Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยา ระบบทางเดินอาหาร, 333, 36, 37, 20170201175119_222, Namwah…
พยาธิสรีรวิทยา
ระบบทางเดินอาหาร
สรีรวิทยาของระบบทางเดินอาหาร
ระบบย่อยอาหาร (The Digestive System)
มีหน้าที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร การดูดซึมอาหาร และ
ช่วยระบายกากอาหารออกจากร่างกาย ระบบย่อยอาหาร
ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ คือ
อวัยวะที่ทําหน้าที่เป็นทางผ่านของอาหาร (Alimentary tract)
เริ่มต้นจากปาก (Mouth) หลอด
คอหรือลําคอ (Pharynx) หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะอาหาร (Stomach) ลําไส้เล็ก (small
intestine) ลําไส้ใหญ่ (Large intestine) และทวารหนัก (Anus)
อวัยวะที่ช่วยย่อยอาหาร
ได้แก่
ต่อมน้ำลาย (Salivary gland) ตับ (Liver) และตับอ่อน (Pancreas)
ทําหน้าที่
เป็นทางผ่านของอาหาร และของเหลวต่างๆ (Ingestion)
ย่อยอาหาร (Digestion) ให้อยู่ในสภาพที่ดูดซึมได้
มีการดูดซึม (Absorption) สารอาหารเข้าสู่กระแสโลหิต
มีการเคลื่อนไว (motility) ของทางเดินอาหารและขับของเสียออกจากร่างกายทางอุจจาระ
กระบวนการเมตาบอลิซึม
1.ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
อาหารที่รับประทานเข้าไป ถูกแปรสภาพอาหารจากน้ำย่อย เปลี่ยนโมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็กถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์เรียกว่า การย่อยอาหาร (Digestion)
การย่อยอาหารมี 2 ขั้นตอน
การย่อยเชิงกล (Mechanical digestion)
การย่อยทางเคมี (Chemical digestion
อวัยวะที่ช่วยย่อยอาหาร
ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland)
ผลิตน้ำย่อยอะไมเลส (Amylase)
กระเพาะอาหาร (Stomach)
ผลิตน้ำย่อยเพปซิน
ลําไส้เล็ก
(Small Intestine)
ผลิตน้ำย่อยมอลเทส
ตับ (Liver)
ผลิตน้ำดี
รงควัตถุน้ำดี (Bile Pigment)
โคเรสเตอรอล (Cholesterol)
ตับอ่อน (Pancreas)
ผลิตน้ำย่อยลิเพส
การดูดซึมอาหารในลำไส้เล็ก
กระบวนการที่นําอาหารที่ผ่านการย่อยจนได้เป็นสารโมเลกุลเดี่ยว ผ่านผนังทางเดินอาหาร ลําไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือดไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย
การดูดซึมในลำไส้ใหญ่
อาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้ถูกส่งไปยังลําไส้ใหญ่ เซลล์ที่บุผนังลําไส้ใหญ่
ดูดน้ำ แร่ธาตุ วิตามิน และกลูโคสจากกากอาหารเข้ากระแสเลือด
ทำให้กากอาหารข้นขึ้น จนเป็นก้อนกากอาหารผ่านไปถึงไส้ตรง และผนังภายในลําไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นก้อนอาหาร
ภาวะโภชนาการที่ผิดปกติ
โภชนาการ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและสุขภาพของร่างกาย ในปริมาณและสัดส่วนของสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับ เพื่อนําไปใช้เป็นพลังงานในการเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนต่างๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสารอาหาร
ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition)
เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารจําเป็นในปริมาณที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานๆ จนส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกาย และจิตใจ
แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ภาวะที่มีโภชนาการเกิน (Overnutrition)
เกิดจากการได้รับสารอาหารมากเกินพอ
หรือไม่สมดุลเป็นเวลานานๆ
ทําให้มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ปกติมีการสะสมส่วนที่เกินไว้ในรูปของไขมัน ทําให้เกิดโรคอ้วน (Obesity)
สาเหตุของโรคอ้วน
พันธุกรรม
รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วไม่มีเวลาออกกําลังกาย
พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันที่ไม่เหมาะสม มีการใช้พลังงานต่ํา
โรคบางชนิด เช่น Cushing ‘s Syndrome เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายทําให้อ้วนบริเวณใบหน้า ลําตัว ต้นคอด้านหลังแต่แขนขาเล็ก
โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน ได้แก่
โรคหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน
โรคถุงน้ำดี ไขมันพอกตับ
ภาวะขาดสารอาหาร (Under nutrition or nutritional deficiency)
เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ขาดสารอาหารเพียงชนิดเดียวหรือมากกว่า 1 อย่าง และอาจขาดพลังงานหรือไม่ก็ได้
1.การขาดโปรตีนและพลังงาน PEM หรือ PCM
ได้แก่
Kwashiorkor ที่เกิดจากการขาดสารอาหารโปรตีนเรื้อรัง
Marasmus ที่เกิดจากการขาดพลังงานและโปรตีนเป็นเวลานาน
2.Anorexia nervosa and bulimia เป็นความผิดปกติของการกิน (eating disorder)
ผู้ป่วย Anorexia จะหมกมุ่นอย่างมากในเรื่องการกินอาหารและน้ำหนักตัวของตนเอง กลัวอ้วน มองว่าตนเองเป็นคนอ้วนอยู่ตลอดเวลา
พวก bulimia จะควบคุมการกินของตัวเองไม่ได้ โดยมีอาการกินมาก กินเร็ว ไม่หยุด มักเป็นของหวาน
หรือของย่อยง่าย
ภาวะการขาดวิตามิน
โรคขาดวิตามินเอ
เกิดอาการตาบอดกลางคืน
การป้องกัน
รับประทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก ผักบุ้ง ตําลึง
โรคขาดวิตามินบีหนึ่ง
เกิดโรคโรคเหน็บชา
การป้องกัน
บริโภคอาหารที่ให้วิตามินบี 1 ได้แก่ จมูกข้าว ยีสต์ เนื้อหมูสุก เนื อเป็ด ปลาทูนึ่งผักบุ้ง พริกหยวก ถั่วเมล็ดแห้ง ขนมปัง ไข่ไก่ นมสด
โรคขาดวิตามินบีสอง
เกิดโรคปากนกกระจอก
เป็นแผลหรือรอยแตกที่มุมปากทั้งสองข้างหรือซอกจมูกมีเกล็ดใสเล็กๆ
โรคขาดวิตามินซี
เกิดโรคลักปิดลักเปิด
อาการมีความต้านทานโรคต่ำ เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย ถ้าเป็นมากฟันจะโยก
รวน และมีเลือดออกตามไรฟันง่าย
โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส
มักจะเป็นโรคกระดูกอ่อน
โรคขาดธาตุเหล็ก
มักจะเป็นโรคโลหิตจาง
เนื่องจากร่างกายสร้างเฮโมโกลบินได้น้อยกว่าปกติ ทําให้ร่างกายอ่อนเพลีย
โรคขาดธาตุไอโอดีน
มักจะเป็นโรคคอพอก และต่อมไทรอยด์บวมโต
โรคที่เกิดจากคมวามผิดปกติของระบบททางเดินอาหาร
ความผิดปกติของผนังอาหาร
ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia)
เป็นความผิดปกติของ diaphragm ซึ่งเกิดการดันหรือเลือนของกระเพาะอาหารส่วนบนเข้าไปในช่องอก
แบ่งออกเป็น 2ชนิด ได้แก่
1) sliding (direct) hiatal hernia
ปัจจัยที่ทำให้เกิด
มีหลอดอาหารสั้นมาแต่กําเนิด
ได้รับบาดเจ็บหรือความอ่อนแอของกล้ามเนื้อกระบังลม
มีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
การไอ โก่งตัวหรืองอตัว
การใส่เสื้อผ้าคับแน่นเกินไป
2) paraesophageal (rolling) hiatal hernia
การเลื่อนของ greater Curvature ของกระเพาะอาหารผ่านเข้าไปทางรูเปิดของdiaphragm
ภาวะแทรกซ้อน คือ strangulation
การตรวจวินิจฉัย
-barium Swallowing
-endoscopy -chest X-ray
อาการและอาการแสดง
ช่วงแรก มักไม่มีอาการแสดง ต่อมามีอาการขย้อน (reflux) กลืนลําบาก จุกเสียดอกหรือปวดบริเวณ epigastrium โดยมักมีอาการแน่นใต้ sternum หลังรับประทานอาหาร
การรักษา
sliding hiatal hernia รักษาแบบประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได้ จําเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัด
รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
นอนในท่า semi-fowler position หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่านอนชันเข่า
เลี่ยงการใส่เสื้อผ้าคับ หรือรัดหน้าท้อง
2.กระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis)
เกิดจากการอักเสบของ gastric mucosa อาจเกิดจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
เช่น gastric acid, bile reflux, ยา หรือ toxins ร่วมกับความบกพร่องของกลไกการป้องกันตามธรรมชาติ
แบ่งตามลักษณะของการอักเสบเป็น 2ชนิด ได้แก่
1.กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute gastritis)
เกิดจาก
การรับประทานกรด-ด่าง ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน
รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด ร้อนจัด
สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้ามาก
การติดเชื้อ เช่น Staphylococci, Salmonella
ยาบางชนิด เช่น aspirin, reserpine, cytotoxic agents
2.กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง (Chronic gastritis)
เกิดจาก
การติดเชื้อ helicobacter pylori
การรับประทานยาบางชนิด เช่น salicylates
การดื่มเหล้ามาก สูบบุหรี่เป็นประจำ
การอักเสบชนิดเรื้อรังแบ่งได้ตามตําแหน่งของการอักเสบ ดังนี้
-Type A พบการอักเสบบริเวณ fundus
-Type B (environmental gastritis) เป็นการอักเสบเรื้อรังทั่วทั้งกระเพาะอาหาร
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยกระเพาะอาหารอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจมีภาวะซีดเนื่องจากเสียเลือดเป็นเวลานาน ตรวจพบเลือดในอุจจาระหรืออาเจียนมีเลือดปน
การรักษา
การรักษาทางยา ได้แก่ antacids, Sucralfate (carafate) H2 blockers หรือprostaglandins
ขจัดสาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบ เช่น ยา ภาวะติดเชื้อ
การป้องกัน
-หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า งดสูบบุหรี
-หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ผสม cafeine
-หลีกเลี่ยงการรับประทานสารเคมีหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรด ด่าง
-ไม่รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
การเกิดพยาธิสภาพ
ระยะแรกการอักเสบ จะมีการแดงและหนาตัวของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ต่อมาผนังของกระเพาะจะบางและฝ่อ (atrophy)
กระเพาะอาหารจะมี mucosal barrier ถ้ากลไกการป้องกันล้มเหลว จะทําให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ ทําให้เส้นเลือดเล็กๆ บวม มีเลือดออกและเกิดรอยถลอก
แผลในทางเดินอาหาร (Peptic Ulcer)
กลไกการเกิดพยาธิสภาพ
เกิดจากการขาดสมดุลของสารคัดหลั่งจากกระเพาะอาหาร คือ hydrochloric acid และ
pepsin กับฝ่ายทําหน้าที่ป้องกัน
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร
-ฮอร์โมน เช่น ACTH และ Cortisone
-ความเครียดทางอารมณ์
-ยาบางชนิด เช่นanti-inflammatory agents,cafeine,phenylbutazone และchemotherapeutic agents
ชนิดของแผลในระบบทางเดินอาหาร แบ่งเป็น 3ประเภท ดังนี้
แผลในทางเดินอาหารจากภาวะเครียด (Stress ulcer)
เกิดจากภาวะการเจ็บป่วยรุนแรง ทําให้มีการทําลาย gastric mucosa เกิดแผลหลายแห่ง มีลักษณะเล็กๆ อยู่ตื้นๆ ไม่ลึกถึงกล้ามเนื้อ
กลไกการเกิด Stress ulcer อาจเกิดจาก
ภาวะ ischemia เมื่อเยื่อบุขาดเลือดไปเลี้ยง
การเพิ่ม back-diffusion ของ H+ เยื่อบุไวต่อ pepsin และ hydrochloric acid
อาการและอาการแสดง
มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นในเวลา3-7วัน หรือภายในเวลา 21 วันหลังการบาดเจ็บ
การรักษา
ควบคุมการเสียเลือด ป้องกันแก้ไขภาวะช็อค และ รักษาตามสาเหตุของ stress ulcer
แผลในกระเพาะอาหาร
เกิดจากการขาดสมดุลระหว่างปัจจัยที่ทําลาย mucosa และกลไกการป้องกัน mucosa ทําให้เกิดการอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหาร
สาเหตุ
เกิดจากการลดแรงดันใน pyloric Sphincter ทําให้มีการเพิ่มการย้อนกลับ (reflux)ของ doudenal material เข้าสู่กระเพาะอาหาร
การหลั่ง histamine ทําลาย mucosa และทําให้บวม
ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
มีประวัติแผลในกระเพาะอาหารในครอบครัว
รับประทานยาพวก salicylates หรือยา NSAIDS
มีการติดเชื้อ helicobacter pylori
ลักษณะแผล
ลึก กลม ผิวสะอาดเรียบ แต่เยื่อบุโดยรอบมักจะบวม ถ้าแผลลึกมีการฉีกขาดของเส้นเลือดจะมีเลือดออก แผลสกปรก มีเนื้อตายอาจเป็นมะเร็ง
แผลในลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal ulcer)
พยาธิสภาพจาก Gross เป็นแผลลึกขอบคม
เรียบ และ ก้นแผลสะอาด
80% ของแผลในทางเดินอาหารมักจะเกิด
บริเวณลําไส้เล็กส่วนต้น
พบบ่อยในเพศชายอายุประมาณ 30-50 ปี คน
ที่มีหมู่เลือดกลุ่ม O และผู้ที่มีความเครียดสูง
อาการของแผลในกระเพาะอาหาร
ปวดท้องที่ลิ้นปี่เรื้อรังหรือแสบที่กระเพาะอาหาร มักมี
อาการตอนท้องว่างหรือ 2-3ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
หายใจลําบาก อาหารไม่ย่อย
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น
การเกิดแผลทะลุ
การเกิดแผลลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง
การอุดตัน
การรักษา
เลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
ลดการหลั่ง hydrochloric acid หรือทําให้ภาวะกรดเป็นกลาง
เพิ่มความต้านทานหรือความแข็งแรงของ mucosal layer
4.โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease)
Crohn's disease
เป็นการอักเสบชนิด glunulomatous ซึ่งอาจกลับเป็นซ้ำ เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก
พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นอาจเกิดที่ลําไส้เล็ก หรือทั้งลําไส้เล็ก
และลําไส้ใหญ่ หรือลําไส้ใหญ่อย่างเดียว
รอยโรคเป็นแผลลึก Fissuring และทะลุเชื่อมไปยังอวัยวะอื่นๆ
การอักเสบของลําไส้มีขอบเขตชัดเจน และอักเสบตลอด
ความหนาของลําไส้ (transmural involvement)
อาการ
ท้องเสียเป็นพักๆ ปวดบิด พบบ่อยบริเวณท้องด้านขวาล่าง
นํ้าหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลียอย่างรุนแรง
มีความไม่สมดุลของสารนํ้าและอิเลคโตรลัยท์
ผู้ป่วยที่ท้องเสียรุนแรงพบแผลบริเวณรอบทวารบ่อย
มีไข้ตํ่าๆ
Ulcerative colitis
เป็นการอักเสบของลําไส้ใหญ่เรื้อรัง และเป็นๆหายๆ เกิดที่ rectum และอักเสบตลอดลําไส้ใหญ่
มีเลือดออกง่าย
อาการ
ถ่ายเป็นเลือดและท้องเสีย
มีไข้ ปวดท้อง
เสี่ยงต่อการเกิด toxic megacolon และ perforation
ภาวะแทรกซ้อน
เกิดรูทะลุ ระหว่างทางเดินอาหารและอวัยวะที่อยู่
ใกล้กัน เช่น กระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด ผิวหนัง
พบข้ออักเสบ ตาอักเสบ ผิวหนังอักเสบ ช่องปากอักเสบ anemia เลือดแข็งตัวง่าย ทางเดินนํ้าดีอักเสบ
มะเร็งของลําไส้ใหญ่ (cancer of colon)
การรักษา
มุ่งเน้นเพื่อรักษาการอักเสบ ช่วยให้มีการฟื้นหายกลับสู่สภาพปกติ คงไว้ซึ่งภาวะโภชนาการที่เพียงพอและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
5.ถุงผนังลําไส้อักเสบ (Diverticulitis)
เป็นการอักเสบของกระเปาะเยื่อบุลําไส้ใหญ่
อาการ
ปวดเกร็งที่ท้องส่วนล่าง
ท้องผูกหรือท้องเสีย
คลื่นไส้หรืออาเจียน เบื่ออาหาร
มีไข้สูงกว่า 38องศาเซลเซียส หนาวสั่น
อุจจาระปนเลือดหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก
การรักษา
แนะนําให้รับประทานอาหารที่มีกากใย
diverticulitis ต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน จําเป็นต้องผ่าตัด
การตรวจวินิจฉัย การทําsigmoidoscope
ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว
1.กรดไหลย้อน Gastroesophageal Reflux Disease: GERD
เป็นภาวะที่กรดหรือนํ้าย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับผ่าน lower esophageal sphincter (LES) จนทําให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร
เกิดจาก
ประสิทธิภาพของ esophageal antireflux
mechanism ลดลง
มี sliding hernia
-gastric emptying และ gastric volume เพิ่มขึ้น
ความสามารถในการซ่อมแซม Esophageal ลดลง
อาการ GERD
จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณอก
อาหารไม่ย่อย เรอบ่อย คลื่นไส้ มีนํ้ารสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
กลืนอาหารได้ลําบาก
ไอเรื้อรัง ระคายเคืองคอตลอดเวลา
เสียงแหบแห้ง หรือฟันผุ
การรักษา GERD
รับประทานอาหารที่ละน้อยแต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารที่มีไขมันตํ่า
นอนศีรษะสูงจากพื้นประมาณ 6 นิ้ว
อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อเพิ่มนํ้าลาย
ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ
2.Achalasia
เป็นความผิดปกติของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อของหลอดอาหาร ทําให้กลืนลําบากเนื่องจากขณะที่กลืนกล้ามเนื้อเรียบของหลอดอาหารไม่สามารถบีบตัวตามปกติและกล้ามเนื้อหูรูดของทางเดินอาหารส่วนล่างไม่คลายตัว ทําให้หลอดอาหารขยายโตขึ้น
อาการ
กลืนลําบาก
ขย้อนอาหารที่ค้างอยู่ในตอนกลางคืน
เกิดการสําลักเอาเศษอาหารหรือน้ำย่อยที่ขย้อนเข้าไปในปอด ทําให้ติดเชื้อได้
ภาวะแทรกซ้อน คือ หลอดอาหารอักเสบหรือ เกิดแผลในหลอดอาหาร
การรักษา
การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ
ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง
เลี่ยงยาที่ทําให้เกิดการระคายเคืองและแผลในทางเดินอาหาร
งดอาหารที่ร้อน เย็น รสจัด เหล้า
ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อให้น้ำลายในปากช่วยในการย่อย
การรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน
โดย Bouginenage หรือการขยายหลอดอาหาร
ในรายที่ทํา Bouginenage ไม่ได้ผล หรือมีแผลอักเสบ ต้องผ่าตัด esophagomyotomyหรือ Heller procedure และ pyloroplasty
ท้องผูก (constipation)
การถ่ายอุจจาระลําบาก อุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระน้อยครั้งกว่าที่เคยเป็นปกติ หรือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะเรียกว่ามีอาการท้องผูก
สาเหตุเกิดจาก
ความผิดปกติทางระบบประสาทของลําไส้ใหญ่
ความผิดปกติของการทําหน้าที่ เช่น ภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง
การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย
แบบแผนการดําเนินชีวิต เช่น ขาดการออกกําลังกาย
ยาบางชนิด เช่น antacids ยา opiates
อาการท้องผูก
ถ่ายอุจจาระ ปริมาณน้อย จํานวนครั้งน้อยลง
ถ่ายลําบาก รู้สึกแน่นและไม่สุขสบายในท้อง
การรักษาตามสาเหตุ
ปรับเปลี่ยนแบบแผนการดําเนินชีวิตให้เหมาะสม
ดื่ื่มนํ้ามากๆ
การออกกําลังกายเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลําไส้
ขับถ่ายให้เป็นเวลา
กรณีมีความผิดปกติจากพยาธิสภาพต้องผ่าตัด
ท้องเสียแบ่งตามกลไกการเกิด
Osmotic diarrhea เกิดจากมีสารซึ่งไม่สามารถดูดซึมได้และสารตกค้างอยู่ใน ลําไส้เป็นจํานวนมาก
Secretory diarrhea มักเกิดจาก bacterial enterotoxinsได้แก่ cholera และ E.coli จากเนื้องอก
Motility diarrhea มีสาเหตุจากการผ่าตัดลําไส้ การเกิดรูรั่วของลําไส้
การอุดตันของลำไส้ (Intestinal obstruction)
ภาวะที่มีสิ่งอุดตันหรือรบกวนการบีบตัวของลําไส้ ทําให้อาหารหรือของเหลวต่าง ๆ เคลื่อนผ่านไม่ได้ตามปกต
มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง
สาเหตุลําไส้อุดตัน เช่น ท้องผูกรุนแรง พังผืดในลําไส้ ลําไส้ทํางานผิดปกต
อาการอุดตันที่ลำไส้เล็ก
ปวดท้องรุนแรง (Colicky pain) ใต้
ซี่โครงหรือสะดือ มีอาการเป็นๆ หายๆ
พบอัตราการเต้นของชีพจรและการหายใจที่เร็วกว่าปกติ
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด แน่นท้อง
อาการอุดตันที่ลำไส้ใหญ่
ท้องอืด แน่นท้อง ปวดท้อง
ท้องผูกในช่วงที่เกิดการอุดตันของลําไส้หลายเดือน
เลือดออกทางทวารหนัก
ท้องเสียหรือท้องร่วง
การรักษา
ให้สารนํ้าและอิเลคโตรลัยท์ทดแทนเพื่อลดภาวะขาดนํ้า
ดูด gastric Content ออกจากกระเพาะอาหารและลําไส้เพื่อลดอาการแน่นท้อง
รายที่ลําไส้ขาดเลือดไปเลี้ยงและมีการอุดตันอย่างสมบูรณ์ ต้องผ่าตัด
การป้องกันลําไส้อุดตัน
รับประทานอาหารที่มีไขมันตํ่า ผักและผลไม้
งดการสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
อายุตั้งแต่ 50ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งลําไส้ปีละ 1ครั้ง
หากพบว่ามีก้อนผิดปกติเกิดขึ้นใต้ผิวหนังที่บริเวณหน้าท้องหรือที่ขาหนีบควรไปพบแพทย์
3.ความผิดปกติในการดูดซึม (Malabsorption)
การขาด pancreatic enzymes (pancreatic Insufficiency)
เกิดจากการขาด pancreatic enzyme ที่หลั่งจากตับอ่อน
เกิดจากโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็ง
ของตับอ่อน การถูกผ่าตัดตับอ่อน และ Cystic fibrosis
อาการ
ถ่ายอุจจาระที่มีไขมันปนเป็นจํานวนมาก (steatorrhea)
นํ้าหนักลด
การขาด lactase (lactase deficiency)
เกิดจากการขาด lactase ทําให้ไม่สามารถย่อย
lactase ซึ่งเป็นนํ้าตาลที่อยู่ในนมให้เป็นmonosaccharides และรบกวนการย่อยและการดูดซึม lactase บริเวณผนังลําไส้เล็กๆ
อาการ
ท้องอืด มีก๊าซในลําไส้
ปวดแบบตะคริว (crampy pain)
ท้องเสีย
คําแนะนํา หลีกเลี่ยงการดื่มนม และอาหารที่มีส่วนผสมของ lactose เพื่อบรรเทาอาการ
การขาด bile salt (bile salt deficiency)
สาเหตุเกิดจาก
โรคตับ ลดการสร้าง bile salts การอุดตันของท่อนํ้าดี ทําให้bile ไปสู่ duodenum ลดลง
โรคของ ileum รบกวนการดูดซึมกลับ bile salts
อาการ
ถ่ายอุจจาระมี ไขมันปน (steatorrhea) ท้องเสีย และลด plasma protein
การขาดวิตามินต่างๆได้แก่ A D E K
การรักษา
แนะนําให้ใช้นํ้ามันมะพร้าวในการประกอบอาหาร
การฉีดวิตามิน A,D,K ทางเส้นเลือดดํา
ความผิดปกติของตับ
1.Jaundice หรือดีซ่าน
สาเหตุ
มีการทําลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
มีความบกพร่องของเซลล์ตับในการจับ bilirubin
ลดการ conjugation ของ bilirubin
มีการอุดตันของทางเดินนํ้าดีทั้งภายในและภายนอกตับ
แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
prehepatic jaundice หรือมีการทําลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
intrahepatic ความผิดปกติของตับในการขจัด bilirubin ออกจากเลือดหรือ Conjugated
posthepatic เกิดจากการอุดตันของทางเดินนํ้าดีระหว่างตับและลําไส้เล็ก
อาการของดีซ่าน
ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลือง อุจจาระมีสีซีดลง และปัสสาวะมีสีเข้ม
ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
ท้องบวม ขาบวม นํ้าหนักลด
มีไข้ หนาวสั่น คันตามตัว
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
การวินิจฉัยดีซ่าน
ตรวจการทํางานของตับ
ตรวจปัสสาวะ เพื่อวัดระดับสารยูโรบิลิโนเจน
การฉายภาพรังสี
ตรวจชิ้นเนื้อตับ
การส่องกล้องผ่านทางปากเพื่อตรวจบริเวณท่อนํ้าดี (ERCP) เป็นการตรวจท่อนํ้าดีของตับ
2.Ascites หรือภาวะท้องมาน
สาเหตุ เกิดจาก
โรคตับเรื้อรังโดย ตับแข็ง (cirrhosis) พบบ่อยมาก
มะเร็งหัวใจด้านขวาล้มเหลว
ตับอ่อนอักเสบ
การอักเสบในช่องท้องจากเชื้อวัณโรค
nephrotic syndromes
อาการท้องมาน
นํ้าหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง ท้องอืด ท้องบวมขึ้น อาหารไม่ย่อย
แสบร้อนกลางอก หายใจลําบากเมื่อนอนลง
มีการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หรือมีอาการคล้ายหวัด
การวินิจฉัย และการรักษา
เจาะท้องเพื่อดูดของเหลวครั้งละ 1-2 ลิตร ช่วยบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวก และส่งตรวจเพาะเชื้อ
การจัดท่านอนในท่า semi-fowler จะช่วยให้หายใจสะดวก
ให้ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการสูญเสีย potassium
ตรวจ electrolytes เพื่อประเมินภาวะ hyponatremiaและ hypokalemia
3.Portal hypertension
พยาธิสรีรวิทยาPortal hypertension เกิดจากความผิดปกติซึ่งทําให้เกิดการอุดตัน
สาเหตุของ portal hypertension ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ cirrhosis of liver
อาการและอาการแสดง
อาเจียนเป็นเลือด
ภาวะซีด (anemia)
ถ่ายดํา (melena)
การรักษา
ใส่สายเข้าไปควบคุมเลือดออกจากเส้นเลือดดําโป่งพองในหลอดอาหาร ใส่ลมผ่านballoon กดบริเวณหลอดอาหารที่มีเลือดออก
ฉีดยา sclerosing agent เข้าไปบริเวณเส้นเลือดดําที่โป่งพองเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด
ผ่าตัด portacaval shunt โดยการตัดต่อ portal vein กับ inferiorvencava
4.ตับอักเสบ (Hepatitis)
เกิดจากการติดเชื้อจาก virus หรือreaction จากยาและสารเคมี ถ้า cell ตับมีการทําลายมากจะทําให้การmetabolism และ detoxification สูญเสียไป
การอักเสบของตับมีทั้งเกิดเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยมีสาเหตุจาก ไวรัส ยา แอลกอออร์
Viral Hepatitis
Hepatitis A หรือ infectious hepatitis
ติดต่อทาง fecal-oral route
Hepatitis B
ติดต่อทางการถ่ายเลือด เข็มตํา พวกติดยา รักร่วมเพศ การคลอดบุตร
Hepatitis C
มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis B
Hepatitis E
มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis A
Drug-Induced Hepatitis
เกิดจาก toxic reaction ต่อ liver cells และ metabolites ของยา
Halogenated anesthetic agent เช่น Halotane
Antihypertensive medication เช่น methyldopa
Antituberculous medication เช่น isoniazid
Alcoholic hepatitis
การดื่มเหล้า จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตับเกิด hepatitis
ถ้าหยุดเหล้าการเปลี่ยนแปลงอาจลดลงจนกลับสู่สภาพปกติได้
ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน
อาการและอาการแสดง
Prodromal illness มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คัดจมูก เจ็บคอ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร มึนซึม
The icteric phase อาการในระยะ prodromal มักจะหายไป แต่มีดีซ่านตัวตาเหลือง
The convalescent phase เกิดขึ้นหลังมีดีซ่าน 2 สัปดาห์ ตัวตาเหลืองลดลง
การรักษา
แนะนําให้ผู้ป่วยนอนพัก
ระมัดระวังเรื่องการรับประทานยาที่มีผลต่อตับ
รับประทานอาหารประเภทไขมันลดลง ควรจัดอาหารประเภทที่มีแคลอรีสูง
รักษาความสะอาดของร่างกาย การล้างมือ ระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
ตับอักเสบชนิดเรื้อรัง
สาเหตุอาจเกิดจาก
hepatitis virus B และ C
autoimmune antibodies พบบ่อยในหญิงอายุ 20-40 ปี
Wilson's disease
เกิดจากยา เช่น nitrofurantoin isoniazid
อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดข้อ ข้ออักเสบ
ดีซ่าน ตัวตาเหลือง อุจจาระซีด ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
บางรายมีผื่นคันตามตัว
มี Cushigoid appearance คลําพบตับม้ามโต พบใน
autoimmune disease
ตับแข็ง (Cirrhosis)
ความผิดปกติของตับที่เกิดจากการอักเสบ มีfibrosis และมี nodular regeneration ทําให้มีความผิดปกติทั้งโครงสร้างและหน้าที่ของตับ ทําให้เกิดการอุดตันของทางเดินนํ้าดี เกิด jaundiceเกิด portal hypertension
สาเหตุและพยาธิสรีรวิทยา
ตับแข็งจากอัลกอฮอล์
ตับแข็งจากทางเดินนํ้าดีอุดตัน
ตับแข็งที่เกิดจากเซลล์ตับตาย
ตับแข็งจากกระบวนการ metabolism ภายในเซลล์ตับ
6.ภาวะตับวาย (hepatic failure)
สาเหตุเกิดจาก
สารเคมี เช่น carbon tetrachloride และ halothane ทําให้มีmassive liver necrosis
alcoholism ทําให้เกิด Reyes Syndrome, fatty liver
ยาบางชนิด เช่น tetracycline ทําให้มีความบกพร่องในการทําหน้าที่ของตับ
อาการแสดงตับวาย
พบความบกพร่องเกี่ยวกับปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด
เกิดความบกพร่องในการดูดซึมไขมัน ทําให้ขาดวิตามิน K
มี hyperspleenism จากเลือดคั่งเนื่องจากมี portalhypertension
มี platelet ตํ่าและเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจาก esophagealvarices
7.Hepatic encephalopathy
ความผิดปกติทางระบบประสาท มีมือสั่น (flapping tremor) คลื่นสมองผิดปกติ
ผู้ป่วยที่เสี่ยงจะเกิด ได้แก่
ผู้ที่มีโรคตับรุนแรง มีเลือดออกในทางเดินอาหารรับประทานอาหารโปรตีนมาก ขาดสมดุลของอิเลคโทรลัยท์และมี hypoxia
การรักษา
แก้ปัญหาการขาดสมดุลของสารนํ้าและอิเลคโตรลัยท์
ระมัดระวังในการให้ยาที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการทําลายตับ การลดระดับแอมโมเนียในเลือด
จํากัดอาหารประเภทโปรตีน
8.Hepatorenal syndrome
ความผิดปกติทางไตที่เกิดจากการที่มีโรคตับอย่างรุนแรง และไตวาย โดยมีการสูญเสียหน้าที่
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะออกน้อย
มีอาการของภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับรุนแรง ได้แก่ ดีซ่านและเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
ง