Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร :question:, download (2),…
พยาธิสรีรวิทยาระบบทางเดินอาหาร :question:
ภาวะโภชนาการที่ผิดปกติ
ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition) เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่ไม่
ถูกต้องเป็นเวลานานๆ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกาย และจิตใจ แบ่งเป็น 3 ประเภท
◦ 1. ภาวะที่มีโภชนาการเกิน (Overnutrition) ได้แก่ โรคอ้วน
ภาวะขาดสารอาหาร (Under nutrition or nutritional deficiency) ได้แก่
2.1 การขาดโปรตีนและพลังงาน ได้แก่ Kwashiorkor ขาดสารอาหารโปรตีน Marasmusขาดพลังงานและโปรตีน
2.2 Anorexia nervosa and bulimia
ภาวะขาดวิตามิน ได้แก่ โรคขาดวิตามินเอ ทําให้ตาบอดกลางคืน โรคขาดวิตามินบีหนึ่ง เกิดโรคเหน็บชา โรคขาดวิตามินบีสองเกิดโรคปากนกกระจอก โรคขาดวิตามินซี เกิดโรคลักปิดลักเปิด โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส จะเป็นโรคกระดูกอ่อน โรคขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจาง โรคขาดธาตุไอโอดีนจะเป็นโรคคอพอก
กระเพาะอาหารอักเสบ
◦เป็นการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร gastric mucosa เกิดจากสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น gastric acid, bile reflux, ยา toxins การเกิดพยาธิสภาพ
◦กระเพาะอาหารจะมี mucosal barrier ถ้ากลไกการป้องกันล้มเหลว จะทําให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ ทําให้เส้นเลือดเล็กๆ บวม (edema) มีเลือดออก(hemorrhage) และเกิดรอยถลอก (erosion) ของกระเพาะอาหาร
◦ระยะแรกการอักเสบจะพบว่ามีการแดงและหนาตัวของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ต่อมาผนังของกระเพาะจะบางและฝ่อ (atrophy)
กระเพาะอาหารอักเสบแบ่งตามลักษณะของการอักเสบเป็น 2ชนิด ได้แก่
ชนิดเฉียบพลัน (acute, erosive, hemorrhagic gastritis)
ชนิดเรื้อรัง (chronic, nonerosive gastritis)
โรคกระเพาะอาหารอักเสบชนิดเฉียบพลัน (acute gastritis)
เป็นการอักเสบเยื่อบุกระเพาะอาหารแบบเฉียบพลัน--
พบ mucosa บวมแดง มีจุดเลือดออก และหลุดลอกของ mucosa เป็นแผลตื้นๆ
โรคกระเพาะอาหารที่เป็นในระยะสั้นๆ ไม่
เกิน 1-2 สัปดาห์ก็หาย
สาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบแบบเฉียบพลัน
รับประทานอาหารกรด ด่าง ฤิทธิ์กัดกร่อน
รับประทานอาหารเผ็ด
สูบบูรี่จัด ดื่มสุรามาก
อาการกระเพาะอาหารอักเสบ
ปวดท้องหรือจุกแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ เป็นเวลารับประทานอาหาร หรือหลังอาหาร
-แสบร้อนกลางหน้าอก จุกหน้าอก แน่นท้อง เรอบ่อย อาหารไม่ย่อย
คลื่นไส้ อาเจียน หลังรับประทานอาหาร-ในรายที่รุนแรง มีอาเจียนเป็นเลือดถ่ายดำ
โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
เป็นการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุ mucosaร่วมกับมีmucosal atrophy และ epithelialmetaplasia
เป็นโรคกระเพาะอาหารที่เป็นนานเป็นเดือนหรือเป็นป
ผู้ป่วยมักไม่มีอาการอะไรนอกจากแน่นท้องเป็นๆ หายๆ
กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรังอาจหายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็น หรือลุกลามจนเกิดเลือดออก เป็นแผลในกระเพาะอาหารได
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง
การติดเชื้อ helicobacter pylori
ภาวะทางภูมิคุ้มกัน มี antibodyทําลาย parietal cells
การผ่าตัดpost antrectomy ทําให้นํ้าดีไหลย้อนจากลําไส้เล็กส่วนต้นมาระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะอาหาร
การดื่มเหล้ามาก สูบบุหรี่จัดเป็นประจํา
การรับประทานยาบางชนิด เช่น salicylates
การวินิจฉัยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
ชักประวัติ และตรวจร่างกาย
ตรวจเลือดหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร
ตรวจอุจจาระ
เอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้ง
แบเรียม
การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร
(Endoscopy)
การรักษากระเพาะอาหารอักเสบ
การรักษาทางยา ได้แก่
antacids
Sucralfate (carafate)
H2 blockers หรือ prostaglandins
-ขจัดสาเหตุของกระเพาะอาหารอักเสบ เช่น ยาภาวะติดเชื้อ เป็นต้น
การป้องกันกระเพาะอาหารอักเสบ
หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า
ระมัดระวังในการรับประทานยา ประเภท aspirin, NSAID เช่นibuprofen และ indomethacin และ Corticosteroids
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่ผสม cafeine
ไม่รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ
งดสูบบุหรี่
หลีกเลี่ยงการรับประทานสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น กรด ด่าง
สรีรวิทยาระบบ ทางเดินอาหาร
ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
ความผิดปกติของผนังทางเดินอาหาร :green_cross:
◦hiatal hernia
เป็นความผิดปกติของ diaphragmเกิดการดันหรือเลื่อนของกระเพาะอาหารส่วนบนเข้าไปในช่องอก
sliding (direct) hiatal
hernia
เกิดจากกระเพาะอาหารเลื่อนเข้าสู่ช่องอกผ่านทาง esophageal hiatus ซึ่งเป็นทางเปิดของ diaphragm
ปัจจัยที่ทําให้เกิด Sliding hiatal hernia
ได้รับบาดเจ็บหรือความอ่อนแอของกล้ามเนื้อกระบังลม
บริเวณรอยต่อของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
มีหลอดอาหารสั้นมาแต่กําเนิด
มีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง การไอ โก่งตัวหรืองอตัว
การใส่เสื้อผ้าคับแน่นเกินไป
ascites หรือการตั้งครรภ์
การรักษา sliding hiatal hernia
รับประทานทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง
นอนในท่า semi-fowler position
หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่านอนชันเข่า (recombent position)หลังรับประทานอาหาร
หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าคับ หรือ รัดหน้าท้อง
ควบคุมนํ้าหนัก
ให้ยา antacids เพื่อลด reflux esophagitis
กรณีรักษาแบบประคับประคองไม่สามารถควบคุมอาการได
Paraesophageal hiatal hernia
(rolling hiatal hernia)
เป็นการเลื่อนของ greater Curvature ของกระเพาะอาหารผ่านเข้าไปทางรูเปิดของ diaphragm โดยกระเพาะอาหารที่ถูกดันเข้าไปในช่องอก รอยต่อระหว่างหลอดอาหาร
กระเพาะที่ถูกดันอาจมีเลือดคั่ง การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงmucosa ไม่สะดวก เป็นสาเหตุนําของกระเพาะอาหารอักเสบและแผลในกระเพาะอาหาร
ภาวะแทรกซ้อน คือ strangulation
อาการและอาการแสดง hiatal hernia
ช่วงแรกผู้ป่ วย ไม่มีอาการแสดง
กลืนลําบาก ขย้อน (reflux)
จุกเสียดอกหรือปวด epigastrium แน่นใต้sternum หลังรับประทานอาหาร
การตรวจวินิจฉัย hiatal hernia
barium swallowing
endoscopy
chest X-ray
◦Gastritis
◦Peptic ulcer disease
◦inflammatory bowel disease
◦Diverticular disease
กระบวนการเมตาบอลิซึม :forbidden:
ระบบยอยอาหาร (Digestive System
การดูดซึมอาหารในล าไส้เล็ก
การดูดซึมในลําไส้ใหญ่
แผลในทางเดินอาหาร (Peptic ulcer disease)
กลไกการเกิดพยาธิสภาพ
เกิดจากการขาดสมดุลของสารคัดหลั่งจากกระเพาะอาหาร คือ hydrochloricacid และ pepsin กับฝ่ ายทําหน้าที่ป้องกัน คือ เยื่อเมือกที่บุทางเดินอาหารและเกิดจากความสามารถในการควบคุมยับยั้งการหลั่งนํ้าย่อยของลําไส้เล็กส่วนต้น
ปัจจัยทื่มี่ีผลต่อการเกดิแผลในระบบทางเดินอาหาร
ฮอร์โมน เช่น ACTH , Cortisone เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเยื่อบุ และ adrenocorticosteroids ลดการสร้าง cellเยื่อบ
ความเครียดทางอารมณ์ เพิ่มการหลั่งนํ้าย่อย
ยาบางชนิด
anti-inflammatory agents เช่น indomethacin
cafeine กระตุ้นการหลั่งกรดและเปปซิน
phenylbutazone ทําให้ cell metabolism บกพร่อง
chemotherapeutic agents มีผลต่อเซลล์ปกติในเยื่อบุระบบทางเดินอาหาร
alcohol กระตุ้นการหลั่งกรด
aspirin ทําลายเยื่อบุเฉพาะที่และลดการหลั่ง mucous
ชนิดของแผลในระบบทางเดินอาหาร
แผลในทางเดินอาหารจากภาวะเครียด (Stress ulcer) เกิดจากมีการทําลาย gastric mucosa เกิดแผลหลายแห่ง มีลักษณะเล็กๆอยู่ตื้นๆ ไม่ลึกถึงกล้ามเนื้อ พบในผู้ป่วย
1) ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนบาดเจ็บรุนแรง
2) ติดเชื้อรุนแรง
3) ช็อค
4) ได้รับบาดเจ็บทางสมองหรือผ่าตัดสมอง
5) ได้รับอุบัติเหตุไฟไหม้
6) รับประทานยา NSAIDS หรือดื่มเหล้าติดต่อกันเป็นเวลานาน
แผลในกระเพาะอาหาร
เกิดจากการขาดสมดุลระหว่างปัจจัยที่ทําลาย mucosa เช่น gastric acid, pepsin, bile acids และกลไกการป้องกัน mucosa เช่น epithelium, mucus และ bicarbonate secretion ทําให้เกิดการอักเสบหรือแผลในกระเพาะ อาหาร
ลักษณะแผล ลึก กลม ผิวสะอาดเรียบ แต่เยื่อบุโดยรอบ มักจะบวม ถ้าแผลลึกมีการฉีกขาดของเส้นเลือดจะมี เลือดออก แผลสกปรก มีเนื้อตายอาจเป็นมะเร็ง
แผลในลําไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal ulcer)
80% ของแผลในทางเดินอาหารมักจะเกิด บริเวณลําไส้เล็กส่วนต้น
พบบ่อยในเพศชายอายุประมาณ 30-50 ปี คน ที่มีหมู่เลือดกลุ่ม O และผู้ที่มีความเครียดสูง
พยาธิสภาพจาก Gross เป็นแผลลึกขอบคม เรียบ และ ก้นแผลสะอาด
อาการของแผลในกระเพาะอาหาร
ปวดท้องที่ลิ้นปี่เรื้อรังหรือแสบที่กระเพาะอาหาร มักมี
อาการตอนท้องว่างหรือ 2-3ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
แสบร้อนกลางอก
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
นํ้าหนักลดลง
หายใจลําบาก
อาหารไม่ย่อย
เรอ แน่นท้อง หรือท้องอืด หลังรับประทานอาหาร
การตรวจวินิจฉัยแผลในทางเดินอาหาร
ส่องกล้อง (endoscopy) และตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ
Upper GI series barium swallowing
เจาะเลือดหาระดับ gastrin
Gastric acid secretion test
ภาวะแทรกซ้อนของแผลในทางเดินอาหาร
เลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น (Upper GI bleeding)
การเกิดแผลทะลุ (Perforation)
การเกิดแผลลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง (Penetration)
การอุดตัน (Obstruction)
หลักการรักษาแผลในทางเดินอาหาร
ลดการหลั่ง hydrochloric acid หรือทําให้ภาวะกรดเป็นกลาง
เพิ่มความต้านทานหรือความแข็งแรงของ mucosal layer
ส่งเสริมการหายของแผล
เป้าหมายการรักษาแผลในทางเดินอาหาร
รักษาแผลให้หาย บรรเทาความเจ็บปวด
ผู้ป่ วยสามารถรับประทานอาหารได้ดี
เผชิญความเครียดและเรียนรู้ในการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม
สามารถใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
การรักษา
หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือเพิ่มการหลั่งกรด
การรักษาทางยา
-Hyposecretory agents ช่วยในการยับยั้งการหลั่งนํ้าย่อย
-Antacids ทําให้กรดในกระเพาะเป็นกลาง ควรรับประทานหลังอาหาร 1-3 ชั่วโมง และก่อนนอน
-Mucosal barrier fortifiers เป็นยาซึ่งเพิ่มกลไกการป้องกันของเยื่อบุ
-sucralfate (carafate) เคลือบบริเวณแผล
-ยาปฏิชีวนะกําจัดเชื้อ H.pylori เช่น amoxicillin, tetracycline, และ methronidazole
-ถ้ามีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาจให้ฉีด vasopressin (pitressin) ทางหลอดเลือดดํา
การผ่าตัดกระเพาะอาหารบางส่วน, ตัด Vagus nerve ,การขยายทางเปิดของกระเพาะอาหาร
(pyloroplasty)
ถุงผนังลําไส้อักเสบ (Diverticulitis)
เป็นการอักเสบของกระเปาะเยื่อบุลําไส้ใหญ่
มีถุงยื่นผ่านผนังลําไส้ หลายอันขนาด 0.5-1ซม. มักพบที่ distal colon
เกิดจาก focal weaknessของ bowel wall และมีการเพิ่มของความดันในลําไส้มาก
อาการถุงผนังลําไส้อักเสบ (Diverticulitis)
ปวดเกร็งที่ท้องส่วนล่าง
ท้องผูกหรือท้องเสีย
แน่นท้องหรือท้องอืด
มีไข้สูงกว่า 38องศาเซลเซียส หนาวสั่น
คลื่นไส้หรืออาเจียน เบื่ออาหาร
อุจจาระปนเลือดหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก
การตรวจวินิจฉัย การทําsigmoidoscope
การรักษา
แนะนําให้รับประทานอาหารที่มีกากใย
diverticulitis ต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน จําเป็นต้องผ่าตัด
Gastroesophageal Reflux Disease: GERD
:green_cross:
กรดไหลย้อน เป็นภาวะที่กรดหรือนํ้าย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับผ่าน lower esophageal sphincter(LES) จนทําให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร
สาเหตุเกิดจาก
-ประสิทธิภาพของ esophageal antirefluxmechanism ลดลง
-มี sliding hernia
-gastric emptying และ gastric volume เพิ่มขึ้น
-ความสามารถในการซ่อมแซม Esophageal ลดลง
อาการ GERD
จุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณอก
อาหารไม่ย่อย เรอบ่อย คลื่นไส้ มีนํ้ารสเปรี้ยวหรือขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก
กลืนอาหารได้ลําบาก
ไอเรื้อรัง ระคายเคืองคอตลอดเวลา
เสียงแหบแห้ง หรือฟันผุ
การรักษา GERD
แนะนํารับประทานอาหารที่ละน้อยแต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารที่มีไขมันตํ่า
นอนศีรษะสูงจากพื้นประมาณ 6 นิ้ว
อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อเพิ่มนํ้าลาย
ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ
ยาที่ใช้ ได้แก่
H2-receptor antagonists เช่น cimetidine, ranitidine
prokinetic agents เช่น cisapride
proton pump inhibitors เช่น omeprazole
Achalasia
-ความผิดปกติของการบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหารและ lesion associated with motor function ทําให้
-หลอดอาหารไม่มีperistalsis
-มีการไหลย้อนของอาหาร regurgitation
-กลืนอาหารลําบาก dysphagia เนื่องจาก loweresophageal spincter (LES) ไม่คลายตัวเต็มที่ ทําให้lumen แคบ
-มีการเพิ่มขึ้นของ the resting tone of loweresophageal spincter (LES)
-พยาธิสภาพที่พบ คือ มี motor neuron ที่ผนังหลอดอาหารลดลง มีการขยายของหลอดอาหาร
อาการ Achalasia
กลืนลําบาก
ขย้อนอาหารที่ค้างอยู่ในตอนกลางคืน
ภาวะแทรกซ้อน คือ หลอดอาหารอักเสบหรือ เกิดแผลในหลอดอาหาร
เกิดการสําลักเอาเศษอาหารหรือนํ้าย่อยที่ขย้อนเข้าไปในปอด ทําให้ติดเชื้อได้ (aspirated pneumonia)
การวินิจฉัย
barium Swallowing จะพบหลอดอาหารขยายโตขึ้น
ตรวจดูการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร (esophageal manometric)
ส่องกล้องดูหลอดอาหาร (esophagoscopy) และตัดชิ้นเนื้อตรวจ
การรักษา achalasia
1.รักษาแบบประคับประคอง
แนะนําให้ผู้ป่ วยนอนศีรษะสูง
หลีกเลี่ยงยาที่ทําให้เกิดการระคายเคืองและแผลในทางเดินอาหาร เช่น salicylates, phenylbutazone
หลีกเลี่ยง anticholinergic drugs เพราะลดการทํางานของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง
งดอาหารที่ร้อน เย็น รสจัด เหล้า
-เคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อให้นํ้าลายช่วยหล่อลื่นbolus ผ่านหลอดอาหารสู่ กระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น
การรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อนอาจรักษาโดย
การขยายหลอดอาหาร (esophageal dilatation) โดยใส่hydrostatic balloon
ผ่าตัด esophagomyotomy และ pyloroplasty
ท้องผูก (constipation)
ท้องผูก หมายถึง การถ่ายอุจจาระลําบาก อุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระน้อยครั้งกว่าที่เคยเป็นปกติ หรือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะเรียกว่ามีอาการท้องผูก
สาเหตุ เกิดจาก
ความผิดปกติทางระบบประสาทของลําไส้ใหญ่
ความผิดปกติของการทําหน้าที่ เช่น ภายหลังการผ่าตัดช่องท้อง
การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย
แบบแผนการดําเนินชีวิต เช่น ขาดการออกกําลังกาย
ยาบางชนิด เช่น antacids ยา opiates
อาการท้องผูก
ถ่ายอุจจาระ ปริมาณน้อย จํานวนครั้งน้อยลง
ถ่ายลําบาก รู้สึกแน่นและไม่สุขสบายในท้อง
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
ตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการดู และคลําท้อง การตรวจทางทวารหนัก
การส่องกล้อง เช่น proctoScope
การสวนแป้ง barium (barium enema)
การรักษาท้องผูก
ตามสาเหตุ
ควรมีการปรับเปลี่ยนแบบแผนการดําเนินชีวิตให้เหมาะสม เช่นการรับประทานอาหารประเภทผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากขึ้น
ดื่มนํ้ามากๆ
การออกกําลังกายเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลําไส้
ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา
บางรายให้ยาถ่ายแต่ไม่ควรให้รับประทานติดต่อกันเป็นประจํา
กรณีมีความผิดปกติจากพยาธิสภาพต้องผ่าตัด
ท้องเสีย (Diarrhea)
ปัจจัยที่มีผลต่อจํานวนและปริมาตรของอุจจาระ ได้แก่ปริมาณนํ้าในลําไส้ปริมาณของกากอุจจาระหรือสารที่ไม่สามารถดูดซึมได้ สารคัดหลั่งภายในลําไส้
ท้องเสียถ่ายอุจจาระมีปริมาตรมาก มักเกิดจากการมีปริมาณนํ้าและสารคัดหลั่งเป็นจํานวนมากในลําไส้
ท้องเสียถ่ายอุจจาระมีปริมาตรน้อย เคลื่อนไหวของลําไส้มากผิดปกติ
ท้องเสียแบ่งตามกลไกการเกิด
Osmotic diarrhea เกิดจากมีสารซึ่งไม่สามารถดูดซึมได้และสารตกค้างอยู่ใน ลําไส้เป็นจํานวนมาก สาเหตุของท้องเสีย คือการขาด lactase (lactase deficiency)
Secretory diarrhea มักเกิดจาก bacterial enterotoxinsได้แก่ cholera และ E.coli จากเนื้องอก เช่น gastrinoma มะเร็งของต่อมไทรอยด์
Motility diarrhea มีสาเหตุจากการผ่าตัดลําไส้ การเกิดรูรั่วของลําไส้
สาเหตุ
ขาดนํ้า ขาดสมดุลของสารนํ้าและอิเลคโทรลัยท์
metabolic acidosis
นํ้าหนักลด
กรณีติดเชื้อเฉียบพลันจากแบคทีเรียหรือไวรัส อาจมีไข้ร่วมกับการปวดท้องเหมือนถูกบีบ (Cramping pain)
กรณีลําไส้อักเสบอาจถ่ายอุจจาระมีเลือดปน
กรณีมีความผิดปกติในการดูดซึมไขมันถ่ายอุจจาระมีไขมันปน(Steatorrhea)
การรักษาท้องเสีย
การรักษาสมดุลของสารนํ้าและอิเลคโทรลัยท์
ลดความไม่สุขสบายต่างๆและรักษาตามสาเหตุ
ถ้ามีอาการขาดนํ้าและขาดสมดุลของอิเลคโทรลัยท์อย่างรุนแรง ต้องได้สารนํ้าทางเส้นเลือดดํา
ผู้ที่ท้องเสียเรื้อรังหรือมีปัญหาเรื่องการดูดซึม ต้องได้สารอาหารทดแทนอย่างเพียงพอ
ให้ยาลดการเคลื่อนไหวของลําไส้ยาลดอาการปวดท้อง และยาลดปริมาณและจํานวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ
Intestinal obstruction
ภาวะที่มีสิ่งอุดตันหรือรบกวนการบีบตัวของลําไส้ ทําให้อาหารหรือของเหลวต่าง ๆ เคลื่อนผ่านไม่ได้ตามปกติ
มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง
สาเหตุลําไส้อุดตัน เช่น ท้องผูกรุนแรง พังผืดในลําไส้ ลําไส้ทํางานผิดปกติ
การรักษา
1 ให้สารนํ้าและอิเลคโตรลัยท์ทดแทนเพื่อลดภาวะขาดนํ้า
ดูด gastric Content ออกจากกระเพาะอาหารและ
รายที่ลําไส้ขาดเลือดไปเลี้ยง (strangulation) และมีการอุดตันอย่างสมบูรณ์ ต้องผ่าตัดลําไส้เพื่อลดอาการแน่นท้อง
การป้องกันลําไส้อุดตัน
รับประทานอาหารที่มีไขมันตํ่า ผักและผลไม้
งดการสูบบุหรี่
อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งลําไส้ปีละ 1 ครั้ง
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
หากพบว่ามีก้อนผิดปกติเกิดขึ้นใต้ผิวหนังที่บริเวณหน้าท้องหรือที่ขาหนีบควรไปพบแพทย์
ความผิดปกติในการดูดซึม (Malabsorption) :star:
ความผิดปกติในการดูดซึมสารอาหารในลําไส้เล็ก แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ มีความ
ผิดปกติในการย่อย (maldigestion) และความผิดปกติในการดูดซึม(malabsorption) ดังนี้
การขาด pancreatic enzymes (pancreaticInsufficiency)
สาเหตุเกิดจาก
การขาด pancreatic enzyme ที่หลั่งจากตับอ่อน ซึ่งเกิดจากโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็งของตับอ่อน การถูกผ่าตัดตับอ่อน และ Cystic fibrosis การขาด pancreatic bicarbonate ใน duodenum และ jejunum ทําให้เกิด pH ตํ่า มีสภาพเป็นกรดซึ่งทําให้การย่อยอาหารเลวลง เพราะ ไปขัดขวางการทํางานของ pancreatic enzymes ที่ยังมีอยู่
อาการ
ถ่ายอุจจาระที่มีไขมันปนเป็นจํานวนมาก (steatorrhea)
นํ้าหนักลด
การขาด lactase (lactase deficiency
สาเหตุ เกิดจากการขาด lactase (lactase deficiency) ทําให้ไม่สามารถย่อยlactase ซึ่งเป็นนํ้าตาลที่อยู่ในนม (milk sugar) ให้เป็น monosaccharides และรบกวนการย่อยและการดูดซึม lactase บริเวณผนังลําไส้เล็กๆ
อาการ
ท้องอืด มีก๊าซในลําไส้
ปวดแบบตะคริว (crampy pain)
ท้องเสีย
การขาด bile salt (bile salt deficiency)
สาเหตุเกิดจาก
โรคตับ ลดการสร้าง bile salts การอุดตันของท่อนํ้าดี (common bile duct) ทําให้bile ไปสู่ duodenum ลดลง
โรคของ ileum รบกวนการดูดซึมกลับ bile salts อาการ
ความผิดปกติของตับ
Jaundice
Ascites
Portal Hypertension
Hepatitis
Cirrhosis
Hepatic Failure
ความผิดปกติในการดูดซึม (Malabsorption)
ความผิดปกติในการดูดซึมสารอาหารในลําไส้เล็ก แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ มีความผิดปกติในการย่อย (maldigestion) และความผิดปกติในการดูดซึม(malabsorption) ดังนี้
การขาด pancreatic enzymes (pancreaticInsufficiency)
การขาด lactase (lactase deficiency)
การขาด bile salt (bile salt deficiency)
การขาด pancreatic enzymes (pancreatic Insufficiency)
สาเหตุเกิดจาก
การขาด pancreatic enzyme ที่หลั่งจากตับอ่อน ซึ่งเกิดจากโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็งของตับอ่อน การถูกผ่าตัดตับอ่อน และ Cystic fibrosis การขาด pancreatic bicarbonate ใน duodenum และ jejunum ทําให้เกิด pH ตํ่า มีสภาพเป็นกรดซึ่งทําให้การย่อยอาหารเลวลง เพราะ ไปขัดขวางการทํางานของ pancreatic enzymes ที่ยังมีอยู่
อาการ
ถ่ายอุจจาระที่มีไขมันปนเป็นจํานวนมาก (steatorrhea)
นํ้าหนักลด
การขาด lactase (lactase deficiency)
สาเหตุ เกิดจากการขาด lactase (lactase deficiency) ทําให้ไม่สามารถย่อยlactase ซึ่งเป็นนํ้าตาลที่อยู่ในนม (milk sugar) ให้เป็น monosaccharides และรบกวนการย่อยและการดูดซึม lactase บริเวณผนังลําไส้เล็กๆ
อาการ
ท้องอืด มีก๊าซในลําไส้
ปวดแบบตะคริว (crampy pain)
ท้องเสีย
Jaundice
Jaundice (icterus) หรือดีซ่าน มี bilirubin สูงกว่าปกติ 2 เท่า หรือมากกว่า 2.0 ถึง 2.5
mg/dl เลือด (ค่าปกติ 1.2 mg/dl) สังเกตจาก sclera เป็นสีเหลือง
สาเหตุ
มีการทําลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ
มีความบกพร่องของเซลล์ตับในการจับ bilirubin
ลดการ conjugation ของ bilirubin
มีการอุดตันของทางเดินนํ้าดีทั้งภายในและภายนอกตับ
อาการของดีซ่าน
ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลือง อุจจาระมีสีซีดลง และปัสสาวะมีสีเข้ม
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
การวินิจฉัยดีซ่าน
ตรวจการทํางานของตับ
ตรวจปัสสาวะ ตรวจปัสสาวะเพื่อวัดระดับสารยูโรบิลิโนเจน(Urobilinogen)
การฉายภาพรังสี ได้แก่ การตรวจอัลตร้าซาวด์การถ่ายภาพรังสีด้วยคอมพิวเตอร์ (CT scan) การสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI scan)
ตรวจชิ้นเนื้อตับ
การส่องกล้องผ่านทางปากเพื่อตรวจบริเวณท่อนํ้าดี (ERCP) เป็นการ ตรวจท่อนํ้าดีของตับ
Portal hypertension
การที่มีความดันใน portal venous System สูง กว่า 10 mmHg (ค่าปกติ 3 mmHg) portal veins รับเลือดจาก ระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน และม้ามเข้าสู่ตับ
ภายในตับเลือดไหลผ่าน sinusoids และไหลรวมที่ hepaticveins เข้าสู่ inferior vena Cava และไหลเข้าสู่ right artium
พยาธิสรีรวิทยา
-Portal hypertension เกิดจากความผิดปกติซึ่งทําให้เกิดการอุดตัน
-สาเหตุของ portal hypertension ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ cirrhosis of liver
การเกิด portal hypertension อาจเกิดปัญหาดังนี้
Varices เส้นเลือดดําโป่ งพอง ที่หลอดอาหารส่วนล่าง กระเพาะอาหาร และ rectum
spleenomegaly จากการเพิ่มแรงดันใน splenic vein
Ascites เกิดจากความดัน mesenteric สูง hydrostatic pressure ดันนํ้าออกจากเส้นเลือดสู่ peritoneal cavity
Hepatic encephalopathy เป็นผลจากสารพิษ แอมโมเนีย ไม่ถูกทําลายที่ ตับ ผ่านไปสู่สมองทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทํางานของระบบประสาท
อาการและอาการแสดง
อาเจียนเป็นเลือด
ภาวะซีด (anemia)
ถ่ายดํา (melena)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ พบว่ามีดีซ่าน ตับอักเสบ
ตรวจร่างกาย พบท้องโตตึง และมองเห็นเส้นเลือดดํากระจายอยู่ทั่วท้อง (collateral vein) เรียกว่า catut medusae (Medusa's head)
ส่องกล้อง (endoscopy)
การรักษา
ใส่สายเข้าไปควบคุมเลือดออกจากเส้นเลือดดําโป่ งพองในหลอดอาหาร ใส่ลมผ่าน balloon กดบริเวณหลอดอาหารที่มีเลือดออก
ฉีดยา sclerosing agent เข้าไปบริเวณเส้นเลือดดําที่โป่งพองเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด
ผ่าตัด portacaval shunt โดยการตัดต่อ portal vein กับ inferior vencava
Ascites หรือภาวะท้องมาน
ภาวะท้องมาน เป็นการสะสมของของเหลวในช่องท้อง(peritoneal Cavity)
สาเหตุ เกิดจาก
โรคตับเรื้อรังโดย ตับแข็ง (cirrhosis) พบบ่อยมาก
มะเร็งหัวใจด้านขวาล้มเหลว
ตับอ่อนอักเสบ
การอักเสบในช่องท้องจากเชื้อวัณโรค
nephrotic syndromes
อาการท้องมาน
นํ้าหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ปวดท้อง ท้องอืด ท้องบวมขึ้น อาหารไม่ย่อย
แสบร้อนกลางอก หายใจลําบากเมื่อนอนลง
มีการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หรือมีอาการคล้ายหวัด
การวินิจฉัย และการรักษา
เจาะท้องเพื่อดูดของเหลว (paracentesis) ครั้งละ 1-2 ลิตรช่วยบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวก และส่งตรวจเพาะเชื้อ
การจัดท่านอน ในท่า semi-fowler จะช่วยให้หายใจสะดวก
ควรรับประทานอาหารจํากัดเกลือ
ให้ยาขับปัสสาวะชนิดที่ลดการสูญเสีย potassium
ตรวจ electrolytes เพื่อประเมินภาวะ hyponatremiaและ hypokalemia
Portal hypertension
การที่มีความดันใน portal venous System สูง กว่า 10mmHg (ค่าปกติ 3 mmHg) portal veins รับเลือดจากระบบทางเดินอาหาร ตับอ่อน และม้ามเข้าสู่ตับ
ภายในตับเลือดไหลผ่าน sinusoids และไหลรวมที่ hepatic veins เข้าสู่ inferior vena Cava และไหลเข้าสู่ right artium
พยาธิสรีรวิทยา
-Portal hypertension เกิดจากความผิดปกติซึ่งทําให้เกิดการอุดตัน
-สาเหตุของ portal hypertension ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ cirrhosis of liver
การเกิด portal hypertension อาจเกิดปัญหาดังนี้
Varices เส้นเลือดดําโป่ งพอง ที่หลอดอาหารส่วนล่าง กระเพาะอาหารและ rectum
spleenomegaly จากการเพิ่มแรงดันใน splenic vein
Ascites เกิดจากความดัน mesenteric สูง hydrostatic pressure ดันนํ้าออกจากเส้นเลือดสู่ peritoneal cavity
Hepatic encephalopathy เป็นผลจากสารพิษ แอมโมเนีย ไม่ถูกทําลายที่ ตับ ผ่านไปสู่สมองทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทํางานของระบบประสาท
อาการและอาการแสดง
อาเจียนเป็นเลือด
ภาวะซีด (anemia)
ถ่ายดํา (melena)
การวินิจฉัย
การซักประวัติ พบว่ามีดีซ่าน ตับอักเสบ
ตรวจร่างกาย พบท้องโตตึง และมองเห็นเส้นเลือดดํากระจายอยู่ทั่วท้อง(collateral vein) เรียกว่า catut medusae (Medusa's head)
ส่องกล้อง (endoscopy)
การรักษา
ใส่สายเข้าไปควบคุมเลือดออกจากเส้นเลือดดําโป่ งพองในหลอดอาหาร ใส่ลมผ่าน balloon กดบริเวณหลอดอาหารที่มีเลือดออก
ฉีดยา sclerosing agent เข้าไปบริเวณเส้นเลือดดําที่โป่ งพองเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือด
ผ่าตัด portacaval shunt โดยการตัดต่อ portal vein กับ inferior vencava
Hepatitis
Hepatitis เป็นการอักเสบของตับเกิดจากการติดเชื้อจาก virus หรือ reaction จากยาและสารเคมี ถ้า cell ตับมีการทําลายมากจะทําให้การ metabolism และ detoxification สูญเสียไป
การอักเสบของตับมีทั้งเกิดเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยมีสาเหตุจาก
◦ไวรัส
◦ยา
◦แอลกอฮอล์
Viral Hepatitis
Hepatitis A หรือ infectious hepatitis
-ติดต่อทาง fecal-oral route
-ติดต่อโดยสัตว์นํ้าพวกที่มีเปลือก (shell fish) เช่น หอย กุ้ง ปู
-อาการจะเป็นอยู่ 1-3 เดือนและ recovery ได้
-ไม่เกิด chronic hepatitis หรือ Cirrhosis
-การวินิจฉัยดูจากค่า transaminase (SGOT,SGPT) สูงขึ้น และ มี anti HAV ผล positive
Hepatitis B
ติดต่อทางการถ่ายเลือด เข็มตํา พวกติดยา รักร่วมเพศ การคลอดบุตร
-antigen ที่พบมี 3 ชนิด ได้แก่ Surface antigen, Core antigen และ E antigen
Hepatitis B Surface antigen (HBSAG) เป็น antigen ตัวแรกซึ่งจะขึ้นสูง มี transaminase levels สูง ประมาณ 10% ของผู้ป่ วยตับอักเสบ B มักเป็น chronic active hepatitis สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้ และมี progress เป็น cirrhosis hepatitis
-เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น ค่า surface antigen titer ลดลง และค่า antibody ต่อ surface antigen จะสูงขึ้น
-E antigen เป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ใดติดเชื้อสูง ผู้ที่มีค่า E antigen ในเลือดสูง จะมีการติดเชื้อ
-Core antibody titer ช่วยบอกว่าเคยมีการติดเชื้อ hepatitis B มาก่อน หลังจากที่ค่า HBSAG negative แล้ว
Hepatitis C
มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis B
hepatitis ชนิดนี้มักเป็น chronic hepatitis สูงกว่า hepatitis B
Hepatitis D
เกิดจาก HDV เป็น RNA virus ต้องอาศัยการทํางานของ HBV จึงเป็นการติดเชื้อร่วมที่พบในผู้ป่ วยซึ่งเป็น hepatitis B และทําให้ผู้ป่ วยกลายเป็น chronic carrier
Hepatitis E
-มีการติดต่อคล้ายคลึงกับ hepatitis A (fecal-oral route)
Drug-Induced Hepatitis
เกิดจาก toxic reaction ต่อ liver cells และ metabolites ของยา เช่น
Halogenated anesthetic agent เช่น Halotane
Antihypertensive medication เช่น methyldopa
Antituberculous medication เช่น isoniazid
Phenyloins เช่น phenytoin (Dilantin)
Acetaminophen (paracetamol) และ aspirin
Alcoholic hepatitis
การดื่มเหล้า จะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตับเกิด hepatitis และอาจมีfatty infiltration ของตับ
ถ้าหยุดเหล้าการเปลี่ยนแปลงอาจลดลงจนกลับสู่สภาพปกติได้
ผู้ป่วยที่มีค่า serum transaminase และค่า prothrombin time สูงขึ้น มีค่า albumin ตํ่า แสดงการสูญเสียหน้าที่ของตับ – ถ้ามี alcohol toxic effect อยู่นานจะเกิด cirrhosis และนําไปสู่ liver failure
ตับอักแสบเรื้อรัง (chronic hepatitis)
-เป็นการอักเสบของตับเรื้อรังกว่า 6 เดือน liver function test ผิดปกติ
-ตับอักเสบแบบเรื้อรังมี 2 ชนิด คือ chronic persistent hepatitis และ chronic active hepatitis
Chronic persistent hepatitis
-ส่วนใหญ่เกิดจาก hepatitis virus ยกเว้น HAV
-พบ liver function test ผิดปกติ
-ผู้ป่วยอ่อนเพลีย คลื่นไส้ เบื่ออาหาร รับประทานอาหารประเภทไขมันได้ลดลง
รุนแรงกว่า chronic persistent hepatitis เนื่องจากมีการ
-อักเสบเรื้อรังลุกลาม มีการทําลายของ lobular architecture เกิด cirrhosis
สาเหตุอาจเกิดจาก
-hepatitis virus B และ C
-autoimmune antibodies พบบ่อยในหญิงอายุ 20-40 ปี
-Wilson's disease
-เกิดจากยา เช่น nitrofurantoin isoniazid
Chronic active hepatitis
อาการและอาการแสดง Chronic active hepatitis
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดข้อ ข้ออักเสบ
ดีซ่าน ตัวตาเหลือง อุจจาระซีด ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม
บางรายมีผื่นคันตามตัว
มี Cushigoid appearance คลําพบตับม้ามโต พบใน autoimmune disease
**ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะ ก้าวหน้าเป็น cirrhosis, portal hypertension,ascites และ hepatic encephalopathy
ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute hepatitis)
อาการและอาการแสดง
Prodromal illness มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คัดจมูก เจ็บคอ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร มึนซึม ปวดท้องบริเวณ right hypochondrium ปวด ตามข้อและข้ออักเสบ
The icteric phase อาการในระยะ prodromal มักจะหายไป แต่มีดีซ่าน (jaundice) ตัวตาเหลือง
The convalescent phase เกิดขึ้นหลังมีดีซ่าน 2 สัปดาห์ ตัวตาเหลืองลดลง
การรักษาตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน
แนะนําให้ผู้ป่ วยนอนพัก
ระมัดระวังเรื่องการรับประทานยาที่มีผลต่อตับ
รับประทานอาหารประเภทไขมันลดลง ควรจัดอาหารประเภทที่มีแคลอรีสูง
รักษาความสะอาดของร่างกาย การล้างมือ ระมัดระวังการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
ตับแข็ง (Cirrhosis)
เป็นความผิดปกติของตับที่เกิดจากการอักเสบ มี fibrosis และมี nodular regeneration
-ทําให้มีความผิดปกติทั้งโครงสร้างและหน้าที่ของตับ
-ทําให้เกิดการอุดตันของทางเดินนํ้าดี เกิด jaundice เกิด portal hypertension
-มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ภายในตับ เซลล์ตับส่วนที่เลือดผ่านไปเลี้ยงไม่ได้เกิดการขาดออกซิเจน เน่าและฝ่อ
ส่งผลให้ตับวาย
สาเหตุและพยาธิสรีรวิทยาของตับแข็ง
ตับแข็งจากอัลกอฮอล์(alcoholic cirrhosis) เกิด acetylaldehyde ทําลาย hepatocytes มีไขมันในเซลล์ตับเพิ่มขึ้น เซลล์ตับอักเสบและรูปร่างตับผิดปกติ
ตับแข็งจากทางเดินนํ้าดีอุดตัน (biliary cirrhosis) เกิดจากการ อุดตันจากเนื้องอก (neoplasms) ก้อนนิ่วในถุงนํ้าดี หรือการตีบท่อทางเดินนํ้าดี
ตับแข็งที่เกิดจากเซลล์ตับตาย (post necrotic cirrhosis) มีการแทนที่เซลล์ตับที่ตาย เช่น เกิดการอักเสบจากเชื้อไวรัส A C ยา หรือสารพิษ การสร้างภูมิต่อต้านตนเอง (autoimmune disease)
ตับแข็งจากกระบวนการ metabolism ภายในเซลล์ตับ(metabolic cirrhosis) เซลล์ตับเกิดจากการอักเสบและแผลเป็น ฝี
Hepatic failure
ภาวะตับวาย (hepatic failure) เกิดจากโรคตับชนิดต่างๆ cirrhosis และchronic active hepatitis
สาเหตุ เกิดจาก
สารเคมี เช่น carbon tetrachloride และ halothane ทําให้มีmassive liver necrosis
alcoholism ทําให้เกิด Reyes Syndrome, fatty liver
ยาบางชนิด เช่น tetracycline ทําให้มีความบกพร่องในการทําหน้าที่ของตับ
อาการแสดงตับวาย
พบความบกพร่องเกี่ยวกับปัจจัยในการแข็งตัวของเลือด (deficiency inclotting factors) factors II (prothrombin), VII, IXและ X
เกิดความบกพร่องในการดูดซึมไขมัน ทําให้ขาดวิตามิน K
มี hyperspleenism จากเลือดคั่งเนื่องจากมี portalhypertension
มี platelet ตํ่าและเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย เนื่องจาก esophagealvarices
การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวทิยาได้แก่
Jaundice
Neurologic status change
Hypogonadism and gynecomastia ถุงอัณฑะฝ่อและเต้านมโตในเพศชาย
Palmar erythema ฝ่ามือและฝ่าเท้าแดง
Spider naevi และความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
Fetor hepaticus หรือหายใจมีกลิ่น
Ascites และ edema จาก portal hypertension และ hypoalbuminemia
Hepatorenal syndrome
กลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางไตที่เกิดจากการที่มีโรคตับอย่างรุนแรง และไตวาย โดยมีการสูญเสียหน้าที่
อาการและอาการแสดง
ปัสสาวะออกน้อย (oliguria)
มีอาการของภาวะแทรกซ้อนจากโรคตับรุนแรง ได้แก่ ดีซ่าน (jaundice) ascites และเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
มีความดันโลหิต Systolic pressure ตํ่ากว่า 100 mmHg
เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
Hepatic encephalopathy
-กลุ่มอาการที่แสดงถึงความผิดปกติทางระบบประสาท มีมือสั่น (flapping tremor) คลื่นสมองผิดปกติ
-ผู้ป่วยที่เสี่ยงจะเกิด hepatic encephalopathy ได้แก่ ผู้ที่มีโรคตับรุนแรง มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
-รับประทานอาหารโปรตีนมาก ขาดสมดุลของอิเลคโทรลัยท์และมี hypoxia
การรักษา
แก้ปัญหาการขาดสมดุลของสารนํ้าและอิเลคโตรลัยท์
การระมัดระวังในการให้ยาที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการทําลายตับ การลดระดับแอมโมเนียในเลือด
จํากัดอาหารประเภทโปรตีน
ให้ยา neomycin เพื่อขจัดแบคทีเรียในลําไส้
ให้ lactulose เพื่อช่วยลดการดูดซึมแอมโมเนียในลําไส้