Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

(แนวคิดและทฤษฎีการพยาบาล) - Coggle Diagram

- - - - เน้นเรื่องความสมดุลในร่างกายของบุคคลที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ทฤษฎีการพยาบาลส่วนใหญ่มีความสอดคล้องกับเเนวคิดองค์รวมทางสุขภาพ
      - เป็นปรัชญาพื้นฐานทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ที่มีความสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ “คำว่าองค์รวมถูกกล่าวถึงในทางสุขภาพตั้งเเต่สมัยกรีกโบราณ”
    - - 1.คน(Person)
        
        ผู้ใช้บริการทางการพยาบาลซึ่งรวมถึงบุคคล ครอบครัว กลุ่ม และชุมชน
      - 2.สิ่งแวดล้อมEnvironment)
        
        สิ่งที่บุคคลมีปฏิสัมพันธ์อยู่เป็นสิ่งที่อยู่รอบตัวคนเเะมีอิทธิพลต่อภาวะสุขภาพของตน
      - 3.สุขภาพHealth)
        
        สขภาวะของบุคคลมีความหมายตั้งเเต่ปราศจากอาการของโรคสามารถปฏิบัติตามบทบาท
      - 4.การพยาบาลNursing)
        
        มีความรับผิดชอบในการให้บิการด้านสุขภาพและสังคม การพยาบาลจะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ
    - - ส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก
      - ทางเลือกอื่นในการดูแลสุขภาพ
      - สหวิชาชีพทำงานร่วมกัน
      - การดูแลคนไม่ใช่โรค
      - การดูแลอย่างต่อเนื่อง
      - สนับสนุนการดูแลตนเอง
    - - แนวคิดแบบองค์รวมเป็นปรัชญาพื้นฐานทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษย์ที่มีความสำคัญในการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์
    - - สร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับผู้รับบริการ
  - - - เน้นให้บุคคลมีภาวะดุลยภาพของกาย จิตและวิญญาณ
    - - 1.ขั้นประเมินสภาพ(Assessment)
      - 2.ขั้นวินิฉัยทางการพยาบาล(Nurseing Diagnosis)
      - 3.ขั้นวางเเผนการพยาบาล(Nurseing plan)
      - 4.ขั้นปฏิบัติการพยาบาล(Implementation)
      - 5.ขั้นประเมินผล(Evaluation)
    - - 1.การดูแลที่เข้าถึงจิตใจผู้ของบุคคล
        (Transpersonal Caring)
      - 2.ปัจจัยการดูแล
        (Carative Factors
    - - โดยดร.จีน วัตสัน(Jean Watson)พัฒนาทฤษฎีในช่วง ค.ศ.1975-1979
        มีความเชื่อว่ารากฐานการพยาบาลมีประวัติความเกี่ยวข้องกับมนุษยธรรมนิยมจึงได้เสนอทฤษฎีการดูแลที่เน้นความเป็นมนุษย์โยชี้ให้เห็นเห็นองค์รวมของมนุษย์ที่มีมิติจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
    - - การดูแลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ เช่นแผนกอายุรกรรมหญิง
  - - - เป็นกลยุทธ์สำคัญของการจัดระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีคุณภาพ ช่วยลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล ลดภาวะเเทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาล
    - - •เน้นการทำงานเเบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง
        •เป็นกระบวนการที่ช่วยผู้ป่วยแต่ละคนให้ได้รับการเตรียมตัวในการออกจากการดูแลของแพทย์เเละทีมสุขภาพไปสู่การดูแลตนเองที่บ้าน
    - - 1.การส่งต่อ(Referral)
      - 2.การวางแผนจำหน่าย(Discharge plan)
      - 3.การบริการสุขภาพที่บ้าน(Home Health Care)
    - - มี4อย่าง
        
        1.จิตใจ/อารมณ์
        
        2.จิตวิญญาณ
        
        3.ร่างกาย
        
        4.สิ่งแวดล้อม
    - - การจำหน่ายผู้ป่วยตาม D-Method Model
  - - - เน้นการจัดการสิ่งเเวดล้อม
        
        •เน้นเกี่ยวกับการดูเเลและจัดสิ่งเเวดล้อมให้ผู้ป่วยอย่างเหมาะสม
        
        •จัดให้ผู้ป่วยได้รับน้ำ อาหาร อากาศ แสงแดด
        
        สิ่งแวดล้อมสะอาดและเงียบสงบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
    - - สร้างโดยไนติงเกล
        ค.ศ.1820-1910 ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ใหเกำเนิดวิชาชีพพยาบาล
        ค.ศ.1851 เยอรมันนี มีประสบการณ์ดูแลผู้ป่วยและทหารบาดเจ็บในสงครามไครเมีย
    - - บุคคล(Person)
        
        มีศักยภาพหรือมีพลังในตนเองที่จะฟื้นหายหรือซ่อมเเซมสุขภาพและฟื้นคืนสภาพได้ดี ถ้ามีสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย
      - สิ่งแวดล้อม(Environment)
        
        ปัจจัยภายนอกทั้งหมดที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและพัฒนาการ
      - สุขภาพ(Health)
        
        กระบวนการซ่อมแซมที่ร่างกายพยายามที่จะสร้างความสมดุล
      - การพยาบาล(Nursing)
        
        เป็นการจัดการสิ่งเอื้ออำนวยให้เกิดกระบวนการหายด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด
    - - เน้นสิ่งเเวดล้อมเป็นหลัก เป็นการวิเคราะห์ที่มีผลต่อภาวะของผู้ป่วย ถึงเเม้หลักการจะมีมานานเเล้วแต่ยังนำมาใช้จนถึงปัจุบันนี้
    - - การปรับสภาพสิ่งเเวดล้อมให้เหมาะสมกับบุคคล มีความเป็นธรรมชาติ จัดสิ่งแวดล้อมให้ส่งเสริมกับการปรับตัวของบุคคลนั้น
  - - - 1.บุคคล(Person)
        
        เป็นระบบเปิด มีปฏิสัมพันพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มีการปรับตัวแบบองค์รวม คือ กาย จิต สังคมเเละจิตวิญญาณ ไม่สามารถแยกออกจากกันได้
      - 2.สิ่งเเวดล้อม(Environment)
        
        ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวบุคคลทั้งภายในเเละภายนอกมีผลกระทบต่อพัฒนาการเเละพฤติกรรมของบุคคลซึ่งรอยได้เรียกสิ่งแวดล้อมว่าเป็นสิ่งเร้า มี3ประเภท คือ สิ่งเร้าตรง สิ่งเร้าร่วมและสิ่งเร้าแฝง
      - 3.สุขภาพ(Health)
        
        ปรับตัวได้=สมบูรณ์แข็งเเรง
        
        ปรับตัวไม่ได้=สุขภาพไม่ดี/เจ็บป่วย
      - 4.การพยาบาล(Nursing)
        
        เป็นการช่วยเหลือที่ให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และการพยาบาล
    - - เน้นการปรับตัวของบุคคล เพื่อให้บุคคลมีการปรับตัวที่ดี ส่งเสริมให้มีการปรับตัวให้เหมาะสมของบุคคล
    - - ทฤษฎีการปรับตัวของรอย สร้างโดยซิสเตอร์ คอลลิสตา รอย
        สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางการพยาบาลในปี ค.ศ.1963 ปริญญาโททางการพยาบาลและปริญญาเอกทางสังคมศาสตร์ ในปีค.ศ.1996และ1997ตามลำดับ รอยเป็นพยาบาลประจำการแผนกเด็ก ได้เริ่มพัฒนาแบบจำลองการปรับตัว
    - - 1.บุคคลเป็นระบบการปรับตัว
        บุคคลเป็นระบบเปิดมีหน่วยงานย่อยทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบทำให้สามารถปรับตัวได้ดี เมื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในการปรับตัวของบุคคล
      - 2.พฤติกรรมการปรับตัว
        เป็นพฤติกรรมเพื่อบอกผลลัพธ์ของการปรับตัวของบุคคล
        
        1.ด้านร่างกายเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
        
        2.ด้านอัตมโนทัศน์ เป็นการปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคงทางจิตใจ
        
        3.ด้านบทบาทหน้า เป็นการตอบสนองด้านสังคมเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางสังคม
        
        4.ด้านการพึ่งพาระหว่างกัน เป็นการตอบสนองความต้องการของบุคคลที่ต้องการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
      - 3.สิ่งเร้า
        เป็นทุกสถานการณ์หรือทุกภาวะการณ์ที่อยู่รอบตัวบุคคลและมีอิทธิพลต่อพัฒนาการและพฤติกรรมบุคคล สิ่งเร้าเป็นทั้งภายในเเละภายนอกซึ่งกระตุ้นให้บุคคลมีการปรับตัว
    - - 1.ด้านร่างกาย การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
      - 2.ด้านอัตมโนทัศน์ ความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น
      - 3.ด้านบทบาทหน้าที่ ในครอบครัว รับผิดชอบต่อหน้าที่
      - 4.ด้านความสัมพันธ์และพึ่งพาซึ่งกันเเละกัน
        การมีน้ำใจ ความช่วยเหลือ ความรัก
  - - - 1.บุคคล(Person)
        
        บุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพและสามารถกระทำตามที่ได้ตั้งใจไว้
      - 2.สิ่งแวดล้อม(Environment)
        
        1.สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทางเคมีและทางชีวภาพ เช่น ภูมิอากาศ ที่อยู่อาศัย สัตว์ เป็นต้น
        
        2.สิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ครอบครัว ลักษณะและแหล่งประโยชน์ของครอบครัว
        
        3.ชุมชน เช่น ประชากร แหล่งประโยชน์ในชุมชน ระนนบริการสุขภาพ เป็นต้น
      - 3.สุขภาพ(Health)
        
        เป็นภาวะที่มีความสมบูรณ์ไม่บกพร่อง บุคคลที่มีสุขภาพดี คือบุคคลที่สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งด้านสรีระ จิตและสังคม และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง
      - 4.การพยาบาล(Nursing)
        
        เป็นบริการสุขภาพที่มีจุดเน้นที่ความสามารถและความต้องการการดูแลตนเองของบุคคล
    - - มาจากDorothea E.Orem เป็นนักทฤษฎีการพยาบาลชั้นนำ มีผลงานคือแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาของพยาบาลเชิงปฏิบัติ :
    - - เน้นที่ตัวบุคคล คือความสามารถของบุคคลที่จะตอบสนองต่อความต้องการในการดูแลตนเอง
    - - การดูแลตนเอง
      - ความต้องการดูแลตนเองทั้งหมด
      - ความสามารถในการดูแลตนเอง
      - ความพร่องในการดูแลตนเอง
      - ความสามารถทางการพยาบาล
      - ปัจจัยเงื่อนไขพื้นฐาน
    - - การประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว
        •เน้นการดูเเละตนเอง กระตุ้นความสามารถในการดูแลตนเองและตอบสนองความต้องการดูแลตนเองทั้งหมด
  - - - สร้างโดย
        
        •ดร.จีน วัตสัน(Jean Watson)
        
        •วัตสัน เกิดปีค.ศ.1940 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
        
        •ได้รับการตีพิมพ์การพัฒนาทฤษฎีการดูแลระหว่างบุคคล
    - - 1.การดูแลและความรักเป็นพลังสากล
      - 2.มนุษย์ต้องการความรักและการดูแลซึ่งกันเเละกัน
      - 3.ก่อนจะดูแลผู้อื่นพยาบาลต้องดูแลตนเองด้วยความสุภาพอ่อนโยน
      - 4.รักศักดิ์ศรีของตนเอง
      - 5.การพยาบาลต้องยึดถือการดูแลความเป็นมนุษย์
        •ภาวะสุขภาพดีเเละการเจ็บป่วย
      - 6.การดูแล แกนกลางของพยาบาล เป็นจุดเน้นของการปฏิบัติการพยาบาล
      - 7.การดูแลเชิงมนุษย์นิยม
        •รายบุคคลหรือกลุ่ม ได้รับความสนใจจากระบบบริการสุขภาพน้อยลง
      - 8 .
        
        ค่านิยมเกี่ยวกับการดูแลของพยาบาล
        
        •ถูกบดบังไว้จากการใช้เทคโนโลยีทางการเเพทย์ที่เพิ่มขึ้น
        
        •ค่านิยม/อุดมคติเน้นความเป็นมนุษย์จึงอยู่ในภาวะวิกฤติ
      - 9.การอนุรักษ์และการศึกษาเรื่องการดูแลมนุษย์
      - 10.การดูแลมนุษย์
        •ปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
      - 11.ประโยชน์ของวิชาชีพการพยาบาลต่อสังคม
        •การยึดมั่นในการดูแลเชิงมนุษย์นิยมทั้งด้านทฤษฎี การปฏิบัติและการวิจัย
    - - 1.มนุษย์(Human Being)
        
        •ร่างกาย จิตใจเเละจิตวิญญาณเป็นแก่นตัวตนของบุคคล เป็นแหล่งที่เกิดความตระหนักในตนเอง
      - 2.สุขภาพ(Health)
        
        •ภาวะที่มีดุลยภาพระหว่างร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ
        •สุขภาพสามารถปรับตัวในการทำกิจวัตรประจำวันได้
      - 3.สิ่งแวดล้อม/สังคม(Environment/Society)
        
        •สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการรับรู้และพัฒนาการของบุคคล
        •ค่านิยมของสังคมเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมให้การดูแลเกิดขึ้น
      - 4.การพยาบาล(Nursing)
        
        •เป็นกระบวนการดูแลที่เข้าถึงจิตใจเเละความรู้สึกของบุคคล
        •ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การเยียวยาการเจ็บป่วย
    - - 1.การดูแลที่เข้าถึงจิตใจของบุคคล
        
        ตัวตน/สนามปรากฏการณ์/ดูแลที่เกิดขึ้นจริง
      - 2.ปัจจัยการดูแล
        
        มีหลายปัจจัย
        
        •ระบบคุณค่าการสร้างประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์
        
        •ความศรัทธา
        
        •ความไวต่อความรู้สึก
        
        •การสร้างสัมพันธภาพการช่วยเหลือไววางใจ
        
        •การยอมรับการแสดงออก
        
        •การใช้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ในกระบวนการดูแล
        
        •การส่งเสริมการเรียนการสอน
        
        •การประคับประคอง สนับสนุน
        
        •การช่วยเหลือเพื่อตอบสนอง
        
        •การเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณในการมีชีวิตอยู่
    - - ใช้เพื่อให้เกิดการดูแลที่ดี เข้าถึงความคิด จิตใจ ของผู้รับบริการกับพยาบาลและสามารถช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล
  - - - 1.บุคคล(Person)
        
        มีความนึกคิด ความรู้สึกเป็นของตนเอง
        
        มีเหตุผลของตนเอง
        
        ความสามารถที่จะกระทำสิ่งต่างๆ
        
        ทุกคนมีเวลาในเรื่องต่างๆที่เหมาะสมเฉพาะของตนเอง
      - 2.สิ่งแวดล้อม(Environment)
        
        บุคคลมีทั้งสิ่งแวดล้อมภายในเเละภายนอก บุคคลมีความสามารถในการนำพลังงานมาช่วยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอกได้
      - 3.สุขภาพ(Health)
        
        ภาวะสุขภาพ คือ ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาททางสังคม ภาวะความเจ็บป่วย คือภาวะที่มีความเบี่ยงเบนของโครงสร้างร่างกายและจิตใจหรือภาวะที่มีความขัดเเย้งกับสัมพันธภาพของบุคคลในสังคม
      - 4.การพยาบาล(Nursing)
        
        เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของพยาบาลและผู้ใช้บริการ มีการสื่อสารรับรู้สถานการณ์ มีการตั้งเป้าหมาย และกำหนดจุดหมายของความสำเร็จร่วมกัน
    - - ผู้สร้างคือ คิง (Imogene M.King) พยาบาลชาวอเมริกัน ได้เสนอมโนทัศน์ระบบปฏิสัมพันธ์เเละมีการพัฒนามโนทัศน์เป็นทฤษฎีการบรรลุเป้าหมาย
    - - 1.ข้อตกลงรวมของทฤษฎี
        
        กระบวนการปฏิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่อาจนำไปสู่ภาวะสุขภาพปกติ
      - 2.ข้อตกลงเกี่บวกับปฏิสัมพันธ์ของพยาบาลและผู้ใช้บริการ
        
        บุคลากรในทีมสุขภาพมีหน้าที่ให้ข้อมูลผู้ใช้บริการ เพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่บวกับการบริการด้านสุขภาพได้
        
        ผู้ใช้บริการมีสิทธิที่จะรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
        
        เป้าหมาย ความต้องการและค่านิยมของพยาบาลและผู้ใช้บริการมีอิทธิพลต่อกระบวนการปฏิสัมพันธ์
    - - ระบบบุคคล(Personal System)
        
        มีแบบแผนเฉพาะของตนในการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
        
        การเปลี่ยนแปลงของสภาวะรอบตัวของบุคคล จะมีการปรับเปลี่ยนแบบแผน การรับรู้
        
        การเจริญเติบโตและพัฒนาการ
      - ระบบระหว่างบุคคล(Interpersonal System)
        
        บุคคลอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม2-3คนขึ้นไปจะมีการปรับเปลี่ยนแบบแผน
        
        ปฏิสัมพันธ์(Interation)
        
        ภาวะเครียด เมื่อเกิดความขัดเเย้ง(Stress)
      - ระบบสังคม(Social System)
        
        มีการจัดองค์กรณ์ จัดแบ่งอำนาจและตำแหน่งในสังคม
        
        เพื่อประโยชน์การตัดสินใจหรือวางนโยบายร่วมกันในสังคม
        
        กลุ่มคนหลายๆกลุ่ม มีจุดมุ่งหมายคล้ายๆกัน
    - - การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ป่วยโรคไต ตามทฤษฎีของคิง
        
        1.การประเมินสภาพ(Assessment)
        
        2.การวางแผนการพยาบาล(Planning)
        
        3.การปฏิบัติการพยาบาล(Implementation)
        
        4.การประเมินผล(Evaluation)
  - - - 1.ลักษณะเฉพาะและประสบการณ์ของบุคคล
        (Individual Characteristics and Experiences)
        
        1.1พฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง(Prior related behavior
        
        1.2ปัจจัยส่วนบุคคล(Personal Factors)
      - 2.ความคิดและอารมณ์ต่อพฤติกรรม
        (Behavior-Specific Cognition and Affect)
        
        การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติ
        
        การรับรู้ประโยชน์ในการปฏิบัติ
        
        การรับรู้ความสามารถในการปฏิบัติ
      - 3.พฤติกรรมผลลัพธ์
        (Behavioral Outcome)
        
        3.1ความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติพฤติกรรม
        (Commitment to a Plan of Actions)
        
        3.2ความจำเป็นอื่นและทางเลือกอื่นที่เกิดขึ้น
        (Immadiate Competing Demands and Prefernces)
        
        3.3พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
        (Health-Promoting Behavior)
    - - 1.การเห็นความสำคัญของสุขภาพ
        (Impotance of health)
      - 2.การรับรู้สุขภาพสามารถควบคุมได้
        (Perceived control of health)
      - 3.รับรู้ความสามารถของตน(Perceive-effcacy)
      - 4.การรับรู้สภาวะสุขภาพ
        (Perceived health status)
      - 5.การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรม
        (Perceived benefits of behavioers)
      - 6.การรับรู้ถึงอุปสรรค์ของพฤติกรรม
        (Health promoting behaviors)
    - - ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้คือ ดร.โนลา เจ เพนเดอร์ (Pender,Nola J.)
        พูดถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจนถึงการปฏิบัติกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
        ส่งเสริมการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
        พัฒนาแบบจำลองสุขภาพ เน้นการป้องกันและคงไว้
    - - การประเมินและส่งเสริมสุขภาพของผู้รับบริการ
    - - 1.ลักษณะจำเพาะเเละประสบการณ์
        
        ปัจจัยส่วนบุคคล
        
        เพศ,อายุ,สภาวะความเป็นวัยรุ่น,ลักษณะรูปร่าง
      - 2.อารมณ์และความคิดต่อพฤติกรรม
        
        .การรับรู้อุปสรรค์ในการปฏิบัติ
        .การรับรู้ปนะโยชน์ในการปฏิบัติ
        .การรับรู้ความสามารถในการปฏิบัติ
      - 3.พฤติกรรมผลลัพธ์
        
        ทางเลือกอื่นๆตามความจำเป็น
        พฤติกรรมต่างๆที่ส่งเสริมสุขภาพ
  - - - เป็นโมเดลที่อธิบายความตั้งใจหรือความพร้อมของบุคคลที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง ในช่วงเเรกๆที่TTM ถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออธิบายการเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรมในผู้ติดเหล้าและบุหรี่ ต่อมาได้ขยายขอบเขต มาใช้อธิบายพฤติกรรมการป้องกันโรคและการประยุกต์ใช้ในด้านบริการทางการแพทย์
    - - มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพใหเสอดคล้องกับชั้นความพร้อม(Stage-matched intervention ของบุคคล
      - ส่งเสริมการรับรู้แห่งตน (Self-Efficacy) ให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาผลดี ผลเสีย ที่ได้รับจากการปฏิบัติ
    - - การอธิบายให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านทัศนคติ(attitude)และความตั้งใจในการเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออก
    - - สุขภาพ(Health)
      - สิ่งแวดล้อม(Environment)
      - การพยาบาล(Nursing)
      - คน/บุคคล(Person)
    - - 1.ขั้นก่อนมีความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม(Precontemplation)
      - 2.ขั้นมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม(Contempaltion)
      - 3.ขั้นเตรียมการ(Perparation)
      - 4.ขั้นปฏิบัติการ(Action)
      - 5.ขั้นพฤติกรรมคงที่(Aintenace)
  - - - มีพื้นฐานมาจากความรู้ด้านวัฒนธรรมทางการพยาบาล ซึ่งเปรียบเทียบและวิเคราะห์วัฒนธรรมที่ต้องนำมาในการปฏิบัติการพยาบาล โดยมีความเชื่อเเละให้คุณค่าแก่วัฒนธรรมว่ามีอ่ทธิพลต่อภาวะสุขภาพและการเจ็บป่วย
    - - •เรียนรู้วัฒนธรรมของพยาบาลและวัฒนธรรมอื่ที่พยาบาลควรรู้
      - •หลีกเลี่ยงความลำเอียงและไม่ยุติธรรมหรืออุปทานเกี่ยวกับวัฒนธรรม
      - •ประเมินมุมมองหรือทัศนะที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์หรือภาวะที่ผู้รับบริการประสบอยู่
    - - คน(Person)
        
        หมายถึง บุคคลซึ่งดูแลตนเองและมีปฏิสัมพันธ์หรือสามารถเกี่ยวข้องกะบบุคคลอื่น โดยที่การดูแลจะมีความเป็นสากลและความสอดคล้องที่กลมกลืนกับวัฒนธรรมของบุคคล
      - สิ่งแวดล้อม(Environment)
        
        หมายถึง มุมมองและโครงสร้างสังคม หรือบริบทของสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสัมพันธ์ใหล้ชิดดับมโนติของวัฒนธรรม(เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ศิลปะ ประเพณี ค่านิยม)
      - ภาวะสุขภาพ(Health)
        
        หมายถึง ภาวการณ์อยู่ดีมีสุข โดยรวมถึงคุณค่า และการปฏิบัติด้านวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับความสามารถของบุคคลในการปฏิบัติบทบาทในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบสุขภาพ
      - การพยาบาล(Nursing)
        
        เป็นศาสตร์เเละศิลปะของมนุษย์ ซึ่งต้องอาศัยการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล รวมถึงบทบาท หน้าที่เเละกระบวนการส่งเสริมและดำรงไว้ซึ่งสุขภาพหรือฟื้นฟูการเจ็บป่วย
    - - ทฤษฎีการพยาบาลข้ามนวัฒกรรม จะต้องรวมความเชื่อทางวัฒนธรรมการดูแล ค่านิยมของบุคคล ครอบครัว และกลุ่มบุคคลเข้ากับการปฏิบัติการพยาบาลที่สอดคล้องกับนวัฒกรรมและมีประสิทธิผลเป็นที่น่าพอใจ
    - - ตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางวัฒนธรรมการให้การพยาบาล
      - เสริมสร้างความปรารถนาที่จะมีสมรรถนะทางวัฒนธรรมโดยการสร้างเเรงจูงใจ