิดชอบ (responsibility)
ทฤษฎี 2 ปัจจัยอธิบายได้ว่าเมื่อใดปัจจัยจูงใจลดลงต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็นอย่างมากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานก็จะลดต่ำไปด้วย แต่ในทางกลับกันถ้าปัจจัยอนามัยลดต่ำลงกว่าระดับที่ควรจะเป็นหรือขาดไปก็จะทำให้บุคลากรเกิดความไม่พอใจในการปฏิบัติงานรู้สึกเบื่อหน่ายท้อถอยและหมดกำลังใจในการทำงาน
มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับคนเป็นหลักและเน้นเรื่องคุณภาพของคนมากกว่าเรื่องงาน
ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์
(Maslow's Motivation Theory)
1) มนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด
2) มนุษย์พยายามหาวิธีการต่างๆที่จะทำให้ตนเองได้รับในสิ่งที่ตนเองต้องการทำให้เกิดแรงแรงจูงใจของมนุษย์ส่วนความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นแรงจูงใจอีกต่อไป
3) ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์มี 5 ลำดับขั้น
ขั้นที่ 2 ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (Security needs)
ความต้องการที่จะให้ชีวิตมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินความต้องการความมั่นคงในชีวิตและการงาน
ขั้นที่ 4 ความต้องการการยอมรับนับถือ
(self-esteem needs)
เป็นความต้องการที่จะนับถือตนเองและได้รับการยกย่องในสังคม
ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
(social needs / love and belonging needs)
เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมต้องการให้และได้รับซึ่งความรักและต้องการได้รับการยอมรับ
ขั้นที่ 5 ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต
(self actualization needs)
เป็นความต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนเองจะเป็นได้
ขั้นที่ 1 ความต้องการทางกายภาพ (physiological needs)
เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เพื่อความอยู่รอดเช่นอาหาร
เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยยารักษาโรคอากาศน้ำดื่มการพักผ่อนเป็นต้น
ทฤษฎีการบริหารยุคการจัดการร่วมสมัย
(Contemporary Management Era)
ทฤษฎีระบบ (System Theory)
พัฒนาทฤษฎีระบบคือ Ludwig von Bertalanffy
องค์การซึ่งองค์ประกอบพื้นฐาน
ของทฤษฎีระบบมี 4 ประการ
2) กระบวนการจัดการ (process) กระบวนการนำสิ่งนำเข้ามาใช้ในการจัดการเช่นการวางแผนการจัดการองค์การการอำนวยการการควบคุม
3) ผลผลิตหรือผลลัพธ์ (Output) ผลลัพธ์โดยตรงที่เป็นผลจากกระบวนการจัดการโดยวัดหรือประเมินจากสิ่งต่างๆเช่นประสิทธิผลประสิทธิภาพคุณภาพความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานความพึงพอใจของผู้รับบริการ
1) สิ่งนำเข้า (input) ทรัพยากรที่นำมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการจัดการเช่นเงินคนวัสดุอุปกรณ์เครื่องจักรวิธีการทำงาน
4) ข้อมูลย้อนกลับหรือการป้อนกลับของข้อมูล (feedback) เป็นการนำข้อมูลจากผลผลิตหรือผลลัพธ์ย้อนกลับไปยังสิ่งนำเข้าเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการบริหารอย่างต่อเนื่อง
ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory)
สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจและรูปแบบการ
บริหารที่เหมาะสม
การบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เป็นการผสมผสานแนวคิตระหว่างระบบปิตและระบบเปิดและยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบ
ซึ่งกันและกัน
การออกแบบองค์การต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงานโดยใช้ปัจจัยด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย
ผู้บริหารจะต้องสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด
ผู้บริหารต้องรู้จักการพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน
นายนัฐพงศ์ สารีนันท์ 62110222
คณะพยาบาลศาสตร์