Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

สรุป5บท, สมบัติต่างๆ ของสาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ, image, image, image,…

- - - - ธาตุเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของจักรวาลที่ไม่สามารถแบ่งย่อยลงไปธาตุแต่ละชนิดมีโครงสร้างอะตอมที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกสมบัติทางเคมี ธาตุออกซิเจนเป็นธาตุที่มีมากที่สุดบนโลก ซิลิคอนเป็นที่สอง ติดตามด้วยอลูมิเนียม เหล็ก แคลเซียม โซเดียมและแมกนีเซียมส่วนธาตุอื่นๆมีอยู่ในปริมาณ 11เปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่า
    - - สารประกอบ (CompoundCompound)
        
        เป็นสารซึ่งโมเลกุลประกอบด้วยอะตอมหรือไอออนของธาตุ 22ชนิดหรือมากกว่ายึดเหนี่ยวกันทางเคมี ดังนั้นจึงสามารถแยกออกเป็นสารย่อย ๆ ได้
    - - โมเลกุล
        
        โมเลกุล คือ หน่วยที่เล็กที่สุดของธาตุหรือสารประกอบ
        ที่สามารถอยู่ได้โดยลาพังอิสระ
        
        Monoatomic molecule
        
        diatomic molecule
        molecule
  - - - เป็นสูตรโมเลกุลที่แดสงว่า โมเลกุลหนึ่งของสารประกอบ
        ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้างอย่างละกี่อะตอม
    - - เป็นสูตรเคมีที่แสดงถึงอัตราส่วนอย่างต่าที่สุดของอะตอมที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งๆของโมเลกุล
    - - สูตรโครงสร้างแบบจุดอิเล็กตรอน เสนอโดย ลิวอิส
        
        สูตรโครงสร้างแบบเส้น(dash formula)
  - - - เป็นมวลเฉลี่ยของทุกไอโซโทปที่มีอยู่ในธรรมชาติของธาตุนั้น เปรียบเทียบกับมวลของธาตุมาตรฐาน
        น้าหนักอะตอมเฉลี่ยที่มีในธรรมชาติ
        
        = (% ของธาตุ x น้าหนักของอะตอม) / ส่วน
      - ความสัมพันธ์ระหว่างจานวนโมล จานวนอนุภาค น้าหนักของสาร(กรัม) ปริมาตรที่STP
    - - อะตอมมารวมกันด้วยอัตราส่วนที่แน่นอน เกิดเป็นโมเลกุลของสารประกอบ โดยการเขียนสูตรเชิงโมเลกุลด้วยสัญลักษณ์ของธาตุที่เป็นองค์ประกอบเนื่องจากแต่ละอะตอมมีมวลเชิงอะตอมซึ่งเป็นมวลสัมพันธ์
      - มวลโมเลกุลของ H 2 O = 18 เมื่อ ( H = 1 ,O = 16
      - อะตอม 1 โมล (กรัม-โมล) มีมวลเท่ากับมวลเชิงอะตอม
        มีหน่วยเป็นกรัมสารประกอบที่มีเท่ากับมวลเชิงโมเลกุลหน่วยเป็นกรัม
      - mi คือ มวลของสารนั้นมีหน่วยเป็นกรัม
        Mi คือ มวลเชิงโมเลกุลของสารนั้น
    - - 1
        โมลอะตอมของธาตุใดๆ จะมีน้าหนักเป็นกรัมเท่ากับน้าหนักอะตอมของธาตุนั้น
        
        1โมล โมเลกุล ประกอบด้วยจานวนโมเลกุลเท่ากับ Avogadro snumber และมีนาหนักเป็นกรัมเท่ากับ เท่ากับน้าหนักโมเลกุลของสารนั้นเช่น H 2 O 1 โมล มีน้าหนัก 18 กรัม จะมีจานวนโมเลกุลเท่ากับ6.02
        x 10 2323โมเลกุล
  - - - H2 O มี O 1 อะตอม H 2 อะตอม แสดงว่า O มีเวเลนซี = 2
      - NH33มี N 1 อะตอม H 3 อะตอม แสดงว่า NNมีเวเลนซี = 3
      - CH4 มี C 1 อะตอม H 4 อะตอม แสดงว่า C มีเวเลนซี = 4
      - FHมี F 1 อะตอม H 1 อะตอม แสดงว่า F มีเวเลนซี = 1
    - - ธาตุโลหะหมู่ IA เช่น Na , K ,Li มีเวเลนซี = 1
      - ธาตุโลหะหมู่ I IA เช่น Be , Mg, Ca มีเวเลนซี = 2
      - ธาตุโลหะหมู่ II IA เช่น Al , Ga, In มีเวเลนซี = 3
      - ธาตุโลหะหมู่ IV A เช่น Sn , Sb มีเวเลนซี = 4
    - - มีเวเลนซี = 8 จานวนอิเล็กตรอนเวเลนซี
        
        ธาตุแฮโลเจน หมู่ VIIA เช่น F , Cl , Br , I มีเวเลนซี = 8 7 = 1
        
        หมู่ VIA เช่น O , S , Se มีเวเลนซี = 8 6 = 2
        
        หมู่ VA เช่น N , P มีเวเลนซี = 8 5 = 3
        
        หมู่ I VA เช่น C มีเวเลนซี = 8 4 = 4
    - - เขียนสัญลักษณ์ของธาตุที่เป็นองค์ประกอบให้เรียงกัน เขียนธาตุที่
        มีความเป็นโลหะมากกว่าไว้ข้างหน้า ยกเว้นกรณีของ CH 4 , NH 3 , AsH 3
      - 2ในาค่าเวเลนซีของธาตุทั้ง 2มาหา ค.ร.น แล้วนาค่าเวเลนซีของแต่ละธาตุมาหาร ค.ร.น ค่าที่ได้คือจำานวนอะตอมของธาตุนั้น
    - - การกาหนดเลขออกซิเดชันหนึ่งๆอะตอม
        
        อะตอมอิสระ
        
        ธาตุในหมู่ IAIAมีเลขออกซิเดชั่นเป็น 1เสมอ
        ธาตุ หมู่ IIA มีเลขออกซิเดชั่นเป็น +2 เสมอ
        
        ธาตุ FFมีเลขออกซิเดชันเป็น -1เสมอ
        
        ธาตุ Cl ,Br, I ปกติมีเลขออกซิเดชันเป็น -1 แต่ถ้ารวมกับ F หรือ O
        มีเลขออกซิเดชันเป็น +1 , 3 , 5 , 7
        
        ธาตุ O ปกติเมื่อรวมกับธาตุอื่นๆ
        
        ธาตุ H ปกติจะต้องมีเลขออกซิเดชันเป็น +1
        ยกเว้นเมื่อสารประกอบไฮไดรด์ H จะมีเลขออกซิเดชันเป็น -1
        
        โมเลกุลหนึ่งที่เป็นกลางทางไฟฟ้า
        
        ไอออนหนึ่งๆซึ่งมีประจุไฟฟ้า จะมีผลบวกของเลขออกซิเดชัน
        ของอะตอมทั้งหมดในไอออนนั้นจะเท่ากับค่าประจุบนไอออนนั้น
- - - -  อะตอมและโมเลกุลของของแข็งมีการจัดเรียงตัวอย่างมีระเบียบ
      -  ของแข็งไม่สามารอัดหรือบีบให้หดตัวลงได้
      -  ของแข็งชนิดเดียวกันอาจมีโครงสร้างได้หลายแบบ
      -  อุณหภูมิและความดันจะมีผลน้อยมาก
      -  ของแข็งสามารถตกผลึกเป็นรูปร่างต่างๆ ได้
      -  ของแข็งที่ไม่เป็นผลึก เรียกว่า ของแข็งอสัณฐาน (amorphous solid) เช่น แก้ว ยาง พลาสติก
  - - - อนุภาคองค์ประกอบของของแข็งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบใน 3 มิติ เช่น กามะถัน ฟอสฟอรัส
      - ชนิดของผลึก
        
         จาแนกผลึกตามชนิดของอนุภาคองค์ประกอบ และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค
        
        ผลึกโมเลกุล
        
        
        ผลึกโคเวเลนต์ร่างตาข่าย
        
        ผลึกไอออนิก
        
        ผลึกโลหะ
    - - อนุภาคองค์ประกอบกระจายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เช่น แก้ว ยาง พลาสติก
  - - - สมบัติทั่วไป
        
        แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมีมากกว่าแก๊สโมเลกุลชิดกัน
        
        ปริมาตรคงที่
        
        แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลไม่มากพอ
        
        ตาแหน่งไม่คงที่ เกิดการไหล
        
        รูปร่างไม่แน่นอน
        
        เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนและความดันเปลี่ยน ปริมาตรเปลี่ยนน้อยมาก
        
        ของเหลวมีสมบัติคล้าย
        
        แก๊ส คือมีรูปร่างไม่แน่นอน ไหลได้ แพร่ได้
        
        ของแข็ง คือ เป็นไอโซโทรปิก (isotropic) โมเลกุลอยู่ชิดกัน ไม่แพร่กระจายเต็มภาชนะ
  - - - แรงดึงผิวเกิดเนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างที่โมเลกุลบริเวณผิวหน้าของๆเหลวแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ
      - โมเลกุลบริเวณผิวหน้าของๆเหลวจะถูกดึงเข้าสู่บริเวณภายใน ทาให้เกิดการหดตัวของผิวหน้า ส่งผลให้พื้นที่ผิวของๆเหลวลดลง
    - - โมเลกุลมีพลังงานจลน์มากกว่าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของเหลว แก๊สหรือไอ  การระเหย
      - ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหย
        
        1) พื้นที่ผิว
        
        2) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
        
        3) อุณหภูมิ
      - แรงเชื่อมแน่น และแรงยึดติด
        
         แรงเชื่อมแน่น (Cohesive force)
        
         แรงยึดติด (Adhesive force)
      - ความดันไอ (Vapor pressure)
        
         ความดันไอ คือ ความดันของไอของของเหลวที่อยู่เหนือของเหลวในภาชนะปิด ที่สภาวะสมดุล
        
        เมื่อไอเคลื่อนที่ชนผิวหน้าของเหลวจะควบแน่น ของเหลว เรียกว่า การควบแน่น (Condensation)
        
        โดยที่ที่สมดุล อัตราการควบแน่น = อัตราการระเหย
        
        ของเหลวอยู่ในสมดุลพลวัตกับไอ = ความดันไอสมดุลหรือความดันไอ
        
        การเดือด (Boiling)
        
        เมื่อของเหลวได้รับความร้อนและกลายเป็นไอทั่วทั้งปริมาตร จะเกิดเป็นฟองอากาศทั่วทั้งปริมาตรและลอยขึ้นสู่ผิวหน้าของเหลว
        
         เมื่อเพิ่มอุณหภูมิจนความดันไอ = ความดันภายนอก
        
         ทาให้ฟองอากาศลอยขึ้นสู่ผิวน้า เรียกว่า การเดือด
        
         อุณหภูมิที่ทาให้เกิดการเดือด เรียกว่า จุดเดือด
        
         (Boiling point, Tb) อุณหภูมิที่ทาให้เกิด
        
         การเดือดที่ความดันบรรยากาศ (1 atm)
        
        จุดเดือดปกติ (Normal Boiling point)
        
        จุดเดือดขึ้นกับแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
        
        ก๊าซ
        
        สมบัติทั่วไปของแก็ส
        
        แก๊สมีรูปร่างเป็นปริมาตรไม่แน่นอน
        
         ถ้าให้แก๊สอยู่ในภาชนะที่เปลี่ยนแปลงปริมาตร
        
         สารที่อยู่ในสถานะแก๊สมีความหนาแน่นน้อยกว่าสถานะอื่น
        
         แก๊สสามารถแพร่ได้
        
         แก็สต่างๆ ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเมื่อนามาใส่ในภาชนะเดียวกัน แก๊สแต่ละชนิด
        จะแพร่ผสมกันอย่างสมบูรณ์ทุกส่วน หรือเป็นสารละลาย (Solution)
        
        ทฤษฎีของก๊าซ
        
         ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
        
         กฎของบอยล์ (Boyle’s Law)
        
         กฎของชาร์ลส์ (Charles’s Law)
        
         กฎของเกย์-ลูแซก (Joseph-Louise Gay-Lussc)
        
        ปริมาตร อุณหภูมิ และความดันของแก๊ส
        
        ปริมาตรของแก๊ส คือปริมาตรของภาชนะที่ ใช้บรรจุแก๊ส ใช้สัญลักษณ์ V
        
         อุณหภูมิ เป็นมาตราส่วนที่ใช้บอกระดับความร้อน ใช้สัญลักษณ์ T (เคลวิน) และ t (องศาเซลเซียส) T (K) = 273.15 + t (C)
        
         ความดัน คือ แรงที่กระทาต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่ตั้งฉากกับแรงนั้น ใช้สัญลักษณ์ P
  - - - “เมื่ออุณหภูมิและมวลของแก๊สคงที่ปริมาตรของแก๊สจะแปรผกผันกับ
        ความดัน”
    - - ปี ค.ศ.1787 สรุปผลการทดลองดังนี้
        
        “เมื่อความดันและมวลของแก๊สคงที่ปริมาตรของแก๊สจะแปรผันตรง
        กับอุณหภูมิเคลวิน”
    - - กล่าวว่า "ความดันของก๊าซใดๆ จะแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิ เมื่อปริมาตรของก๊าซคงที่"
  - - - Graham's Law of Effusion
        
        ภายใต้อุณหภูมิและความดันเดียวกัน อัตราการแพร่ผ่านของแก๊สจะเป็น
        สัดส่วนผกผันกับรากที่สองของมวลโมเลกุลของแก๊ส”
    - - การแพร่ของแก๊ส (Diffusion of gases)
  - - -  ดูดอากาศเข้าเครื่องอัดอากาศ
        
         กาจัดแก๊ส CO2 โดยใช้ NaOH
        
         แยกน้ามันออก โดยผ่านเข้าเครื่องกรอง
        
         ทาให้แห้ง โดยใช้สารดูดความชื้น
        
         183C แก๊ส O2กลายเป็นของเหลวแยกออกก่อน
        
         ลดอุณหภูมิต่อจนถึง -196C ได้ไนโตรเจนเหลวแยกออกมา
        
         แช่แข็งอาหารแระเภทต่างๆในโรงงาน อุตสาหกรรมและในการขนส่ง
        
         แช่แข็งเลือด
        
         แช่แข็งเซลล์ไขกระดูก
        
         แช่แข็งเอ็มบริโอ
        
         แช่เข็งน้าเชื้ออสุจิ
        
         แช่แข็งส่วนต่างๆของร่างกาย
- - - - ก. สมบัติทางกายภาพ
        
        สมบัติของสารที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายจากรูปร่างลักษณะ
        
        ภายนอก เช่น สถานะ สี กลิ่น รส รูปร่าง ปริมาตร การน้าไฟฟ้า การน้าความร้อน ความหนาแน่น ความถ่วงจ้าเพาะ จุดเดือด จุดหลอมเหลว การละลาย เป็นต้น
        
        การเปลี่ยนแปลงสมบัติทางกายภาพ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของสาร ไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เช่น การเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย การเปลี่ยนอุณหภูมิ การสึกกร่อน เป็นต้น
      - ข. สมบัติทางเคมี
        
        การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ
        
        มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอก
        
        ไม่มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภายใน
        
        ไม่มีสารใหม่เกิดขึ้น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของสารยังคงเหมือนเดิม
        
        สามารถท้าให้กลับสู่สภาพเดิมได้ง่าย
        
        การเปลี่ยนแปลงทางเคมี
        
        มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างภายนอก
        
        มีการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบภายใน
        
        มีสารใหม่เกิดขึ้น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของสารแตกต่างไป จากเดิม
        
        ท้าให้กลับสู่สภาพเดิมได้ยาก
  - - - สารเนื้อเดียว (Homogeneous substance)
      - สารเนื้อผสม (Heterogeneous substance)
  - - - ธาตุโลหะ (Metal) เป็นธาตุที่มีสมบัติ ดังนี้
        
        มีสถานะเป็นของแข็ง ยกเว้นปรอทเป็นของเหลว
        
        แข็งเหนียว ดึงเป็นเส้นและตีเป็นแผ่นได้
        
        เคาะมีเสียงดังกังวาล
        
        มีผิวมันวาว สะท้อนแสงได้ดี
        
        เป็นตัวน้าความร้อนและไฟฟ้า
        
        ส่วนใหญ่จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง
      - ธาตุอโลหะ (Nonmetal) เป็นธาตุที่มีสมบัติดังนี้
        
        มีทั้ง 3 สถานะ เช่น คาร์บอน ก้ามะถัน เป็นของแข็ง โบรมีน เป็นของเหลว ออกซิเจน ไฮโดรเจน เป็นก๊าซ เป็นต้น
        
        แข็งแต่เปราะหักง่าย ดึงเป็นเส้นหรือตีเป็นแผ่นไม่ได้
        
        เคาะไม่มีเสียงดังกังวาล
        
        ผิวด้านไม่มันวาว สะท้อนแสงได้ไม่ดี
        
        เป็นฉนวนความร้อนและไฟฟ้า
        
        ส่วนใหญ่จุดเดือด จุดหลอมเหลวต่้า
      - สัญลักษณ์ทางเคมีของธาตุและสารประกอบ
        
        มีหลักในการเขียนดังนี้
        
        ใช้อักษรตัวแรกของชื่อธาตุ โดยเขียนเป็นตัวพิมพ์ใหญ่
        
        ถ้าอักษรตัวหน้าซ้้ากันให้เขียนตามด้วยอักษรตัวถัดไป โดยใช้ตัวพิมพ์เล็ก
        
        สัญลักษณ์ของธาตุบางชนิดเป็นค้าในภาษาลาติน จึงไม่ตรงกับค้าในภาษาอังกฤษ
        
        ตัวอย่างเช่น Hydrogen ใช้สัญลักษณ์ H , Helium ใช้สัญลักษณ์ He , เงิน(Silver) ใช้สัญลักษณ์ Ag มาจาก Argentum เป็นต้น
  - - - สารละลายมีสถานะเหมือนสารใด ให้สารนั้นเป็นตัวท้าละลาย
        น้้า เป็นตัวท้าละลาย โซเดียมคลอไรด์เป็นตัวถูกละลาย
      - ในกรณีที่สารละลาย และสารบริสุทธิ์ที่เป็นองค์ประกอบ มีสถานะเดียวกัน สารใดมีปริมาณ มากที่สุด สารนั้นเป็นตัวท้าละลาย
    - - สารละลายที่เป็นก๊าซ เช่น อากาศ
      - สารละลายที่เป็นของเหลว เช่น น้้าเกลือ
      - สารละลายที่เป็นของแข็ง เช่น นาก
  - - - ชนิดของสาร เส้นผ่าศูนย์กลางของอนุภาค(cm)
        
        สารละลาย น้อยกว่า 10 7
        
        คอลลอยด์ 10 7– 10 4
        
        สารแขวนลอย มากกว่า 10 4
    - - เป็นสารเนื้อผสมที่มีขนาดอนุภาคของตัวถูกละลายใหญ่กว่าอนุภาคในสารละลาย มีลักษณะข้นคล้ายกาว
    - - เป็นสารเนื้อผสมที่มีขนาดอนุภาคใหญ่กว่าอนุภาคในคอลลอยด์ สามารถ มองเห็นส่วยผสมได้ชัดเจน
  - - - สารประกอบที่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกับธาตุอโลหะ เช่น กรดไฮโดรคลอริก (HCl) กรดซัลฟิวริกหรือกรดกัมมะถัน (H2SO4) สารละลายกรด มีสมบัติ ดังนี้
      - มีรสเปรี้ยว
      - มีฤทธิ์ในการกัดกร่อน
      - ท้าปฏิกิริยากับโลหะได้ก๊าซไฮโดรเจน
      - ท้าปฏิกิริยากับหินปูนหรือสารประกอบคาร์บอเนต ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
      - เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีน้้าเงินเป็นสีแดง
      - น้าไฟฟ้าได้
    - - เป็นสารประกอบไฮดรอกไซด์ของโลหะ เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (KOH) เป็นต้น สารละลายเบสมีสมบัติ ดังนี้
        
        มีรสฝาดลิ้น
        
        ลื่นมือคล้ายสบู่
        
        มีฤทธิ์ในการกัดกร่อน
        
        เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้้าเงิน
        
        น้าไฟฟ้าได้
    - - การบอกความเป็นกรด – เบส ของสารละลาย นอกจากจะใช้สมบัติดังที่กล่าวมาแล้ว เราสามารถใช้ค่า pH บอกความเป็นกรด – เบส ของสารละลาย
        pH ของสารละลาย เป็นมาตราส่วนที่ใช้บอกความเป็นกรด เบส ของสารละลาย มีค่าอยู่ระหว่าง0 – 14 โดยก้าหนดมาตรส่วน
- - - - ถ้าก๊าซที่อยู่ระหว่างขั้วแคโทด และแอโนดมีความดันปกติ กระแสไฟฟ้าจะไม่สามารถไหลผ่านได้
        แต่ถ้าสูบเอาอากาศภายในหลอดออกจนมีความดันต่าพอจะสามารถตรวจสอบได้ว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลครบวงจรหรือ ก๊าซนาไฟฟ้าได้
      - ถ้าวางฉากเรืองแสงที่ฉาบด้วย ZnSZnSไว้ในหลอดให้ขนานไปตามความยาวของหลอด จะสังเกตเห็นรังสีชนิดหนึ่งพุ่งออกจากขั้วแคโทดเป็นเส้นตรงไปยังขั้วแอโนดเนื่องจากรังสีที่เกิดขึ้นพุ่งออกจากขั้วแคโทด จึงเรียกรังสีนี้ว่า “
        รังสีแคโทด
      - สมบัติของรังสีแคโทด
        
        สำมำรถทำให้ฉำกเรืองแสงเกิดกำรเรืองแสงได้
        
        เมื่อให้รังสีแคโทดอยู่ระหว่ำงขั้วไฟฟ้ำ รังสีแคโทดจะเบนเข้ำหำขั้วบวก รังสีแคโทดประกอบด้วยอนุภำคที่มีประจุ
        ไฟฟ้ำเป็นลบ ซึ่งต่อมำเรียกว่า อิเล็กตรอน
        
        เมื่อให้รังสีแคโทดอยู่ในสนำมแม่เหล็กจะเกิดกำรเบี่ยงเบนจำกแนวเส้นตรง
        
        รังสีแคโทดเดินทำงเป็นเส้นตรงจำกแคโทดไปยังแอโนด ถ้ำมีวัตถุทึบแสงมำกั้นทำงเดินของรังสีจะทำให้เกิดเงำ
    - - ให้ภำยในหลอดมีฉำกเรืองแสง
      - ให้รังสีแคโทดผ่ำนช่องเล็กๆเพื่อให้รังสีแคโทดมีลักษณะเรียว เล็กก่อนที่จะผ่ำนสนำมไฟฟ้ำและสนามแม่เหล็ก
      - ค่ำอัตรำส่วนประจุต่อมวล (e/m) ของอนุภำคไฟฟ้ำในรังสีแคโทด
        
        e/m =1.76 x 10 88คูลอมบ์ต่อกรัม
        
        eคือ ประจุอนุภาค, m คือ มวลของอนุภาค
    - - เนื่องจากอะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้า และการที่พบว่าอะตอมของธาตุทุกชนิดประกอบด้วยอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าองค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งของอะตอม จะต้องมีประจุบวกด้วย ออยแกน โกลด์สไตน์ (Eugen Goldstein) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ทดลองเกี่ยวกับหลอดรังสีแคโทด โดยดัดแปลงหลอดรังสีแคโทด
      - โกลด์สไตน์ยังพบอีกว่ำ
        
        เมื่อเปลี่ยนชนิดของก๊ำซ อนุภำคที่มีประจุไฟฟ้ำบวกจะมีค่ำประจุต่อมวล (e/ ไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊ำซ
        
        เมื่อใช้ก๊ำซไฮโดรเจน จะได้อนุภำคบวกที่มีประจุเท่ำกับประจุของอิเล็กตรอนและมีค่ำประจุต่อมวล (e/m) สูงสุด เท่ำกับ 9.58 x 10 4 c/g gหรือมวลของอนุภำคบวกที่เกิดจำกไฮโดรเจนมีค่ำต่ำสุด เรียกอนุภำคบวกที่เกิดจำกก๊ำซไฮโดรเจนว่ำ โปรตอน (
  - - - กำรที่อนุภำคแอลฟำส่วนใหญ่วิ่งผ่ำนอะตอมของแผ่นทองคำเป็นแนวเส้นตรง แสดงว่ำอะตอมไม่ใช่ของแข็งทึบตัน แต่มีที่ว่ำงอยู่มำก
      - อนุภำคแอลฟำบำงอนุภำคที่เบนออกจำกทำงเดิม เพรำะภำยในอะตอมมีอนุภำคที่มีมวลมำกและมีประจุไฟฟ้ำบวกสูงมีขนำดเล็ก ดังนั้นเมื่ออนุภำคแอลฟำเข้ำใกล้จะถูกผลักให้เบนออกจำกทำงเดิม หรือเมื่ออนุภำคแอลฟำเข้ำมำกระทบอย่ำงจังก็จะสะท้อนกลับ
    - - เนื่อจากมวลของอะตอมต่าง มักเป็น 2 เท่า หรือมากกว่า 2 เท่าของมวลโปรตรอนรวมรัทเทอร์ฟอร์ดสันนิษฐานว่า น่าจะมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส และอนุภาคนี้ต้องมีมวลใกล้เคียงกันกับมวลของโปรตรอนมาก และต้องเป็นกลางทางไฟฟ้า
      - ทอมสันศึกษาหามวลของอนุภาคบวกของ Ne ปรากฎว่า อนุภาคบวกนี้มีมวล 2 เท่า ผลการทดลองนี้สนับสนุนว่าจะต้องมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียสเชดวิก ได้ยิงอนุภาคแอลฟาไปยัง Be ปรากฎว่าได้อนุภาคชนิดนึ่งออกมาซึ่งมีมวลใกล้เคียงกับมวลของโปรตรอนและไม่มีประจุไฟฟ้า เรียกอนุภาคนี้ว่า "นิวตรอน"
    - - อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีโปรตอนรวมกันอยู่ตรงกลาง นิวเคลียสมีขนาดเล็ก แต่มีมวลมากและมีประจุเป็นบวก ส่วนอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุเป็นลบ และมีมวลน้อยมาก จะวิ่งอยู่รอบนิวเคลียสเป็นบริเวณกว้าง
  - - - เนื่องจากแบบจาลองของโบร์ไม่สามารถอธิบายเส้นสเปกตรัมของอะตอมที่มีหลายอิเล็กตรอนได้
        
        จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เชื่อถือได้ว่าอิเล็กตรอนไม่ได้เคลื่อนที่เป็นวงดังที่โบร์เสนอ
      - กำรเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนไม่มีทิศทำงแน่นอน และไม่สำมำรถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของอิเล็กตรอนได้ บอกได้เพียงโอกำสที่จะพบอิเล็กตรอน ณ ตำแหน่งต่ำง ๆ เท่ำนั้น
      - โอกำสที่จะพบอิเล็กตรอนในแต่ละระดับพลังงำนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับจำนวนอิเล็กตรอนและระดับพลังงำนของ อิเล็กตรอนนั้น
      - อิเล็กตรอนแต่ละตัวไม่ได้อยู่ในระดับพลังงำนในพลังงำนหนึ่งคงที่ แต่เปลี่ยนระดับพลังงำนตลอดเวลำ
      - อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียส และรอบๆ นิวเคลียสมีกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนรูปทรงต่ำงๆ ตำมระดับพลังงำนของอิเล็กตรอนห่อหุ้มอยู่ บริเวณกลุ่มหมอกทึบมีโอกำสที่จะพบอิเล็กตรอนมำกกว่ำบริเวณที่กลุ่มหมอกจำง
      - เลขอะตอม (Atomic
        
        เลขมวล (Mass
        
        หมำยถึง ผลบวกของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอนภำยในนิวเคลียสใช้สัญลักษณ์ A
        แทน
        
        สัญลักษณ์นิวเคลียร์
        
        ไอโซโทป
        
        คือ อะตอมของธำตุชนิดเดียวกัน มีเลขอะตอมเท่ำกันแต่มีเลขมวลต่ำงกัน หรือมีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ำกันแต่มีจำนวนนิวตรอนต่ำงกัน
        
        ประโยชน์ของไอโซโทป
        
        ไอโซบำร์
        
        อะตอมของธำตุต่ำงชนิดกันที่มีเลขมวลเท่ำกันแต่มีเลขอะตอมไม่เท่ำกัน
        
        ไอโซโทน
        
        อะตอมของธำตุต่ำงชนิดกันแต่มีจำนวนนิวตรอนเท่ำกันเช่น
        39
        
        กำรจัดเรียงอิเล็กตรอน
        
        พลังงำนไอออไนเซชัน พลังงำนจำนวนน้อยที่สุดที่ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจำกอะตอมของธำตุในสถำนะก๊ำซ
- - - - ธาตุเฉื่อยยังไม่มีปรากฏในตาราง เนื่องจากยังไม่มีการค้นพบ
      - 2.ที่ว่างสำหรับธาตุที่ยังไม่ค้นพบซึ่งธาตุที่เว้นไว้นั้นเมนเดเลเอฟสามารถทำนายสมบัติบางประการได้
      - ซึ่งเจอร์เมเนียมนี้มีสมบัติตรงกับ eka - silicon ที่เมนเดเลเอฟ
      - แต่ละธาตุจะถูกบรรจุไว้ในช่องหนึ่งของตารางพีริออดิก แต่ละช่องจะแสดงข้อมูลที่สำคัญของธาตุนั้น
      - แต่ละธาตุจะถูกบรรจุไว้ในช่องหนึ่งของตารางพีริออดิก แต่ละช่องจะแสดงข้อมูลที่สำคัญของธาตุนั้น
      - ปัจจุบันตารางพีริออดิกมีลักษณะเป็นแบบยาว (long form) ประกอบด้วยแถวแนวตั้ง 18 แถว แต่ละแถวแนวตั้งเรียกว่า หมู่
        ธาตุในหมู่เดียวกันจะมีสมบัติเหมือน ๆ กัน บรรดาหมู่ธาตุเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 หมู่ใหญ่ คือ
        
        หมู่ B (B  groups) มี 8 หมู่ (10 แถวแนวตั้ง) เป็นหมู่ธาตุที่อิเล็กตรอนสุดท้ายบรรจุใน d - subshell เรียกว่า ธาตุแทรนซิชัน แถวแนวนอนเรียกว่า คาบ
        
        หมู่ A (A  groups) มี 8 หมู่ (8 แถวแนวตั้ง) เป็นหมู่ธาตุที่อิเล็กตรอนสุดท้ายบรรจุใน s หรือ p - subshell เรียกว่า ธาตุรีพรีเซนเททีฟ
    - - ธาตุในคาบเดียวกันจะมีระดับพลังงาน (shell) ของอิเล็กตรอนเท่ากันได้แก่
        
        คาบที่ 1 อิเล็กตรอนจะอยู่ใน shell K เท่านั้น เช่น H (1s1) และ He (1s2)
        
        คาบที่ 2 อิเล็กตรอนจะอยู่ใน shell K กับ L เช่น Li([He] 2s1) Be([He] 2s2)B([He] 2s2 2p1) C ([He]2s2 2p2) N ([He] 2s2 2p3) O ([He]2s2 2p4) F ([He] 2s2 2p5) Ne ([He] 2s2 2p6)
        
        คาบที่ 3 อิเล็กตรอนจะอยู่ใน shell K, L และ M เช่น
        Na ([Ne] 3s1)
        P ([Ne] 3s2 3p3)
        
        คาบที่ 5 อิเล็กตรอนจะอยู่ใน shell K, L, M, N และ O
        
        คาบที่ 6 อิเล็กตรอนจะอยู่ใน shell K, L, M, N, O และ P
        
        คาบที่ 7 อิเล็กตรอนอยู่ใน shell K, L, M, N, O, P และ Q
      - ธาตุที่อยู่ในหมู่เดียวกันมีสมบัติเหมือนกัน
        
        1) ธาตุเรพรีเซนเททีฟ
        
        1.2 หมู่โลหะแอลคาไลน์เอิร์ท
        
        1.3 หมู่ IIIA มีโครงแบบอิเล็กตรอนที่สถานะพื้นของสถานะพลังงานสูงสุดเป็น ns2 np1
        
        1.4 หมู่ IVA มีโครงแบบอิเล็กตรอนที่สถานะพื้นของสถานะพลังงานสูงสุดเป็น ns2 np2 ได้แก่ C, Si, Ge, Sn และ Pb โดย C เป็นอโลหะ Si กับ Ge เป็นธาตุกึ่งโลหะ ส่วน Sn กับ Pb เป็นโลหะ คาร์บอน (C) มี 4 อัญรูป
        
        แกรไฟต์ซึ่งเป็นผลึกสีดำและอ่อน
        
        เพชรเป็นผลึกใสและแข็งมากที่สุด
        
        ฟุลเลอรีน (fullerene) ซึ่งมีโครงของอัญรูปคล้ายลูกฟุตบอล
        
        นาโนโฟม (nanofoam)
        
        1.5 หมู่ VA มีโครงแบบอิเล็กตรอนที่สถานะพื้นของสถานะพลังงานสูงสุดเป็น ns2 np3 ได้แก่ N, P, As, Sb และ Bi
        
        1.6 หมู่ VIA มีโครงแบบอิเล็กตรอนที่สถานะพื้นใน สถานะพลังงานสูงสุดเป็น ns2 np4 ได้แก่ O, S, Se, Te และ Po
        
        1.7 หมู่ธาตุแฮโลเจน (halogens, หมู่ VIIA)
        
        1.8 หมู่ธาตุเฉื่อย (inert elements, หมู่ VIIIA)
        
        1.9 ไฮโดรเจน (H) เป็นธาตุที่หนึ่ง มี 1 อิเล็กตรอนโครงแบบอิเล็กตรอนที่สถานะพื้นเป็น 1s1 เหมือนกับธาตุหมู่ IA ที่เป็นโลหะแอลคาไล แต่ไม่จัดไว้ในหมู่ IA เพราะไฮโดรเจนไม่ใช่โลหะ
        
        2) ธาตุแทรนซิชัน (Transition elements หรือ B  groups)
        
        2.1 หมู่ IIIB (หมู่สแคนเดียม) ธาตุในหมู่นี้
        
        2.2 หมู่ IVB (หมู่ไทเทเนียม)
        
        2.3 หมู่ VB (หมู่วาเนเดียม)
        
        2.4 หมู่ VIB (หมู่โครเมียม)
        
        2.5 หมู่ VIIB (หมู่แมงกานีส)
        
        2.6 หมู่ IB (หมู่ทองแดง)
        
        2.7 หมู่ IIB (หมู่สังกะสี หรือ post  transitions)
        
        2.8 หมู่ VIIIB เป็นพวกธาตุที่อยู่ตอนกลางของตาราง
        พีริออดิก
        
        3) ธาตุแทรนซิชันแทรก
        
        3.1 อนุกรมแลนทาไนด์
        
        3.2 อนุกรมแอกทิไนด์
  - - - ธาตุในคาบเดียวกัน เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น ขนาดอะตอมจะเล็กลง เนื่องจากธาตุในคาบเดียวกันมีจำนวนระดับพลังงานเท่ากัน แต่เมื่อเลขอะตอมเพิ่ม จำนวนโปรตอนจะเพิ่มขึ้นด้วย แรงดึงดูดระหว่างนิวเคลียสกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนเพิ่มขึ้น ขนาดจึงลดลง
      - รัศมีอะตอม
        
        รัศมีโคเวเลนต์
        
        รัศมีแวนเดอร์วาลส์
        
        รัศมีโลหะ
      - อิเล็กโตรเนกาติวิตี้ ( Electronegativity
        
        เป็นค่าสมมติที่แสดงความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจาก Nucleus
        
         e- คู่ร่วมพันธะของอะตอมที่มีขนาดเล็ก จะได้รับแรงดึงดูดจาก Nucleus มาก  EN สูง
        
        e- คู่ร่วมพันธะของอะตอมที่มีขนาดใหญ่ จะได้รับแรงดึงดูดจาก Nucleus น้อย  EN ต่ำ
    - - รัศมีไอออน คือระยะระหว่างนิวเคลียสของไอออนคู่หนึ่งๆ ที่มีแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันในโครงผลึก
      - พลังงานที่ใช้ในการดึง e- หลุดออกจากอะตอมในสภาวะก๊าซ กลายเป็นไอออนบวกในสภาวะก๊าซ
    - - พลังงานที่ใช้ในการดึง e- หลุดออกจากอะตอมในสภาวะก๊าซ กลายเป็นไอออนบวกในสภาวะก๊าซ
        
        อะตอมใดมีขนาดเล็ก จะทำให้ดึง e- ออกยาก  IE สูง
        
         อะตอมใดมีขนาดใหญ่ จะทำให้ดึง e- ออกง่าย  IE ต่ำ
    - - พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากการรับอิเล็กตรอนของอะตอมธาตุแล้วเกิดเป็นแอนไอออน ณ สถานะแก๊ส
      - ธาตุในคาบเดียวกัน ค่า EA เพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ
      - ธาตุในหมู่เดียวกัน
        ค่า EAลดลงจากบนลงล่าง
    - - ก. โลหะในหมู่เดียวกัน
        
        หมู่ IA , IIA, และ IIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโน้มลดลง เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น”
        
        ก. อโลหะในหมู่เดียวกัน คือ หมู่ VIA , VIIA, และ VIIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
      - ข. โลหะในคาบเดียวกัน
        
        โลหะในหมู่ IA , IIA, และ IIIA ในคาบต่างๆ “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโน้มสูงขึ้น เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น
        
        ข. อโลหะในคาบเดียวกัน คือ อโลหะ หมู่ VA, VIA , VIIA, และ VIIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโน้มลดต่ำลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น”
    - - เป็นตัวเลขเพื่อแสดงค่าประจุไฟฟ้าหรือประจุไฟฟ้าสมมติของไอออนหรืออะตอมของธาตุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเลขจำนวนเต็มรวมทั้งศูนย์และอาจมีเครื่องหมายเป็นบวกหรือลบก็ได้
        
        การกำหนดค่าเลขออกซิเดชัน มีกฎดังนี้ คือ
        
        อะตอมของธาตุต่าง ๆ ในสภาวะอิสระ
        
        ไอออนที่มีอะตอมเดี่ยวเลขออกซิเดชันจะมีค่าเท่ากับประจุของไอออนนั้น
        
        เลขออกซิเดชันของโลหะอัลคาไล (หมู่ IA ) และโลหะอัลคาไลน์เอิร์ท (หมู่ IIA ) ในสารประกอบต่าง ๆ มีค่าเท่ากับ +1 และ +2 ตามลำดับ
        
        เลขออกซิเดชันของออกซิเจนในสารประกอบส่วนมาก
        
        เลขออกซิเดชันของไฮโดรเจนในสารประกอบส่วนมากมีค่าเท่ากับ 1
        
        ผลรวมทางพีชคณิตของเลขออกซิเดชันของอะตอมทั้งหมดในสูตรเคมีใด ๆ จะมีค่าเท่ากับประจุสำหรับกลุ่มของอะตอมที่เขียนแสดงในสูตรนั้น ๆ