Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดและทฤษฎีทางการพยาบาล - Coggle Diagram
แนวคิดและทฤษฎีทางการพยาบาล
แนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวม
ตัวอย่างการนำไปใช้
ด้านจิตใจ
ลดความเครียด ลดความวิตกกังวลของผู้ป่วย
เคารพในความเป็นบุคคล
รักษาความลับผู้ป่วย
ด้านจิตวิญญาณ
ยอมรับความเชื่อ
ส่งเสริมผู้ป่วยปฏิบัติกิจศาสนา
ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
ดูแลสิ่งแวดล้อมทางสังคม
ลดความเครียด
เคารพและยอมรับสิ่งแตกต่าง
ป้องกันการเกิดภาวะ social isolation
ใช้ระบบสนับสนุนครอบครัว
ด้านสติปัญญา
เสริมสร้างพลังความสามารถผู้ป่วยเมื่อสามารถดูแลตนเองได้ตัดสินใจได้ มีการรับรู้ เวลา สถานที่ บุคคล ได้อย่างเหมาะสม
ด้านร่างกาย
ดูแลทำความสะอาดร่างกาย
การดูแลให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างเพียงพอ
การดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารและดื่มน้ำให้เหมาะสมและเพียงพอ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวกสบาย
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
1.ตระหนักถึงความเป็นองค์รวมของบุคคล
2.สร้างสภาพแวดล้อมต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้รับบริการ
3.ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพ
4.สร้างสัมพันธภาพเชิงบำบัดกับผู้รับบริการ
5.การให้ข้อมูลและให้ความรู้แก่ผู้รับบริการ
6.การเสริมสร้างพลังอำนาจให้ผู้รับบริการและครอบครัว
7.สนับสนุนกระบวนการฟื้นหายของผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการอย่างเอื้ออาทร
8.การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้วิธีพื้นบ้านที่เป็นประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพ
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
การสนับสนุนและส่งเสริมภาวะสมดุลของกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ ของบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน
เชื่อว่าการเจ็บป่วยไม่ใช่ผิดปกติแต่ร่างกายเท่านั้น ทุกระบบสัมพันธ์กัน
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.ความสมดุล (Balancing)
ด้านร่างกาย
ด้านจิตใจ
ด้านอารมณ์
ด้านสังคม
ด้านจิตวิญญาณ
2.ความกลมกลืน(Harmony)
ความกลมกลืนของมิติกาย
ความกลมกลืนของจิต
ความกลมกลืนของอารมณ์
ความกลมกลืนของสังคม
ความกลมกลืนของจิตวิญญาณ
3.ความเป็นหนึ่งเดียว(Coherence)
แต่ละมิติต้องมีการเชื่อมโยง หากขาดความเชื่อมโยง
จะทำให้เสียสมดุล
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
การพยาบาลแบบองค์รวมต้องครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลในทุกมิติให้ครอบคลุมในการปฏิบัติการพยาบาลแบบองค์รวม
แนวคิดการพยาบาลแบบเอื้ออาทร
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ผูกพันต่อบทบาทการดูแลเพื่อการฟื้นหายของผู้ป่วยที่ประจักษ์ด้วยตนเอง
ประสบการณ์ขณะเผชิญความเจ็บป่วย
การเผชิญกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
บุคคล(Person)
เป็นองค์รวมประกอบด้วยกายใจและจิตวิญญาณ ซึ่งจิตวิญญาณเป็นแก่นตัวตน (Self)
สุขภาพ(Health)
การเจ็บป่วย (liness) เป็นภาวะที่ไม่มีดุลยภาพของจิตใจร่างกายและจิตวิญญาณ
การพยาบาล(Nursing)
เป็นกระบวนการดูแลที่เข้าถึงจิตใจและความรู้สึกของบุคคล (Transpersonal Caring) ในการส่งเสริมสุขภาพ
สิ่งแวดล้อม(Environmant)
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการรับรู้และพัฒนาของบุคคลที่อาศัยอยู่ในการดูแลซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
ปัจจัยการดูแล (Carative Factors)
การเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณในการมีชีวิตอยู่ (Existential-Phenomenological-spiritual Forces)
การช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล (Human Needs Assistance)
การประคับประคอง สนับสนุน และแก้ไขสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพสังคม และ จิตวิญญาณ
การส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าใจถึงจิตใจของบุคคล (Transpersonal Teaching and Learning)
การใช้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการดูแล(Creative Problem-Solving Caring Process)
การยอมรับการแสดงออกของความรู้สึกทั้งทางบวกและทางลบ (Expressing Positive and Negative Feeling)
การสร้างสัมพันธภาพ การช่วยเหลือ การไว้วางใจ (Helping-Trusting Human Caring Relationship)
ความไวต่อความรู้สึกของตนเองและบุคคลอื่น (Sensitivity of Self and others)
ความศรัทธา และความหวัง (Faith-Hope)
ระบบคุณค่าการสร้างประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ (Humanistic Altruistic System of valueS)
การดูแลที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล (Transpersonal Caring)
เหตุการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับอดีต ปัจจุบันและอนาคต
1.ตัวตน(Self)
บุคคลมีตัวตนทั้งลักษณะที่เป็นอยู่จริงและตัวตนในอุดมคติที่บุคคลอยากจะเป็น
2.สนามปรากฏการณ์ (Phenomena Field)
ภูมิหลังหรือประสบการณ์ชีวิตของบุคคล
3.การดูแลที่เกิดขึ้นจริง(Actual Caring Occasion)
เป็นการดูแลขณะเวลาที่พยาบาลผู้ให้การดูแลและผู้รับการดูแลรับรู้ตรงกัน หรือเข้าใจถึงความรู้สึกซึ่งกันและกัน
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
Person
Self
Environment
Health
Illness
Disease
Nursing
Transpersonal Caring
ตัวอย่างการนำไปใช้
1.การใช้ในระดับพื้นฐาน
การใช้เพื่อชี้นำการปฏิบัติพยาบาลเพื่อการดูแล
2.การใช้เพื่อการปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง
การนำรูปแบบการดูแลที่เข้าถึงจิตใจกันระหว่างคนสองคน
ทฤษฎีการพยาบาลไนติงเกล
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
ประวัติของมิสฟลอเรนซ์ไนติงเกล
เป็นผู้นำคนแรกของพยาบาล
เริ่มชีวิตการเป็นพยาบาลที่ไคซ์เวิร์ธ ประเทศเยอรมันนีในปี ค.ศ. 1851
ประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยและทหารบาดเจ็บในสงครามไครเมีย
ได้เขียนไว้ในหนังสือ
Notes on nursing ปี1859
ท่านให้ความสำคัญต่อสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพและความเจ็บป่วยเป็นอย่างมาก
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
เน้นสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การพยาบาลจะเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยเพื่อให้ธรรมชาติได้มีส่วนช่วยให้ผู้่วยหายเร็วขึ้น
ทฤษฎีการพยาบาลของไนติงเกลสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้โดยการประยุกต์ใช้ตามแนวคิดกระบวนการพยาบาลที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ขั้นประเมินสภาพ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
เน้นสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การพยาบาลจะเป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย เพื่อให้ธรรมชาติมีส่วนให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สุขภาพ เป็นความสามารถดำรงภาวะสุขภาพดีด้วยพลังอำนาจบุคคล
สิ่งแวดล้อม เป็นสถานการณ์และแรงผลักภายนอกที่มีผลโดยตรงต่อชีวิตและพัฒนาการของบุคคล
การพยาบาล เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด อำนวยต่อการหายจากความเจ็บปวด
บุคคล ผู้ป่วยที่มารับการรักษาด้วยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับบุคคล ทำให้มีศักยภาพในการซ่อมแซมและสามารถฟื้นคืนสภาพได้
ตัวอย่างการนำไปใช้
การวินิจฉัยทางการพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูล มองเห็นความต้องการของผู้ป่วย
การประเมินสุขภาพอนามัยของบุคคล สังเกตผู้ป่วยทั้ง ร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อสุขภาพความเจ็บป่วยของผู้ป่วย
การวางแผนการพยาบาล ช่วยบรรเทาทุกข์ให้ผู้ป่วยหายจากโรคและปฏิบัติตามกระบวนการรักษาโรค
การปฏิบัติพยาบาล จัดการกับสิ่งแวดล้อมร่วมกับแพทย์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้ป่วย ช่วยเหลือผู้ป่วย จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
การประเมินผลการพยาบาล จะเป็นการประเมินสภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในด้านผู้ป่วยสภาพแวดล้อมและการพยาบาลช่วยเหลือ
ทฤษฎีการพยาบาลรอย
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
รอยมองว่า บุคคลประกอบด้วยกาย จิต และสังคม(Biopsychosocial being)มีความเป็นองค์รวม ไม่สามารถแยกจากกันได้เพื่อความปกติสุข หรือ ภาวะสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับระดับ การปรับตัว (Adaptation level)ซึ่งเป็นปัจจัยนำเข้าสู่กระบวนการปรับตัวของบุคคลอีกตัวหนึ่ง
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
สิ่งแวดล้อม หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวบุคคลทั้งภายในและภายนอกมีผลกระทบต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของบุคคล เป็นสิ่งเร้า มีทังหมด 3 ประเภท
สิ่งเร้าตรง
สิ่งเร้าร่วม
สิ่งเร้าแฝง
บุคคล หมายถึง ครหรือมนุษย์ที่เป็นผู้รับบริการ เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ประกอบด้วยชีวะ จิต สังคม (Biopsychosocial)และมีระบบการปรับตัวเป็นองค์รวม มีลักษณะเป็นระบบเปิด
ภาวะสุขภาพ หมายถึง สภาวะและกระบวนการที่ทำให้บุคคลมีความมั่นคงสมบูรณ์
การพยาบาล เป็นการช่วยเหลือที่ให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และการพยาบาล มีเป้าหมายส่งเสริมให้มีการปรับตัวที่เหมาะสมของบุคคลและการจัดสิ่งแวดล้อมที่เป็นสาเหตุเพื่อบรรลุซึ่งการมีภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สิ่งเร้า(Stimuli)
สิ่งเร้าแฝง(Residual stimuli)
หมายถึง สิ่งเร้าที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตซึ่งเกี่ยวกับทัศนคติ อุปนิสัยและบุคลิกภาพเดิม สิ่งเร้าในกลุ่มนี้บางครั้งตัดสินยาก ว่ามีผลต่อการปรับตัวหรือไม่
สิ่งเร้าร่วม(Contexual stimuli)
หมายถึง สิ่งเร้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากสิ่งเร้าตรงและมีความเกี่ยวข้องกับการปรับตัวของบุคคลนั้น เช่น คุณลักษณะทางพันธุกรรม เพศ ระยะพัฒนาการของบุคคล ยา สุรา บุหรี่ อัตมโนทัศน์ การพึ่งพาระหว่างกัน
สิ่งเร้าตรง(Focal stimuli)
หมายถึง สิ่งเร้าที่บุคคลเผชิญโดยตรงและมีความสำคัญมากที่สุดที่ทำให้บุคคลต้องปรับตัว เช่น ได้รับการผ่าตัดหรือการฉายรังสี เป็นต้น
พฤติกรรมการปรับตัว(Adaptive mode)
การปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (Self-concept Mode)
อัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย(Physicial self)
ด้านภาพลักษณ์ของตนเอง (Body image)
เป็นความรู้สึกที่มีต่อขนาดรูปร่าง หน้าตา ท่าทางของตนเอง
ด้านรับความรู้สึกด้านร่างกาย (Body sensation)
เป็นความรู้สึกเกี่ยวกับสภาวะและสมรรถภาพของร่างกาย
อัตมโนทัศน์ส่วนบุคคล(Personal self)
อัตมโนทัศน์ด้านความมั่นคงในตนเอง ( Self-consistency )
เป็นการรับรู้ต่อตนเองตามความรู้สึกเกี่ยกับความพยายามในการดำรงไว้ชึ่งความมั่นคงหรือความปลอดภัย ถ้าหากมีการปรับตัวไม่ได้บุคคลจะแสดงออกในพฤติกรรม เช่น ความวิตกกังวล ไม่สบายใจ เจ็บปวดทางด้านจิตใต
อัตมโนทัศน์ด้านความคาดหวัง (Self-ideal/expectancy)
เป็นการรับรู้ตนเองในเรื่องเกี่ยวกับความนึกคิด และความคาดหวังของบุคคลที่ปราถนาจะเป็นว่าตนเองจะเป็นอะไรหรือทำอย่างไร ตลอดจนความคาดหวังของบุคคลอื่นที่มีต่อตนเอง
อัตมโนทัศน์ด้านศีลธรรม จรรยา(Moral ethical self)
เป็นความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อตนเองเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา กฏเกณฑ์ ค่านิยมทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี
การปรับตัวด้านร่างกาย (Physiological Mode)
เป็นวิธีการตอบสนองด้านร่างกายต่อสิ่งเร้าโดยสะท้อนให้เห็นการทำงานระดับเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ
1.การรับความรู้สึก
2.น้ำและอิเลคโตรลัยท์
3.การทำงานของระบบประสาท
4.การทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ
การปรับตัวตัวด้านบทบาทหน้าที่(Role function mode)
บทบาทปฐมภูมิ(Primary role)
เป็นบทบาทที่มีติดตัวเกิดจากพัฒนาการช่วงชีวิต และช่วยในการคาดคะเนว่าแต่ละเพศและวัยนั้นบุคคลควรมีพฤติกรรมอย่างไร
บทบาททุติยภูมิ (Secondary role)
เป็นบทบาทที่เกิดจากพัฒนาการทางด้านสังคมการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
บทบาทตติยภูมิ (Tertiary role)
เป็นบทบาทชั่วคราวที่บุคคลมีอิสระที่จะเลือกเพื่อส่งเสริมให้บรรลุซึ่งเป้าหมายบางอย่างของชีวิต
การปรับตัวด้านการพึ่งพาระหว่างกัน(Interdependence)
สัมพันธภาพกับระบบสนับสนุน(Supportive system)
เป็นบุคคลอื่นๆทีเกี่ยวข้องและพึ่งพาซึ่งกันและกัน เช่น ญาติพี่น้อง
สัมพันธภาพกับบุคคลใกล้ชิด (Significantothers)
เป็นบุคคลมีความสำคัญต่อตนเองมากที่สุด เช่น บิดา มารดา สามี
บุคคลเป็นระบบการปรับตัว (Human as Adaptive System)
สิ่งนำเข้า(Input)
สิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมหรือจากตัวบุคคล และระดับการปรับตัวของบุคคล
กระบวนการ
กลไกการรับรู้ (Cognator mechanism)
เป็นกลไกที่เกิดจากการเรียนรู้นั่นคือการทำงานของจิตและอารมณ์ 4 กระบวนการ
การเรียนรู้
การตัดสินใจ
การรับรู้
การแก้ปัญหา
กลไกการควบคุม (Regulator Mechanism)
เป็นกลไกการควบคุมที่เกิดขึ้นในระบบตามธรรมชาติ นั่นคือกลไกการปรับตัวพื้นฐานของบุคคล
สิ่งนำออกหรือผลลัพธ์(Output)
เป็นผลของการปรับตัวของบุคคลที่จะสังเกตได้จากพฤติกรรมการปรับตัวทั้ง4ด้าน
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
ทฤษฎีการพยาบาลของรอยช่วยให้เห็นลักษณะของวิชาชีพพยาบาล และทิศทางของการปฏิบัติพยาบาล จุดมุ่งหมายและกิจกรรมการพยาบาลที่เหมาะสม และท้ายที่สุดทฤษฎีการพยาบาลของรอย ยังได้เน้นให้เห็นถึงคุณค่าของผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้รับบริการที่พยาบาลควรให้ความสำคัญการส่งเสริมศักยภาพของผู้ป่วยนับว่าเป็นบริการจากพยาบาลที่มีคุณประโยชน์ต่อบุคคลในสังคม
ตัวอย่างการนำไปใช้
ขั้นตอนที่1การประเมินสภาวะ(Assessment)
ประเมินพฤติกรรมของผู้ป่วย (Assessment of behaviors)
เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ป่วยต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้า
ประเมินองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัว (Assessment of influencing factors) คือการประเมินหรือค้นหาสิ่งเร้าหรือสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาการปรับตัว
ขั้นตอนที่2 การวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing diagnosis)
จะกระทำหลังการประเมินสภาวะโดยการะบุปัญหาหรือบ่งบอกปัญหาจากพฤติกรรมที่ประเมินได้ในขั้นตอนที่1และระบุสิ่งเร้าที่เป็นสาเหตุของปัญหา
ขั้นตอนที่3 การวางแผนการพยาบาล (Nursing plan)
กำหนดเป้าหมายการพยาบาลหลังจากที่ได้ระบุปัญหาและสาเหตุ จุดมุ่งหมายของการพยาบาลคือการปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปสู่พฤติกรรมที่เหมาะสม
ขั้นตอนที่4 การปฏิบัติการพยาบาล (Nursing Intervention)
ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลเป็นขั้นตอนที่5ตามแนวริดของรอย โดยเน้นจัดการกับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการปรับตัว โดยทั่วไปมักจะมุ่งปรับสิ่งเร้าตรงก่อนเนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหา ขั้นต่อไปจึงพิจารณาปรับสิ่งเร้าร่วมหรือสิ่วเร้าแฝงและส่งเสริมการปรับตัวให้เหมาะสม
ขั้นตอนที่5 การประเมินผล (Evaluation)
ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาลคือ การประเมิน ผลการพยาบาล โดยดูว่าการพยาบาลที่ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่
ทฤษฎีการพยาบาลโอเร็ม
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
การเชื่อว่า บุคคลมีอิสระ มีสิทธิในการดูแลตนเองมีวุฒิภาวะในการรับผิดชอบตนเอง ดูแลตนเอง ในช่วงที่บุคคลไม่สามารถดูแลตนเองได้อย่างสมบูรณ์ต้องได้รับความช่วยเหลือตามความเหมาะสม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
บุคคล
มีความสามารถในการเรียนรู้และวางแผนในการดูแลตนเองและบุคคลมีลักษณะเป็นองค์รวม
เป็นผู้มีความรับผิดชอบของตนเองอย่างจงใจ
สุขภาพ
คนที่มีสุขภาพดี ทำหน้าที่ทั้งด้านสรีระ จิตสังคมและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่นและต้องดูแลตนเองในระดับที่เพียงพอและต่อเนื่อง
สิ่งแวดล้อม
บุคคลกับสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแยกออกจากกันได้มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ซึ่งมีทั้งสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพทางสังคม วัฒนธรรมและชุมชน
การพยาบาล
เป็นการบริการสุขภาพ ที่เน้นความสามารถ
เป็นความต้องการการดูแลของบุคคล
เป็นการช่วยปฏิบัติกิจกรรมการดูแลแทนบุคคลเมื่อบุคคลนั้นไม่สามารถกระทำได้และช่วยให้บุคคลสามารถดูแลตนเองได้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
1.บุคคล เป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
2.บุคคลเป็นผู้ที่มีความสามารถและเต็มใจที่จะดูแลตนเองหรือผู้ที่อยู่ในความปกครองของตนเอง
3.การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความจำเป็นในชีวิตของบุคคลเพื่อดำรงรักษาสุขภาพชีวิตการพัฒนาการ และความเป็นปกติสุขของชีวิต (Well bing)
4.การดูแลตนเองเป็นกิจกรรมที่เรียนรู้และจดจำไว้ได้จากสังคม สิ่งแวดล้อมและการติดต่อสื่อสารที่ซ้ำกันและกัน
5.การศึกษาและวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อบุคคล
6.การดูแลตนเองหรือการดูแลผู้อยู่ในความปกครองหรือผู้อื่นเป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การยกย่องส่งเสริม
7.ผู้ป่วย คนชรา คนพิการ หรือทรกต้องได้รับการช่วยเหลือดูแลจากบุคคลอื่นเพื่อสามารถที่จะกลับมารับผิดชอบดูแลตนเองได้ตามความสามารถที่มีอยู่ขณะนั้น
8.การพยาบาลเป็นการบริการเพื่อมนุษย์ ซึ่งกระทำโดยมีเจตนาที่จะช่วยเหลือสนับสนุนบุคคลที่มีความต้องการที่ดำรงตวามมีสุขภาพดีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
เน้นที่บุคคล คือ ความสามารถของบุคคลที่จะตอบสนองต่อความต้องการการดูแลตนเอง
ตัวอย่างการนำไปใช้
ขั้นตอนที่1 ขั้นวินิจฉัยและพรรณนา
(Diagnosis and Prescription)
ขั้นตอนที่2 ขั้นวางแผน
(Design and Plan)
ขั้นตอนที่3 ขั้นปฏิบัติการพยาบาลและควบคุม
(Regulate and Control)
ทฤษฎีการพยาบาลวัตสัน
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
การดูแลที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล
(Transpersonal Caring)
1.1ตัวตน(Self)
บุคคลมีตัวตนทั้งลักษณะที่เป็นอยจู่ริง(Selfasitis)
ตัวตนในอุดม
คติ (Ideal Self) ท่ีบุคคลอยากจะเป็น
ตัวตนสูงสุดคือ จิตวิญญาณ (Spiritual Self)
1.2สนามปรากฏการณ์(PhenomenaField)
ภูมิหลังหรือประสบการณ์ชีวิตของบุคคล ท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของตน
บุคคลใช้เป็นกรอบอ้างอิงและให้ ความหมายต่อสรรพสิ่งต่างๆ
1.3การดูแลที่เกิดข้ึนจริง(ActualCaringOccasion)
การดูแลขณะเวลาที่พยาบาลผู้ให้การ ดูแลและผู้รับการดูแลรับรู้ตรงกันหรือเข้าใจถึงความรู้สึกซึ่งกันและกันมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต
การทำงานร่วมกันอย่างเสมอภาค (co- participant) ระหว่างพยาบาล และผู้รับบริการเป็นผลให้บุคคลดูแลเยียวยาตนเอง
ปัจจัยการดูแล (Carative Factors)
2.1 ระบบคุณค่าการสร้างประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์(HumanisticAltruisticSystemof values)
คุณค่าของความเป็นมนุษย์
ความเมตตา
ความห่วงใย
ความเห็นใจ
ความรักต่อตนเองและผู้อื่น
คุณค่าการเห็นแก่ ประโยชน์ของผู้อื่น
ความมุ่งมั่น
ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นจากการให้
2.2 ความศรัทธาและความหวัง (Faith-Hope)
การสร้างความเชื่อและสิ่งที่มีความหมายต่อผู้ป่วย เพื่อจะช่วยส่งเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพ
2.3 ความไวต่อความรู้สึกของตนเองและบุคคลอื่น (Sensitivity of Self and others)
2.4 การสร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือไว้วางใจ (Helping-rusting Human Caring Relationship)
2.5 การยอมรับการแสดงออกของความรู้สึกทั้ง ทางบวกและทางลบ
(Expressing Positive and NegativeFeelings)
2.6 การใช้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการดูแล (Creative Problem-Solving Caring Process)
2.7 การส่งเสริมการเรียนการสอนที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล (Transpersonal Teaching and Learning)
2.8 การประคับประคองสนับสนุนและแก้ไขสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพจิตสังคมและจิตวิญญาณ ( Supportive, Protective, and/ or Corrective Mental, Physical, Societal and Spiritual Environment)
2.9 การช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล (Human Needs Assistance)
2.10 การเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณในการมีชีวิตอยู่ (Existential-Phenomenological- spiritualForces)
ตัวอย่างการนำไปใช้
การวิจัยที่เกี่ยวกับธรรมชาติของการดูของการพยาบาล
การวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลของพยาบาลที่ผู้ป่วยรับรู้
การวิจัยเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์และความต้องการการดูแล
กลุ่มครอบคลุมทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ
ข้อตกลงเบื้อต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
การอนุรักษ์และการศึกษาเรื่องการดูแลมนุษย์เป็นประเด็นสำคัญของวิชาชีพการพยาบาลทั้งในปัจจุบันและอนาคต
การพยาบาลเป็นวิชาชีพที่ให้การดูแลก่อนให้การดูแลผู้อื่น
พยาบาลต้องดูแลตนเองด้วยความสุภาพอ่อนโยน รักศักดิ์ศรีของตนเอง พยาบาลจึงจะสามารถเคารพและให้การดูแลผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน และเคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่น
การดูแลและความรักเป็นพลังสากล
การดูแลเชิงมนุษย์นิยมไม่ว่ารายบุคคลหรือกลุ่ม ได้รับความสนใจจากระบบบริการสุขภาพน้อยลง
การดูแลมนุษย์ทำได้โดยการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
การดูแลเป็นแกนกลางของการพยาบาลและเป็นจุดเน้นในการปฏิบัติการพยาบาล
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
วัตสันเชื่อว่าองค์ความรู้ทางการ พยาบาลต้องพัฒนาจากศิลปศาสตร์ (Art) บนพื้นฐานความเชื่อมนุษยนิยม (Humanism) มากกว่าการพัฒนามา จากความรู้ทางด้านวิทยศาสตร์ (Science) และความรู้ทางการแพทย์ (Medical) เพียงอย่างเดียว (Watson, 2008) วัตสันเช่ือในพลังภายในของความเป็นมนุษย์ ท่ีมีชีวิตอยู่บนโลกที่เชื่อมต่อกับจักรวาล นอกจากนั้น วัตสัน ยังได้รับแรงจูงใจในการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีการดูแล จากความต้องการที่จะทาความเข้าใจบทบาทในการบาบัด ทางการพยาบาล รวมท้ังความรู้สึกผูกพันต่อบทบาทการดูแลเพ่ือการฟื้นหายของผู้ป่วยที่วัตสันประจักษ์ด้วย
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.การดูแลเป็นอุดมเชิงคุณธรรมที่ยึดมั่นในพยาบาล
2.การปฏิบัติการดูแลเป็นแกนกลางของพยาบาล
3.เป้าหมายของการพยาบาลเป็นการช่วยเหลือให้มนุษย์เพิ่มระดับดุลยภาพและความกลมกลืนระหว่างกาย จิต วิญญาณ
ทฤษฎีการพยาบาลคิง
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
มีฐานความคิดเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์
การให้ความสำคัญกับความต้องการของมนุษย์ที่คุณค่ามนุษย์และความสำคัญของกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเเห็น
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.ระบบบุคคล(Personal System)
1.การรับรู้(Perception)
2.อัตตาตัวตน(Self)
3.ภาพลักษณ์(Body image)
4.การเจริญเติบโตและพัฒนาการ(Growth and development)
5.เวลา(Time)
6.อาณาบริเวณ(Space)
2.ระบบระหว่างบุคคล (Interpersonal systems)
1.การมีปฏิสัมพันธ์(Interaction)
2.การติดต่อสื่อสาร(Communication)
3.การบรรลุเป้าหมายของการปฏิสัมพันธ์(Transaction)
4.บทบาท(Role)
5.ความเครียด(Stress)
3.ระบบสังคม(Social systems)
ระบบสังคมทั่วไป
ระบบบริการสุขภาพ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
การประเมินสภาพ(Assessmant)
การสร้างสัมพันธภาพ
การติดต่อสื่อสาร
การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าพยาบาลกับผู้รับบริการ
การวางแผนการพยาบาล(Planning)
การร่วมกันกำหนดเป้าหมาย
การแสวงหาวิธีปฏิบัติ
ตกลงยอมรับวิธีปฏิบัติร่วมกัน
การปฏิบัติการพยาบาล(Implementation)
ผู้รับบริการปฏิบัติกิจกรรมตามวิธีที่ตกลงร่วมกัน
การประเมินผลการพยาบาล(Evaluation)
การประเมินผลการปฏิบัติว่าสำเร็จตามเป้าหมายร่วมกันหรือไม่
การช่วยกันหาวิธีขจัดอุปสรรค
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
บุคคล(Person)
1.บุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
2.ทุกคนมีความสึกคิด มีความรู้สึกเป็นของตนเอง
3.ทุกคนมีเหตุผลของตนเอง
4.บุคคลเป็นผู้มีการรับรู้
5.มีความสามารถที่จะแสดงความโต้ตอบ(React)ตามการรับรู้ของตนเอง
6.มีความสามารถที่จะกระทำสิ่งต่างๆ(Action-oriented being)
7.มีความสามารถที่จะวางเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
8.มีความสามารถที่จะตัดสินใจและควบคุมตนเองได้
9.ทุกคนมีเวลาในเรื่องต่างๆที่เหมาะสมเฉพาะของตนเอง
สิ่งแวดล้อม(Environment)
บุคคลมีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในและสิ่งแวดล้อมภายนอก
บุคคลมีความสามารถในการนำพลังงานมาช่วยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกได้อย่างต่อเนื่อง
สุขภาพ(Health)
ภาวะสุขภาพ
ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาททางสังคม
ภาวะเจ็บป่วย
ภาวะที่มีการเบี่ยงเบนของโครงสร้าง
ร่างกาย
จิตใจ
ภาวะที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับสัมพันธภาพของบุคคลในสังคม
การพยาบาล(Nursing)
เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของพยาบาลและผู้ใช้บริการ
การช่วยบุคคลและกลุ่มคนให้ฟื้นคืนสภาพธำรงไว้ซึ่งสภาวะสุขภาพดี
ในวาระสุดท้ายของชีวิต สามารถตายได้อย่างมีศักดิ์ศรี
ตัวอย่างการนำไปใช้
การรับรู้ของพยาบาลและผู้ใช้บริการสอดคล้องกัน
มีการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
พยาบาลกับผู้ใช้บริการจะต้องตั้งเป้าหมายร่วมกัน
ทฤษฎีการพยาบาลเพนเดอร์
ประวัติความเป็นมา
ทฤษฎีนี้มีฐานความคิดจากทฤษฎีการ เรียนรู้ทางสังคมของ Albert Bandura
การสนใจในกระบวนการเรียนรู้ในการเปลี่ยนพฤติกรรม และ จากทฤษฎีFishbein’s theoryซึ่งเป็นทฤษฎีที่บอกการกระทำอย่างมีเหตุผลและบรรทัดฐานสังคม
มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ การทดลองด้านจิตวิทยาจึงทำให้มีการนาจิตวิทยาสังคม และทฤษฎีการเรียนรู้มาเป็นส่วนหนึ่งของ ทฤษฎี
แนวคิดหรือหลักการสำคัญ
1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยส่วนบุคคล
1.เพศ
2.อายุ
3.ลักษณะรูปร่าง
4.สภาวะวัยรุ่น
2.ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม
รับรู้ประโยชน์ต่อการปฏิบัติ
รับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ
รับรู้ความสามารถในการปฏิบัติ
3.พฤติกรรมผลลัพธ์
ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติ
ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่น
พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
การเห็นความสำคัญของสุขภาพ (Importance of health)
รับรู้ว่าสุขภาพสามารถควบคุมได้(Perceivedcontrolofhealth)
รับรู้ความสามารถของตน (Perceive self – efficacy)
คำจำกัดความของสุขภาพ
การรับรู้สภาวะสุขภาพ (Perceived health status)
การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรม(Perceivedbenefitsofbehaviors)
การรับรู้ถึงอุปสรรคของพฤติกรรม (Perceived barriers to health promoting behaviors)
ตัวอย่างการนำไปใช้
การทบทวนและสรุปข้อมูลจากการประเมิน
การสร้างความเข้มแข็งและเสริมสมรรถนะของผู้รับบริการ
การระบุเป้าหมายสุขภาพและพฤติกรรมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
การระบุผลลัพธ์พฤติกรรมและสุขภาพที่บ่งชี้ว่าแผนประสบความสาเร็จตามมุมมองของผู้รับบริการ
การวางแผนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มาจากฐานความชอบของผู้รับบริการภายใต้ระยะของการเปลี่ยนแปลง องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และหลักฐานเชิงประจักษ์ เกี่ยวกับวิธีการที่เลือก
แสดงประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงและระบุแรงจูงใจเพื่อเปลี่ยนแปลงจากมุมมอง ของผู้รับบริการ
ให้ความสาคัญกับสิ่งแวดล้อมและปฏิสัมพันธ์ที่เอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
กาหนดกรอบช่วงเวลาในการปฏิบัติ
ยึดมั่นต่อแผนปฏิบัติและสนับสนุนสิ่งที่เป็นความจาเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายของ ผู้รับบริการ
ข้อตกลงเบื้องต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
บุคคลจะสร้างเงื่อนไขของการดำรงอยู่ ซึ่งสามารถแสดงศักยภาพสูงสุดของสุขภาพ ของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ทุกคนมีเป้าหมายสุขภาพที่ด
บุคคลมีความสามารถสะท้อนการตระหนักรู้ และการประเมินความสามารถของตน นั่นคือบุคคลสามารถทาความเข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งเกี่ยวกับความสามารถของตน
บุคคลมองคุณค่าของการเติบโต ในทางบวกและพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย คือ ความสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงและความคงที่
บุคคลหาวิธีการที่จะทำให้พฤติกรรมดำเนินไปอย่างดี นั่นคือเชื่อว่าบุคคลต้องการหา วิธีการนำพาตนเองให้มีสุขภาพที่ดี
บุคคลมีความซับซ้อนในลักษณะร่างกาย อารมณ์ สังคม ซับซ้อนในการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
บุคลากรทางสุขภาพ เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม
การปรับเปลี่ยนมุมมองต่อตนเองระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมคือความจำเป็นในการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ทฤษฎีการพยาบาลTTM
ความหมายของทฤษฎี
เป็นโมเดลที่อธิบายความตั้งใจหรือความพร้อมของบุคคลที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง
เน้นที่กระบวนการปรัยเปลี่ยนพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคลผู้นั้น
ช่วงแรกๆ TTM ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในผู้ติดเหล้าและบุหรี่
ต่อมาได้ใช้อธิบายพฤติกรรมการป้องกันโรคและการประยุกต์ใช้ในด้านบริการทางการแพทย์
TTM ถูกเรียกอีกชื่อว่า ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Stage of Change : SOC)
โครงสร้างขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงหัวใจหลักในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่งๆเท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวคิดขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
1.ขั้นก่อนมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Pre-contemplation)
เป็นขั้นพฤติกรรมที่ยังไม่ ฏิบัติและยังไม่ตั้งใจจะปฏิบัติ
ไม่มีแรงจูงใจ ไม่พร้อมจะปฏิบัติ เนื่องจากไม่มีความรู้ ไม่รู้สึกถึงผลเสียของพฤติกรรมที่ทำอยู่
ภายใน 6 เดือนข้างหน้าไม่ตั้งใจจะปฏิบัติ
2.ขั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Contemplation)
มักวางแผนว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอีก 1 เดือนข้างหน้า
ตระหนักถึงปัญหาและคิดที่จะแก้ไขพฤติกรรม แต่ประเมินพฤติกรรมที่ทำให้ผลดีน้อยกว่าความพยายาม ความลำบากที่เจอทำให้ไม่เริ่มลงมือเปลี่ยนพฤติกรรมทันที
เป็นขั้นพฤติกรรมที่ยังไม่ปฏิบัติ แต่มีความตั้งใจว่าอาจจะทำ
3.ขั้นเตรียมการ (preparation)
อาจเคยลองเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาแล้วในช่วง1ปีที่ผ่านมา แต่ล้มเหลวหรือ ปัจจุบันอาจจะพยายามเปลี่ยนแปลงแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย
ผู้อยู่ในระดับนี้ต้องอุทิศเวลาและพลังงานอย่างมาก เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยชินให้เป็นพฤติกรรมใหม่ที่ต้องการ
เป็นขั้นพฤติกรรมที่ยังไม่ปฏิบัติ แต่มีความตั้งใจว่าอาจจะทำ
มีความตั้งใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์ข้างหน้า
4.ขั้นปฏิบัติการ (action)
เป็นขั้นพฤติกรรมที่ปฏิบัติเป็นบางครั้ง เป็นประจำเมื่อเร็วนี้
ผู้อยู่ในระดับนี้ต้องอุทิศเวลาและพลังงานอย่างมาก เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยชินให้เป็นพฤติกรรมใหม่ที่ต้องการ
ผู้ป่วยในระดับนี้มักมีอารมณ์ตึงเครียดมากกว่าผู้ที่อยู่ในระดับอื่น
จะถือว่าอยู่ในระดับนี้ เมื่อสามารถปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมายถึงระดับที่ต้องการได้ตั้งแต่ 1 วันแต่อยู่ได้นานไม่เกิน 6 เดือน
5.ขั้นระดับพฤติกรรมคงที่ (maintenance)
เป็นพฤติกรรมที่ปฏิบัติเป็นประจำนานแล้ว
ผู้ที่อยู่ในระดับที่สามารถปฏิบัติประพฤติกรรมเป้าหมายถึงระดับที่ได้ต้องการได้นานกว่า 6 เดือนขึ้นไป
สิ่งที่บุคคลาการทางการแพทย์ต้องทำในระดับนี้คือการป้องกันการย้อนกลับไปปฏิบัติพฤติกรรมเดิมที่เป็นปัญหา
ผู้ป่วยจะมีความมมั่นใจในความสามารถของตนเองในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสูง
แนวคิดหลักในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การรับรู้สมรรถนะแห่งตน(Self-Efficacy)
เป็นความเชื่อมั่นที่บุคคลมีต่อตนเองมีความสามารถที่จะปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมายได้สำเร็จ
ความสมดุลในการตัดสินใจเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Decisional balance )
การที่บุคคลประเมินสมดุลระหว่างผลดี ผลเสีย ที่จะได้รับจากการปฏิบัติพฤติกรรมเป้าหมาย
แนวทางการประยุกต์ใช้
ขั้นก่อนมีความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การปลูกจิตสำนึก
การประเมินพฤติกรรม
2.ขั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
การประเมินตนเอง
การเปรียบเทียบผลดีและผลเสียของพฤติกรรม
3.ขั้นเตรียมการ
การรับรู้สิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนสุขภาพ
4.ขั้นปฏิบัติการ
การหาแรงสนับสนุนทางสังคม
5.ขั้นพฤติกรรมคงที่
การควบคุมสิ่งเร้า
การให้การเสริมแรง
การส่งเสริมความมั่นใจในความสามารถของตน
การพยาบาลข้ามวัฒนธรรม
แนวคิดหรือหลักการสำคัญของทฤษฎี
1.การดูแล (Care)
2.วัฒนธรรม(Culture)
3.การดูแลเชิงวัฒนธรรม(Cultural care)
4.ความหลากหลายของการดูแลเชิงวัฒนธรรม (Culture care diversity)
5.ความเป็นสากลของการดูแลเชิงวัฒนธรรม(Culture care universality)
6.การพยาบาล(Nursing)
7.โลกทัศน์หรือทัศนะ(Worldview)
8.มิติของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม(Cultural a social structure dimensions)
9.บริบทของสิ่งแวดล้อม(Environmental context)
10.ระบบการดูแลพื้นบ้าน(Generic/folk care system)
11.ระบบการดูแลเชิงวิชาชีพ(Professional care system)
มโนทัศน์ของทฤษฎี
1.บุคคล
มีความเป็นสากลในทุกวัฒนธรรม แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของค่านิยม รูปแบบการแสดงออก วิถีชีวิต ของแต่ละวัฒนธรรม รวมทั้งมุมมองของบุคคลต่อโลกรอบตัว
2.สิ่งแวดล้อม
โครงสร้างของสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้บุคคลมีความแตกต่างกัน และเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อภาวะสุขภาพและการดูแลสุขภาพ รวมทั้งการเลือกและการยอมรับการดูแลสุขภาพ
3.สุขภาพ
ระบบการดูแลพื้นบ้าน (Folk/indigenous or naturalistic lay care system)
ระบบการดูแลสุขภาพเชิงวิชาชีพ (Professional health care system)
การดูแลทั้ง2ระบบใหญ่ๆ นี้จะช่วยในการดูแลบุคคลให้มีสุขภาพดี เป็นที่พึงพอใจและสอดคล้องกับค่านิยมในวัฒนธรรมและความต้องการของบุคคล
4.การพยาบาล
การสงวนและดำรงไว้ซึ่งการดูแลด้านวัฒนธรรม หรือการคงไว้ซึ่งการดูแลตามวัฒนธรรมที่เป็นอยู่
การจัดหาและการต่อรองเพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรม หรือการปรับการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่
การวางรูปแบบและโครงสร้างใหม่เพื่อการดูแลด้านวัฒนธรรมหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดูแลในวัฒนธรรมที่เป็นอยู่(Cultural care repatterning)
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
เมดาลิน เอ็ม ไลนินเจอร์(Madeleine M.Leininger)
เป็นพยาบาลวิชาชีพ
ได้รับปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาสังคมวัฒนธรรมจากหมาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington)
เสนอแนวคิดการดูแลทางวัฒนธรรม(Cultural Care)
นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับพยาบาลข้ามวัฒนธรรม พบว่าในแต่ละวัฒนธรรม ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในด้านการรับรู้เกี่ยวกับการดูแล ความรู้เกี่ยวกับการดูแลและการปฏิบัติเพื่อการดูแลที่แตกต่าง ก็ยังมีการดูแลบางอย่างที่มีความคล้ายคลึงกันจนมีการพัฒนาเป็นทฤษฎีการดูแลเชิงวัฒนธรรมที่หลากหลายและเป็นสากล (The theory of cultural care diversity and universality) ซึ่งมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ตัวอย่างการนำไปใช้
1.การประเมิน
เก็บรวบรวมข้อมูลให้ครอบคลุมปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติการดูแลสุขภาพของบุคคล ให้ครอบคลุมทั้งมิติทางโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อให้ได้ข้อมูลเพียงพอที่จะตัดสินใจให้การพยาบาล
2.ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
วินิจฉัยปัญหาทางการพยาบาลให้ครบทั้งด้านกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณโดย เน้นผลกระทบของวัฒนธรรมต่อปัญหาของผู้ใช้บริการ
3.การวางแผนการพยาบาล
กำหนดเป้าหมายการพยาบาลที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่แสดงว่าปัญหาที่มีสาเหตุจากความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้ใช้บริการบรรเทาลง
4.การปฏิบัติการพยาบาล
เลือกวิธีการปฏิบัติการพยาบาลที่เป็นการดูแลที่สอดคล้องกลมกลืนกับวัฒนธรรมของบุคคลตามหลักการดูแลเชิงวัฒนธรรมมากที่สุด
5.การประเมินผล
ประเมินผลการพยาบาลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ให้ครบทั้งด้านกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ
ข้อตกลงเบื้อต้น/จุดเน้นของทฤษฎี
เน้นการให้อิสระและเน้นความเป็นมนุษย์
เน้นความเสมอภาคเท่าเทียม ความเป็นอิสระ มีเสรีภาพเหมือนคนอื่นๆ
ทฤษฎีการพยาบาลแบบต่อเนื่อง
จุดเน้นของทฤษฎี
เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดระยะเวลา/ค่าใช้จ่ายในการนอนโรงพยาบาล
การดูแลต่อเนื่องช่วยให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องของการดูแลสุขภาพ
การดูแลต่อเนื่องสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคหรือความเจ็บป่วยระดับชุมชน
ตัวอย่างการนำทฤษฎีการพยาบาลนั้นไปใช้ในการพยาบาล
ระบบการดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลบางประกอก
การวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยตาม D-METHOD Model
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี
สังคมผู้สูงอายุ
(Aging Society)
ระบบการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
แนวคิดการดูแลต่อเนื่อง
(ที่บ้าน)
อุบัติเหตุ
(Accidents)
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
(Non-Communicable Diseases:NCDs)
มโนทัศน์หลักของทฤษฎี
สิ่งแวดล้อม
ความปลอดภัย ความสะอาด
การพยาบาล
สร้างระบบการประสานงานกับหน่วยบริการอื่นๆ
สุขภาพ
สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วย
บุคคล
ผู้รับบริการ
ผู้ให้บริการ
แนวคิดสำคัญของทฤษฎี
สถานบริการให้การดูแลรักษาอย่างเป็นระบบ
เน้นการบริการเชิงรุก
ปรับจาก การดูแลสุขภาพในระดับบุคคลเป็นการดํแลแบบบูรณาการ
กระบวนการดูแลและผลลัพธ์ การดูแลรักษาที่มีคุณภาพจะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นการดูแลที่ต่อเนื่อง
ให้ผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการดูแลรักษา