Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (constructivism) - Coggle Diagram
ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม (constructivism)
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล
แนวคิด
การทำงานของสมองมีความคล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ คลอสเมียร์ ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์โดยเปรียบเทียบการทำงานของคอมพิวเตอร์กับการทำงานของสมอง ซึ่งมีการทำงานเป็นขั้นตอน
วิธีการทดลอง
1.การรับข้อมูล (Input) โดยผ่านทางอุปกรณ์หรือเครื่องรับข้อมูล
2.การเข้ารหัส (Encoding) โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือซอฟต์แวร์ (Software)
3.การส่งข้อมูลออก (Output) โดยผ่านทางอุปกรณ์
สรุป
ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล(Information Processing Theory) เป็น ทฤษฏีที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอน
การรู้จัก มีผลต่อการรับรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากเรารู้จักสิ่งนั้นมาก่อน เราก็มักจะเลือกรับรู้สิ่งนั้น และนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำต่อไป
2.ความใส่ใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการรับข้อมูลเข้ามาไว้ในความจำระยะสั้น ดังนั้น ในการจัดการเรียนการสอน
หากต้องการจะให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระใด ๆ ได้เป็นเวลานาน
ข้อมูลที่ถูกนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ
การที่ผู้เรียนรู้ตัวและรู้จักการบริหารควบคุมกระบวนการทางปัญหาหรือกระบวนการคิด
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
แนวคิด
เพียเจต์ ให้ชื่อการพัฒนาการของเด็กวัยรุ่นหรือวัยมัธยมศึกษาว่า Formal Operation สามารถคิดได้แบบผู้ใหญ่
คิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
มีความสนใจในปรัชญาชีวิต ศาสนา อาชีพ
สามารถใช้เหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ
สามารถคิดเหตุผลได้ทั้งอนุมานและอุปมาน
มีหลักการในการให้เหตุผลของตนเอง เกี่ยวกับความยุติธรรม เสมอภาคและมีมนุษยธรรม
วิธีการทดลอง
จากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาเพียเจต์ ได้นำเสนอหลักการเรียนรู้
สำหรับเด็ก ดังนี้
ให้ความสนใจและสังเกตเด็กอย่างใกล้ชิด
เด็กจะรับรู้ส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย
1.ในการจัดประสบการณ์ควรคำนึงถึงพัฒนาการของเด็ก
สอนในสิ่งที่เด็กคุ้นเคยหรือมีประสบการณ์ก่อน
การเปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมากๆ
สรุป
1.ขั้นการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด ช่วงอายุ 2-7 ปี
3.ขั้นการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นรูปธรรม ช่วงอายุ 7-11 ปี
4.ขั้นการคิดอย่างมีเหตุผลและนามธรรม อายุ 12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปํญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้
นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา นักเรียนแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ
ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่างในสภาพแวดล้อมโดยตรง
ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนได้พัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม
ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (ออซูเบล )
แนวคิด
1.การเรียนรู้อย่างมีความเข้าใจและอย่างมีความหมาย
2) การเรียนรู้โดยการค้นพบ
วิธีการทดลอง
การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระ นั้นๆ จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย
ออซูเบล แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
การเรียนรู้โดยการรับแบบท่องจำโดยไม่คิดหรือแบบนกแก้วนกขุนทอง
3.การเรียนรู้โดยการค้นพบอย่างมีความหมาย
การเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย
การเรียนรู้โดยการค้นพบแบบท่องจำโดยไม่คิดหรือแบบนกแก้วนกขุนทอง
สรุป
การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Mearningful learning)
ออซูเบล เป็นทฤษฎีกลุ่มพุทธิปัญญา เน้นความสำคัญของผู้เรียน ออซูเบลจะสนับสนุนทั้ง Discovery และ Expository technique ซึ่งเป็นการสอนที่ครูให้หลักเกณฑ์ และผลลัพธ์ ออซูเบลมีความเห็นว่าสำหรับเด็กโต (อายุเกิน11หรือ 12 ปี)นั้น การจัดการเรียนการสอนแบบ Expository technique น่าจะเหมาะสมกว่าเพราะเด็กวัยนี้สามารถเข้าใจเรื่องราว คำอธิบายต่างๆได้
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
ใช้เทคนิคการสอนแบบ Advance Organizer คือเป็นวิธีการสร้างการเชื่อมช่องว่างระหว่างความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้แล้ว (ความรู้เดิม) กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ ที่จำเป็นจะต้อง เรียนรู้เพื่อผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้ดีและจดจำได้ดีขึ้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
การจัด เรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่
นำเสนอกรอบ หลักการกว้างๆ ก่อนที่จะให้เรียนรู้ในเรื่องใหม่
แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญที่เป็นความคิดรวบยอดใหม่ที่จะต้องเรียน
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูเนอร์
วิธีการทดลอง
การเรียนรู้โดยการค้นพบ จะช่วยฝึกทักษะการสังเกตและพัฒนาความคิด
ผู้เรียนจะจดจำสิ่งที่เรียนรู้โดยการค้นพบได้นาน
การเรียนรู้โดยการค้นพบเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากแรงจูงใจภายใน
ไม่สามารถใช้การเรียนรู้โดยการค้นพบทุกแขนงวิชา
เนื่องจากต้องให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้วิธีนี้จำเป็น
ต้องใช้เวลานานกว่าวิธีอื่น
สรุป
บรูเนอร์ กล่าวว่า คนทุกคนมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ หรือการรู้คิด
แนวคิด
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ด้วยตนเอง
ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน
การเรียนรู้จะเกิดจากการที่ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่
พบใหม่กับความรู้เดิม แล้วนำมาสร้างเป็นความหมาย
การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
1) กระบวนการความคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ ผู้สอนควรมีความเข้าใจกระบวนการคิดของผู้เรียนแต่ละวัย
2) เน้นความสำคัญของผู้เรียน ถือว่าผู้เรียนจะสามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้ (SelfRegulation) และเป็นผู้ที่จะริเริ่มลงมือกระทำ ผู้สอนมีหน้าที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้โดยการค้นพบ ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3) ในการสอนควรเริ่มจากประสบการณ์ที่ผู้เรียนคุ้นเคย หรือประสบการณ์ใกล้ตัว ไปหาประสบการณ์ไกลตัว
สื่อมัลติมิเดีย
ภาพนิ่ง (Still Image)
นำทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์มาเชื่อมโยง เช่น ให้นักเรียนดูภาพนิ่งของคนกำลังพายเรือ แล้วให้นักเรียนบอกมาว่าในภาพเห็นและบ่งบอกอะไรบ้าง ทำให้นักเรียนเกิดการคิดทำให้ผู้สอนได้เรู้เกียวกับสติปํญญาของเด็กเป็นอย่างไร